ระนอง-ปากบารา ท่าเรือแห่งอนาคต
ระนอง-ปากบารา ท่าเรือแห่งอนาคต
บทความโดย คงฤทธิ์
จันทริก
จากความเคลื่อนไหวของภาครัฐในการดำเนินโครงการและแผนงานรอรับพันธกิจด้านศูนย์กลางการขนส่งทางน้ำของภูมิภาค
ในแผนปฏิบัติการตามทิศทางการพัฒนาศักยภาพการขนส่ง
โครงการที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาทางด้านการขนส่งทางน้ำของประเทศ
ในแถบอันดามันที่สำคัญคือ โครงการพัฒนาท่าเรือระนองเฟส 2
ให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าไปยังเอเชียใต้ และตะวันออกกลาง
และโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา อำเภอละงู จังหวัดสตูล
เพื่อลดต้นทุนการขนส่งสินค้าทางภาคใต้ของประเทศ
และเป็นสร้างแนวการขนส่งที่มีความเชื่อมโยงต่อเนื่องกันในระดับภูมิภาค
โครงการพัฒนาท่าเรือระนองเฟส 2
เกิดขึ้นเนื่องจากภาครัฐมองเห็นว่าในปัจจุบันสถานการณ์ในการแข่งขันทางการค้าทางทะเลระหว่างประเทศทวีความรุนแรงมากขึ้น
ในขณะที่ประเทศไทยมีศักยภาพด้านที่ตั้งของชายฝั่งทะเลด้านอันดามัน
ซึ่งสามารถพัฒนาขึ้นเป็นทางเลือกในการส่งออกสินค้า
และนำไปสู่การเชื่อมโยงในโครงข่ายการค้าโลก จึงควรมีการพัฒนาให้ท่าเรือระนองเป็น
Gateway ของประเทศโดยเฉพาะกับการนำสินค้าจากประเทศจีนและอาเซียนไปยังตลาดอินเดีย
และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง
ในปัจจุบันท่าเรือระนองมีขนาดเล็ก
มีท่าเทียบเรือที่มีความสามารถรองรับเรือที่มีขนาดไม่เกิน 500 ตันกรอส
ความลึกหน้าท่าเพียง 6 เมตร
ซึ่งไม่สามารถตอบสนองแผนการพัฒนาได้จึงได้มีการวางแผนขยายท่าเรือให้มีท่าเทียบได้อีก
1 จุด มีขนาดท่าเทียบ 30เมตร x 150 เมตรสามารถรองรับเรือขนาด 12,000 ตันกรอส
ระดับความลึกประมาณ 13 เมตร อีกทั้งมีการก่อสร้าง สะพานเรือ สะพานเชื่อมท่าเรือ
ระบบกันกระแทกหน้าท่า ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงบริเวณท่าเทียบเรือ
ทุ่นและเครื่องหมาย ตลอดจนอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อให้มีความพร้อมในการรับเรือสินค้า
การพัฒนาโครงข่ายการขนส่งต่อเนื่องที่มีความสำคัญตามแผนงานของภาครัฐ
คือการขยายเส้นทางทางถนนเชื่อมต่อมายังท่าเรือให้มีความกว้างมากยิ่งขึ้น
ลดความลาดชันและแก้ปัญหาโค้งต่างๆ
เพื่อป้องกันความเสียหายกับสินค้าและยานพาหนะที่ขนส่งสินค้ามายังท่าเรือ
การพัฒนาระบบการขนส่งทางรางเป็นข้อจำกัดอีกประการของท่าเรือระนองในอดีต
ซึ่งตามแผนการพัฒนากำหนดให้มีการศึกษาพัฒนาระบบการขนส่งทางรางจาก ICD
อำเภอสวีจังหวัดชุมพร มายังท่าเรือระนอง
ในเบื้องต้นมีการคาดการณ์ว่าสินค้าที่จะขนถ่ายผ่านท่าเรือระนองจะประกอบไปด้วยรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์
สินค้าเกษตร เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์
วัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์เครื่องจักรและอุปกรณ์เชื้อเพลิง สัตว์น้ำแช่แข็ง
ไม้ซุงและไม้แปรรูป สินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ น้ำมันหล่อลื่น ปูนซีเมนต์
ตลอดจนวัตถุดิบเพื่อการผลิตสินค้าอย่างเช่น เซรามิก เป็นต้น
โดยคาดการณ์ว่าจะมีสินค้าส่งออกและนำเข้าผ่านท่าเรือประมาณ 175,000 ตันต่อปี
ซึ่งจะก่อให้เกิดรายได้จำนวนมากและสามารถคืนทุนได้ในระยะเวลาไม่นาน
เมื่อพิจารณาในแง่ของการผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจ พบว่าโครงการมี NPV(18%)=14.76
ล้านบาท B/C(8%)=1.09 และ EIRR=8.82
นอกจากนี้การพัฒนาให้มีการขนถ่ายสินค้าส่งออกผ่านท่าเรือระนองจะส่งผลให้เกิดการประหยัดต้นทุนการขนส่งได้จำนวนมากเพราะจะสามารถทำให้สามารถลดระยะทางในการเดินเรือได้ถึง
1,375 กิโลเมตร
การขนส่งสินค้าจากไทยไปยังประเทศคู่ค้าใช้เวลาลดน้อยลงโดยเฉพาะกลุ่มประเทศเป้าหมายอย่างเอเชียใต้ซึ่งจะใช้เวลาในการขนส่งเพียง
4-7 วันจากประมาณ 25 วัน
กรณีของโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบาราซึ่งมีมูลค่าการลงทุนกว่า 7,000
ล้านบาททั้งในส่วนของท่าเรือและอุปกรณ์ในการดำเนินงานต่างๆ นั้น
เกิดจากแนวความคิดในการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกเพื่อสนับสนุนและอำนวยความสะดวกทางการค้าของผู้ประกอบการในภาคใต้
โดยต้องการให้มีประตูทางการค้าทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกของภูมิภาค
ให้มีความเชื่อมต่อในระบบการขนส่งสินค้า ให้มีทางเลือกในการขนส่งสินค้ามากยิ่งขึ้น
และที่สำคัญคือลดการพึ่งพาท่าเรือของประเทศเพื่อนบ้านให้น้อยลง
เป็นการเสริมสร้างความมั่นคงทางการค้าของผู้ประกอบการไทยมากยิ่งขึ้น
ท่าเรือน้ำลึกปากบาราจะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบโครงข่ายการขนส่งหรือระบบลอจิสติกส์ของไทย
มีสินค้าเป้าหมายหลักคือยางพาราประมาณปีละ 1 ล้านตัน สินค้าอื่นๆ จะประกอบไปด้วย
เฟอร์นิเจอร์จากไม้ยางพารา สินค้าอุตสาหกรรมจากภาคใต้ อาหารทะเล อาหารฮาลาล
และสินค้านำเข้าจากตะวันออกกลางและยุโรป
ซี่งในอนาคตรัฐบาลจะผลักดันให้เป็นท่าเรือน้ำลึกระดับโลก
เทียบชั้นท่าเรือของสิงค์โปร์และมาเลเซีย
ลักษณะของท่าเรือน้ำลึกปากบารา
จะเป็นลักษณะของท่าเรือแบบปิดยื่นไปในทะเลโดยถมพื้นที่และสร้างสะพานเชื่อมจากฝั่งไปยังท่าเรือความยาว
4 กิโลเมตร เป็นเนื้อที่ประมาณ 765 ไร่ สำหรับใช้เป็นลานจอดรถบรรทุก อาคาร
พื้นที่ท่าเรือและลานวางกองตู้สินค้า ในส่วนของท่าเทียบเรือมีความยาวหน้าท่า 750
เมตร น้ำลึก 13 เมตร สามารถรับเรือขนาด 30,000 เดทเวทตันได้ 3 ลำพร้อมกัน
หรือเรือขนาด 50,000 เดทเวทตันได้ 2 ลำพร้อมกัน
นอกจากนี้ยังมีการสร้างเขื่อนกันคลื่นความยาว 1,350 เมตร ขุดลอกร่องน้ำลึก 13
เมตรจากระดับน้ำลงต่ำสุดเป็นระยะทาง 4 กิโลเมตร
มีการคาดการณ์ว่าเมื่อท่าเรือปากบาราก่อสร้างเสร็จสิ้นจะสามารถประหยัดต้นทุนการส่งออกสินค้าของประเทศได้ถึงปีละ
1,300 ล้านบาท ประหยัดค่าธรรมเนียมและค่าภาระได้ปีละ 173 ล้านบาท
และจะอำนวยประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างปีละ 97 ล้านบาท
และนอกจากจะทำให้เกิดการพัฒนาขึ้นในจังหวัดสตูลแล้ว
การวางระบบและการพัฒนาโครงข่ายการขนส่งทางถนนให้มีความกว้างของถนนเพิ่มขึ้นและการตัดเส้นทางใหม่เพิ่มเติมตลอดจนการขยายทางรถไฟมายังท่าเรือนั้น
จะก่อให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง
และมีระบบโลจิสติกส์ที่เชื่อมต่อกับท่าเรือสงขลาซึ่งจะเอื้อต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศได้อีกส่วนหนึ่งด้วย
สามารถกล่าวได้ว่าโครงการพัฒนาท่าเรือระนองเฟส 2
และโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบาราตามของภาครัฐเป็นการพัฒนาท่าเรือในระดับภูมิภาค
ทางภาคใต้ของประเทศซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ที่ครบวงจร
มีความต่อเนื่องและเชื่อมโยงกันกับระบบการขนส่งสินค้าระหว่างภูมิภาคต่างๆ
ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ จะทำให้เกิดทางเลือกในการขนส่งสินค้ามากขึ้น
ลดความจำเป็นในการขนส่งโดยใช้รูปแบบการขนส่งทางถนนให้ลดลงโดยการใช้ท่าเรือที่ใกล้กับแหล่งผลิตสินค้า
ซึ่งจะทำให้สามารถพัฒนาและใช้ประโยชน์จากการขนส่งทางถนนในด้านการขนส่งผู้โดยสารได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากยิ่งขึ้นและยังเป็นการสร้างดุลยภาพของการขนส่ง
ทั้งระหว่างรูปแบบการขนส่งในการขนส่งสินค้าและการขนส่งผู้โดยสารระหว่างเมือง
นอกจากประโยชน์ทางด้านโลจิสติกส์แล้ว
ผลลัพธ์ที่ได้ในการพัฒนาทางการค้าและเศรษฐกิจของประเทศอย่างมั่นคงในอนาคตก็เป็นสิ่งที่ประเทศไทยจะได้รับไม่ว่าจะเป็นระดับของการค้าระหว่างประเทศหรือเศรษฐกิจท้องถิ่นที่จะเจริญเติบโต
มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น รายได้เข้าสู่ท้องถิ่นมากขึ้น
จากการลงทุนในกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องในดินแดนหลังเมืองท่าทั้งสองอย่างไรก็ตามการพัฒนาท่าเรือระนองและการก่อสร้างท่าเรือปากบารา
มีข้อที่ควรพิจารณาที่คล้ายคลึงกัน
คือเรื่องของปริมาณสินค้าผ่านท่าที่จะต้องมากพอในการดึงดูดให้มีเรือประจำเส้นทางเข้าเทียบท่าเพื่อรับขนส่งสินค้า
เนื่องจากการเข้าเทียบท่าเรือเพิ่มขึ้นจะส่งผลให้เกิดต้นทุนส่วนเพิ่มของเรือ
ซึ่งถ้ามีปริมาณสินค้าไม่มากพออาจไม่สามารถดึงดูดความสนใจของสายเรือได้
หรือผู้ประกอบการเดินเรืออาจจะนำเรือเข้าเทียบท่าโดยมีความถี่บริการต่ำ
ซึ่งก็ไม่เป็นผลดีต่อผู้ส่งออก
ในการต้องรอเรือเป็นเวลานานและในท้ายที่สุดอาจจะย้ายไปขนส่งผ่านท่าเรืออื่นๆ
ที่มีความถี่บริการที่ยอมรับได้แทน
ดังนั้นสิ่งที่ภาครัฐควรดำเนินการเพื่อสนับสนุนให้การลงทุนในโครงการทั้งสองสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้
คือการเร่งประชาสัมพันธ์ให้เกิดการรับรู้ข้อมูลโครงการ
เร่งสร้างความเชื่อมั่นของภาคเอกชนต่อความสำเร็จในโครงการที่ได้ลงทุนนั้น
วางนโยบายเพื่อสนับสนุนกลุ่มธุรกิจต่างๆ ให้เข้ามาลงทุนดำเนินงานในท่าเรือในระยะแรก
เพื่อให้มีสินค้าผ่านท่าที่มากเพียงพอที่จะดึงดูดให้ผู้ประกอบการทั้งเจ้าของเรือและเจ้าของสินค้าเห็นประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมและเข้ามาให้และใช้บริการในการขนส่งสินค้าผ่านท่าเรือทั้งสองต่อไป.
|