นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้ส่งหนังสือด่วนถึง เรือเอก อิทธิชัย สุพรรณกูล รองผู้อำนวยการสายบริหารบุคลากรและการเงิน และรักษาการผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีสมาคมขนส่งสินค้าเพื่อการนำเข้าและส่งออกร้องเรียนว่า พนักงาน กทท.เรียกรับผลประโยชน์หรือส่วยจากผู้ประกอบการภายในท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) (http://www.marinerthai.net/pic-news3/2013-03-07_001.jpg) (http://www.marinerthai.net/pic-news3/2013-03-07_002.jpg)
ทั้งนี้ ได้ให้ กทท.จัดส่งข้อมูลรายละเอียดและข้อเท็จจริงเบื้องต้นเสนอกลับมายังกระทรวงคมนาคมภายใน 15 วัน หรือประมาณกลางเดือนมีนาคมนี้ หากพิจารณาข้อมูลแล้วพบว่าเรื่องดังกล่าวมีมูลความผิดจริงจะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเป็นทางการ เพื่อนำคนผิดมาลงโทษต่อไป
นายประเสริฐกล่าวว่า สำหรับกรณีการฟ้องร้องค่าล่วงเวลาของพนักงาน กทท.ประมาณ 3,000 ล้านบาทนั้น ได้มอบนโยบายให้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) กทท. ใช้หลักการบริหารแบบปรองดอง โดยให้เจรจาต่อรองกัน
ด้านเรือตรี วิโรจน์ จงชาณสิทโธ ผู้อำนวยการ กทท. ซึ่งได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งและมีผลในวันที่ 1 เมษายนนี้ กล่าวว่า คดีที่ กทท.ฟ้องพนักงานเป็นคดีอาญา เป็นการฟ้องกรณีเบิกความเท็จ หากจะถอนฟ้องเพื่อเจรจาต่อรองกันความผิดก็ยังอยู่ การถอนฟ้องอาจเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 157 เพราะถือว่าเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
อย่างไรก็ตาม กรณีที่ กทท.ฟ้องคือ เรื่องเบิกความเท็จ เช่น กรณีโกดังสินค้าปิดเวลา 16.30 น. แต่เบิกค่าล่วงเวลาถึง 05.00 น. กรณีการจัดพนักงานประจำเครื่องมือทุนแรงมีที่นั่งสำหรับพนักงานควบคุมเพียง 1 ที่นั่ง หรือ 1 คน แต่เบิกค่าล่วงเวลาพร้อมกัน 3 คน และยังเบิกเต็มจำนวนเครื่องมือทุนแรงที่ไว้รองรับเรือสินค้าเต็มท่าเรือ ซึ่งความเป็นจริงไม่มีเรือใช้บริการเต็มท่าเรือทุกวัน บางวันมาก บางวันน้อย
นอกจากนี้ ยังมีกรณีของพนักงานประจำเรือลากจูงซึ่งต้องมีพนักงานประจำเรือรวม 10 คน แต่ทำงานจริงเพียง 5 คน แต่เบิกค่าล่วงเวลา 10 คน รวมทั้งยังเบิกค่าล่วงเวลาเต็มจำนวนเรือลากจูงที่มีอยู่ ซึ่งบางวันเรือลากจูงไม่ได้ออกปฏิบัติงานทุกลำ
แหล่งข่าวจาก กทท.กล่าวว่า ปกติคดีแพ่งจะประนีประนอมยอมความกันได้ แต่กรณีของ กทท.ไม่สามารถทำได้ เพราะมูลหนี้พิพาทมีมูลหนี้ทุจริตปนอยู่ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ความจริงของการเบิกเงินล่วงเวลาที่เป็นจริงโดยอาศัยกระบวนการของศาล ไม่ใช่ให้เอกชนคนใดคนหนึ่งตัดสินได้หรือเจรจาต่อรองกัน เนื่องจากความผิดที่เกิดขึ้นถือเป็นความผิดต่อแผ่นดิน
ที่มา - (http://www.marinerthai.net/pic-news3/prachachart.jpg) (http://www.prachachat.net/)