ข่าว:

รับสมัครเฉพาะชาวเรือและผู้ที่สนใจที่เป็นคนไทยเท่านั้น สมัครแล้วรออนุมัติประมาณ 2-3 วัน หากต้องการด่วนโปรดแจ้ง webmaster@marinerthai.net

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - mrtnews

#4576
วันที่ 12 มกราคม 2556 ที่ผ่านมา เมืองเป่ยไห่ของเขตปกครองตนเองชนเผ่าจ้วงกว่างซีทางภาคใต้ของจีน นั้นมีชายแดนและชายฝั่งที่ติดกับบางประเทศอาเซียน ได้เริ่มต้นกิจกรรม "ปีแห่งการท่องเที่ยวทางทะเล" โดยมีวัตถุประสงค์จะบุกเบิกทรัพยากรทางทะเล เร่งการพัฒนาเศรฐกิจทางทะเล โดยปัจจุบันกำลังเร่งการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานด้านการเดินเรือการท่องเที่ยวทางทะเล และท่าเรือสำราญ


สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติจีนได้กำหนดหัวข้อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวในปี 2013 ว่า "ปีแห่งการท่องเที่ยวทางทะเล" ซึ่งกว่างซีเป็นมณฑลริมชายฝั่งทะเลที่สำคัญของจีน มีทรัพยากรการท่องเที่ยวทางทะเลที่หลากหลาย อาทิ ท่าเรือน้ำลึกหลายแห่ง เกาะต่างๆ เขตป่าร้อนชื้นและน้ำพุร้อน เป็นต้น

ที่มา -
#4577
เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2556 เรือบรรทุกสินค้าแบบเทกอง (Bulk carrier) ชื่อ Marcos Dias "มาร์กอสเดียส" ได้แล่นเรือออกจากพื้นที่จอดเรือทิ้งสมอของท่าเรือ Santos มุ่งหน้าไปยังเมืองริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางเข้าอู่ซ่อมเรือในวันที่ 13 มกราคม 2556 ในเวลาประมาณ 11.30 น.


เรือบรรทุกสินค้า Marcos Dias ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุเรือแล่นชนปะทะกันกับเรือบรรทุกสินค้าแบบเทกอง  (Bulk carrier) ชื่อ ABML Eva (IMO: 9070565) เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2555 เวลาประมาณ 18.30 น. หลังจากที่เรือเกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิคสูญเสียการควบคุมในระบบขับเคลื่อนของเรืออย่างกระทันหัน และไฟฟ้าได้ดับลงทั้งลำเรือขณะกำลังแล่นเรืออยู่ในบริเวณเขตท่าเรือแซนโท (Santos) เมืองเซาเปาโล (Sao Paulo) ประเทศบราซิล จนเป็นผลให้เรือแล่นเข้าชนกับเรือบรรทุกสินค้าตุรกีชื่อ  ABML Eva ที่กำลังจอดเทียบท่าเรืออยู่


เรือบรรทุกสินค้า Marcos Dias มีร่องรอยคขีดข่วน ความเสียหาย มีรอยแผลที่บริเวณด้านกราบซ้ายของเรือ และที่บริเวณส่วนจงอยหัวเรือ (bow bulwark)  ได้รับความเสียหายที่ยังไม่ชัดเจนว่ารุนแรงมากน้อยเพียงใด ไม่มีรายงานความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเรือบรรทุกสินค้า ABML Eva


เรือบรรทุกสินค้าแบบเทกอง (Bulk carrier) ชื่อ Marcos Dias รหัสหมายเลข IMO คือ 9070565 ขนาด 44621 dwt สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1995 จดทะเบียนชักธง Brazil ผู้จัดการเรือคือบริษัท NORSUL, COMPANHIA DE NAVEGACAO, S.A., Rio de Janeiro.

เรือบรรทุกสินค้าแบบเทกอง (Bulk carrier) ชื่อ ABML Eva รหัสหมายเลข IMO คือ 9481702 ขนาด 106659 dwt สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2012 จดทะเบียนชักธง Malta ผู้จัดการเรือคือบริษัท AUGUSTEA ATLANTICA SPA, Naples, Italy.

ที่มา - | แปลและเรียบเรียงข่าวโดย
#4578
วันนี้ (12 ม.ค.56)สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเกาะจิกลิโอ ประเทศอิตาลีว่า นายฟรังโก กาบริเอลลี หัวหน้าสำนักงานป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนของอิตาลี แถลงว่า  ทางทีมงานตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะดำเนินการกู้ซากเรือสำราญ "กอสตา กอนกอร์เดีย" ของอิตาลี ที่พลิกคว่ำ อยู่นอกฝั่งเกาะจิกลิโอ เมื่อคืนวันที่ 13 ม.ค.ของปีที่แล้ว จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 32 ศพนั้น กำหนดเอาไว้ประมาณเดือนก.ย.ปีนี้ โดยเปิดโอกาสคร่าวๆไว้ตั้งแต่เดือนมิ.ย.ถึงเดือนก.ย. หากสภาพอากาศไม่เลวร้าย


การกู้ซากเรือสำราญลำนี้ ใช้คนงาน 400 คน จากบริษัทกู้ซากเรือ ไตตัน ของสหรัฐ และ บริษัทมิโคเปรีของอิตาลี ร่วมมือกัน โดยได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากบริษัทประกันภัยของบริษัทกอสตา ครอซิแอร์ เจ้าของเรือ และ ผู้ดำเนินการธุรกิจเรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป

เรือสำราญ กอสตา กอนกอร์เดีย ความยาว 290 เมตร น้ำหนักมากเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับเรือไททานิก เกิดอุบัติเหตุแล่นเกยตื้นนอกชายฝั่งเกาะจิกลิโอ เมื่อคืนวันที่ 13 ม.ค.ปีที่แล้ว ขณะมีผู้โดยสารและลูกเรือ 4,229 คน จาก 70 ประเทศ อยู่บนเรือลำนี้ขณะเกิดเหตุ

ที่มา -




อิตาลีเผยภาพใหม่การช่วยเหลือเหยื่อเรือสำราญเกยตื้น

ยามฝั่งอิตาลีเผยภาพใหม่ของโศกนาฏกรรมเรือสำราญกอสต้า กอนกอร์เดียประสบเหตุชนโขดหินโสโครก ก่อนครบรอบ 1 ปีของเหตุสลด ขณะที่ความพยายามกู้เรือยังคงดำเนินต่อไปคาดว่าจะแล้วเสร็จอย่างเร็วในกันยายน


ยามฝั่งอิตาลีเผยภาพวีดีโอที่บันทึกด้วยกล้องอินฟราเรดขณะหน่วยกู้ภัยปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุบนเรือสำราญกอสต้า กอนกอร์เดียที่ชนเกยตื้นบนโขดหินโสโครกใกล้เกาะกิกลิโอ้ ทำให้เรือพลิกตะแคงจมน้ำอยู่ครึ่งลำ นอกชายฝั่งแคว้นทัสกานีของของอิตาลี ทำให้มีผู้เสียชีวิต 32 คนเมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว วีดีโอเผยให้เห็นภาพการอพยพของผู้โดยสารและลูกเรือซึ่งยืนรอเพื่อลงบันไดลงมายังเรือช่วยชีวิต และอีกภาพที่ถ่ายจากเรือกู้ภัยยามฝั่ง เป็นภาพผู้โดยสารสวมเสื้อชูชีพ กำลังปีนลงมาจากเรือ

แม้เหตุการณ์ผ่านพ้นมาเกือบหนึ่งปีแล้ว วิศวกรและนักประดาน้ำกว่า 300 คนยังคงพยายามกู้ซากเรือต่อไป หลังเกิดความล่าช้าหลายครั้ง และคาดว่าน่าจะกู้เรือได้ภายในเดือนกันยายน โดยอาจใช้เวลาราว 6 เดือนในการพลิกเรือหนักกว่า 112,000 ตันให้กลับมาตั้งตรง และใช้เวลาอีก 6-7 สัปดาห์เพื่อทำให้เรือลอยได้อีกครั้ง จะได้สามารถลากขึ้นฝั่งไปทำลายทิ้ง ขณะที่ค่าใช้จ่ายการกู้เรือตอนนี้เพิ่มขึ้นไปถึง 400 ล้านยูโรหรือเกือบ 16,163 ล้านบาท สูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 300 ล้านยูโรหรือราว 12,122 ล้านบาท


บรรดาญาติๆของผู้เสียชีวิตและผู้รอดชีวิต เดินทางถึงเกาะกิกลิโอ้ เพื่อจะเข้าร่วมพิธีรำลึกครบรอบ 1 ปีของโศกนาฏกรรมในวันนี้ 13 มกราคม ส่วนกับตันเรือ ฟรานเชสโก สเก็ตติโน กำลังถูกสอบสวนด้วยข้อกล่าวหาบังคับเรือด้วยความประมาท ทำให้เรือที่บรรทุกผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมด 4,229 คน ประสบอุบัติเหตุ และละทิ้งเรือทั้งที่ผู้โดยสารอพยพออกจากเรือยังไม่หมด โดยตอนนี้เขาถูกกักบริเวณอยู่ที่บ้านของเขาเอง

ที่มา -




#4579
วันที่ 13 มกราคม 2556 นี้ สถานทูตสหรัฐฯ ประจำฟิลิปปินส์ระบุว่า เรือกวาดทุ่นระเบิด "การ์เดียน" USS Guardian (MCM-5) ของกองทัพสหรัฐฯ จะมาเยือนฟิลิปปินส์ ที่ท่าเรืออ่าวซูบิกของเกาะลูซอน


เรือนี้จะจอดเทียบท่าเรือดังกล่าวเป็นเวลา 1 วันเพื่อเตรียมสเบียงและเชื้อเพลิง หลังจากนั้น จะเดินเรือต่อไปยังท่าเรือเมืองเปอร์โตปรินเซซาของเกาะปาลาวัน

ที่มา -
#4580
ปตท.เตรียมลงทุน 3-4 หมื่นล้านบาท ผุดคลัง-ท่าเรือรองรับก๊าซแอลเอ็นจีเฟส 2 เพิ่มอีก 5 ล้านตัน เผยความต้องการใช้ก๊าซเพิ่มต่อเนื่อง เสนอกพช.อนุมัติในเร็วๆนี้ ฟาก "เฮียเพ้ง" ระบุความต้องการใช้พลังงานในปีนี้เติบโต 5.4% ขณะที่ยอดใช้ไฟฟ้าโต 5-6% มั่นใจรักษาสถานการณ์ไฟฟ้าของประเทศได้


นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ประเทศไทยจำเป็นต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี) เพิ่มขึ้น ดังนั้นกระทรวงพลังงานได้มอบหมายให้ ปตท. ศึกษาพื้นที่เพื่อก่อสร้างคลังและท่าเรือรองรับแอลเอ็นจีระยะที่ 2 สามารถรองรับการนำเข้าแอลเอ็นจีได้อีก 5 ล้านตัน จากปัจจุบันรองรับอยู่ 10 ล้านตัน คาดว่าน่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท มากกว่าคลังแอลเอ็นจีเฟสแรกที่มาบตาพุด  เพราะจะต้องหาสถานที่ก่อสร้างแห่งใหม่ และขึ้นอยู่กับความยากง่ายของพื้นที่ด้วย

ทั้งนี้แผนลงทุนดังกล่าวจะเข้าเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ในเร็วๆนี้ โดยมองว่าการลงทุนคลังดังกล่าวเป็นแผนรองรับความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศไทย  และรองรับความต้องการก๊าซที่เพิ่มขึ้นสำหรับผลิตไฟฟ้าในอนาคต ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีปัญหาก๊าซในประเทศไม่เพียงพอ และมีแนวโน้มสำรองในอ่าวไทยจะลดลง

"ขณะนี้ ปตท.ศึกษาแผนลงทุนคลังรองรับนำเข้าแอลเอ็นจีเฟส 2 ซึ่งต้องศึกษาพื้นที่ คาดว่าจะใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 3-4 ปี อย่างไรก็ตามเห็นว่าการใช้ก๊าซในการผลิตไฟฟ้ามีความปลอดภัยและปล่อยมลพิษน้อย เมื่อเทียบกับถ่านหิน"

สำหรับความคืบหน้าแผนขยายลงทุนธุรกิจก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(เอ็นจีวี) ขณะนี้ ปตท. อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อขยายสถานีบริการเอ็นจีวีเพิ่ม โดยเฉพาะสถานีตามแนวท่อ ซึ่งปัจจุบันความต้องการใช้ก๊าซเอ็นจีวีเติบโต 40% จากปีก่อน แสดงให้เห็นว่าปัญหาเกี่ยวกับก๊าซเอ็นจีวีในปัจจุบัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณสถานีบริการไม่เพียงพอ เพราะปั๊มเอ็นจีวีตามแนวท่อยังรองรับการบริหารไม่เต็ม 100%  ส่วนจะลงทุนอย่างไรนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาแผนลงทุนดังกล่าว

นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงแนวโน้มความต้องการใช้พลังงานในปี 2556 คาดว่าจะยังเติบโตต่อเนื่องในระดับที่ 5.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน หรือมีการใช้พลังงานรวม 2.08 ล้านบาร์เรลต่อวัน เทียบเท่าน้ำมันดิบ ทั้งนี้เนื่องจากจะมีการใช้พลังงานสูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะขยายตัว 4.5-5.5%

"ในส่วนของความต้องการใช้น้ำมันในปีนี้ คาดว่ามีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น 3.7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในกลุ่มเบนซิน คาดว่าจะมียอดใช้อยู่ที่ประมาณ 21.9 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้น 2 ล้านลิตรต่อวัน ขณะที่ยอดการใช้ดีเซล คาดว่าจะอยู่ที่ 57.5 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้น 2.6% โดยประมาณการราคาน้ำมันเฉลี่ยในปีนี้ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 108-113 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เมื่อเทียบกับปี 2555 เฉลี่ยอยู่ที่ 109.5 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล"

สำหรับความต้องการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี) คาดว่าในปีนี้จะเติบโตต่อเนื่อง โดยมีการใช้เพิ่มขึ้นทุกภาคส่วน ซึ่งคาดว่าการใช้ก๊าซแอลพีจีในภาคครัวเรือนปรับเพิ่มขึ้น 7.4% ภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น  2.5% ภาคขนส่งเพิ่มขึ้น 6.9% และยอดการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(เอ็นจีวี)จะมีการใช้เพิ่มขึ้น 7.6%

ส่วนความต้องการใช้ไฟฟ้าในปีนี้ คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ โดยยอดใช้ไฟฟ้าจะโตประมาณ 5-6% หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 1.4-1.5 พันเมกะวัตต์ เทียบกับความต้องการใช้ในปี 2555 ที่อยู่ระดับ 2.677 หมื่นเมกะวัตต์ มั่นใจว่ากระทรวงจะสามารถดูแลสถานการณ์ไฟฟ้าของประเทศได้ ปัจจุบันไทยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าได้กว่า 3 หมื่นเมกะวัตต์

ที่มา -
#4581
จากเหตุการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำโขง ลดลงต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดสันดอนทรายโผล่บริเวณกลางแม่น้ำโขงเป็นพื้นที่กว้างหลายจุด สร้างอุปสรรคในการเดินเรือสัญจรไปมาระหว่างไทยลาว โดยเฉพาะ บริเวณตลาดการค้าจุดผ่อนปรนไทยลาว อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการทำธุรกิจค้าขายระหว่างชายแดนไทยลาว


ด้าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ตนเองกำลังประสานงานกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในพื้นที่เพื่อสอบถามเรื่องดังกล่าว พร้อมทั้ง หาทางออกของปัญหา โดยส่วนตัวมองว่า จากปัญหาดังกล่าวทางคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงจะต้องมีการหารือเพื่อแก้ไขปัญหา

นอกจากนี้ ด้าน นายปรีชา ประสพผล เลขาธิการสมาคมผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางน้ำ กล่าวว่า ขณะนี้ทางสมาคมได้ระงับแผนการขยายการขนส่งสินค้าที่แม่น้ำโขง เนื่องจากภาครัฐยังไม่สามารถแก้ไขเรื่องระดับน้ำได้ รวมทั้งส่วนตัวมองว่า การที่ภาครัฐนำงบประมาณหลายล้านบาท มาก่อสร้างท่าเรือเชียงแสน แห่งที่ 2 เพื่อต้องการส่งเสริมการขนส่งสินค้าทางน้ำ และลดต้นทุนการขนส่ง แต่กลับไม่แก้ไขเรื่องระดับน้ำในแม่น้ำโขง เป็นการทำให้ท่าเรือไม่เกิดประสิทธิภาพเท่าที่ควร

ที่มา -




แล้งจัด! เรือหยุดขนส่งสินค้าชั่วคราว ผู้ประการจี้รัฐแก้ปัญหาล้ำน้ำโขงแห้ง

วันที่ 13 ม.ค. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กำลังประสานงานกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในพื้นที่เพื่อตรวจสอบการเดินเรือสัญจรไปมาระหว่างไทยลาว โดยเฉพาะ บริเวณตลาดการค้าจุดผ่อนปรนไทยลาว อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม หลังระดับน้ำในแม่น้ำโขงลดลงอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เกิดสันดอนทรายโผล่บริเวณกลางแม่น้ำโขง และเป็นอุปสรรคต่อการเดินเรือ พร้อมกับหาทางออกของปัญหา โดยนายประเสริฐ มองว่า จากปัญหาดังกล่าวทางคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงจะต้องมีการหารือร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหา


ด้านนายปรีชา ประสพผล เลขาธิการสมาคมผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางน้ำ กล่าวว่า ขณะนี้ทางสมาคมได้ระงับแผนการขยายการขนส่งสินค้าที่แม่น้ำโขง เนื่องจากภาครัฐยังไม่สามารถแก้ไขเรื่องระดับน้ำได้ พร้อมกับมองว่า การที่ภาครัฐนำงบประมาณหลายล้านบาท มาก่อสร้างท่าเรือเชียงแสน แห่งที่ 2 เพื่อต้องการส่งเสริมการขนส่งสินค้าทางน้ำ และลดต้นทุนการขนส่ง แต่กลับไม่แก้ไขเรื่องระดับน้ำในแม่น้ำโขงนั้น เป็นการสร้างท่าเรือโดยไม่เกิดประสิทธิภาพเท่าที่ควร

ที่มา -
#4582
ศูนย์ข่าวศรีราชา-รมช.คมนาคม ประกอบพิธีขึ้นระวางเรือ "เรือลากจูง" ลำใหม่ มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ประจำท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อทดแทนลำเก่าที่หมดสภาพ


วันนี้ (11 ม.ค.56) ณ อาคารกองบริการ ท่าเทียบเรือบริการ ท่าเรือแหลมฉบัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ประธานกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยคณะที่ปรึกษา ร่วมเป็นประธานในพิธีขึ้นระวางเรือ เรือลากจูงขนาดกำลังไม่น้อยกว่า 50 เมตริกตัน (เรือท่าเรือ 302)

ทั้งนี้ มีคณะบอร์ดการท่าเรือแห่งประเทศไทย และเจ้าหน้าที่การท่าเรือแหลมฉบัง ให้การต้อนรับ ซึ่งภายในงานได้นิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อความเป็นสิริมงคลในวันนี้

สำหรับเรือลากจูงลำใหม่นี้ ได้ว่าจ้างให้บริษัทอิตัลไทย มารีน จำกัด เป็นผู้ชนะการประกวดราคา เป็นเงินทั้งสิ้น 335,338,000 บาท เพื่อทดแทนเรือลากจูงเดิม (เรือท่าเรือ 201) ซึ่งเป็นเรือลากจูงแบบเก่า เสื่อมสภาพการใช้งาน เนื่องจากมีอายุการใช้งานเฉลี่ยประมาณ 28 ปีแล้ว

ดังนั้น เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานลากจูงเรือสินค้าได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย จึงต้องต่อเรือลำใหม่ขึ้นมาทดแทน โดยเป็นเรือที่มีขนาดกำลังฉุดไม่น้อยกว่า 50 เมตริกตัน มีขนาดความยาว 28 เมตร ความกว้าง 11 เมตร กินน้ำลึก 5.50 เมตร


นายประเสริฐกล่าวว่า การท่าเรือแหลมฉบังถือว่าเป็นท่าเรือที่มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ และเป็นที่ยอมรับของผู้ใช้บริการทั้งในประเทศ และต่างประเทศ การได้รับเรือลากจูงลำใหม่นั้นเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานที่จะมุ่งสู่การเป็นประตูการค้าหลักของประเทศ ด้วยการบริการที่เป็นเลิศ สนับสนุนระบบเศรษฐกิจ และสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล

ที่มา -
#4583
สื่อต่างประเทศเผยแพร่คลิปน่าทึ่ง "พายุฝุ่นประหลาดสีแดง"ซัดถาโถมเข้าเล่นงานชายฝั่งตะวันตกของออสเตรเลีย ปรากฏการณ์หาดูยากที่ถ่ายภาพไว้ได้โดยคนงานรายหนึ่ง


พายุฝุ่นและทรายสีแดงถูกกระแสลมในมหาสมุทรอินเดีย หอบมุ่งหน้าเข้าหาเมืองออนสโลว์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของออสเตรเลียเมื่อวันศุกร์(12) และนายเบรตต์ มาร์ติน คนงานเรือโยงจึงไม่รีรอที่จะหยิบกล้องมาบึนทึกภาพ "สึนามิทราย" นี้เอาไว้ ขณะที่เขาเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่าทัศนวิสัยตอนนั้นมองเห็นได้ไกลแค่ 100 เมตรเท่านั้น


นายเบรตต์ ซึ่งกำลังทำงานอยู่บนเกาะฟอลส์ ตอนที่พายุเคลื่อนผ่าน ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เวสต์ออสเตรเลียว่า "เรากำลังทำงานอยู่บนเรือก่อนพระอาทิตย์ตก และเห็นพายุกำลังก่อตัวในระยะไกลโดยบังเอิญ จากนั้นมันก็พัดแรงขึ้นๆ และยกระดับสู่ราวๆ 75 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาแค่ 2 นาที"

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นขณะที่ชาวบ้านของเมืองออนสโลว์ กำลังเตรียมตัวรับมือกับพายุไซโคลนนาเรลเล แต่ เกล็น คุก ผู้อำนวยการฝ่ายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสำนักงานอุตุนิยมวิทยาชี้ว่าพายุฝุ่นไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับไซโคลนลูกนี้ เนื่องจากศูนย์กลางของไซโคลนนาเรลเล อยู่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร


ที่มา -





#4584
เมื่อต้นเดือนธันวาคมปี 2012 ที่ผ่านมา มีจัดการประชุมอภิปรายยุทธศาสตร์การสร้างระบบการจราจรและการแลกเปลี่ยนทางทะเลระหว่างจีนกับอาเซียนขึ้นที่เมืองชินโจวเขตปกครองตนเองชนเผ่าจ้วงกวางสีทางภาคใต้ของจีน นักการเมืองและนักวิชาการจากจีนและหลายประเทศอาเซียน อาทิ เวียดนาม มาเลเซีย ไทยและสิงคโปร์ร่วมกันอภิปรายและเสนอความคิดเห็นต่างๆ เกี่ยวกับการสร้างระบบการจราจรและการแลกเปลี่ยนทางทะเล


โดยมีความเห็นทั่วไปว่า การสร้างระบบการจราจรทางทะเลเป็นเนื้อหาสำคัญของความร่วมมือระหว่างจีนกับอาเซียน ซึ่งมิเพียงแต่รวมถึงการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานด้านการคมนาคมเท่านั้น ยังรวมถึงนโยบายการเปิดตลาดต่อกัน การร่วมมือด้านอุตสาหกรรมการผลิต กับการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมและบุคลากร เป็นต้น ส่วนกวางสีมีความเหนือกว่าทางภูมิศาสตร์ คือ มีดินแดนที่ติดกับประเทศอาเซียน ทั้งยังมีเส้นทางการเดินเรือที่ไปมาได้อย่างสะดวก จึงพยายามเข้าร่วมการสร้างระบบการจราจรระหว่างจีนกับอาเซียนอย่างแข็งขัน

ในการประชุมครั้งนี้ นางหยาง ซิ่วผิง เอกอัครราชทูตจีนประจำอาเซียนกล่าวว่า การสร้างระบบการจราจรและการแลกเปลี่ยนทางทะเลเป็นจุดเด่นใหม่ของความร่วมมือระหว่างจีนกับอาเซียน

บรรดาผู้เข้าร่วมการประชุมเห็นว่า สร้างระบบการจราจรและการแลกเปลี่ยนระหว่างจีนกับอาเซียนมีความหมายสำคัญมากในการลดช่องว่างการพัฒนาของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ จีนเป็นประเทศใหญ่ทางทะเล มีชายฝั่งทะเลที่ยาวไกลมาก หลายประเทศของอาเซียนเป็นเพื่อนบ้านทางทะเลของจีนด้วย จีนและอาเซียนมีเงื่อนไขพร้อมที่จะดำเนินความร่วมมือทางทะเล สองฝ่ายคงสามารถผลักดันการสร้างระบบการจราจรทางทะเล สร้างกลไกความร่วมมือระหว่างเมืองท่า ส่งเสริมการท่องเที่ยวและการขนส่งทางทะเลให้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น และกระชับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจทางทะเล เป็นต้น

พร้อมๆ กับการพัฒนาของเขตการค้าเสรีจีน – อาเซียน นโยบายการจัดเก็บภาษีศุลกากรเป็นศูนย์ได้ครอบคลุมขอบเขตกว้างขึ้น ประเทศต่างๆ ได้เปิดตลาดและการลงทุนต่อกัน ทำให้การค้าระหว่างจีนกับอาเซียนโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ระบบการคมนาคมทางบกและทางอากาศก็สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ทำให้จีนกับอาเซียนนับวันใกล้ชิดยิ่งขึ้นเช่นกัน

นอกจากนั้น การท่าเรือและการขนส่งทางทะเลก็กลายเป็นลู่ทางสำคัญของการแลกเปลี่ยนระหว่างจีนกับอาเซียน ปัจจุบัน บริษัทโลจิสติกส์หลายแห่งในเมืองท่าเรือต่างๆ ของมณฑลกวางตุ้ง ไหหลำและกวางสี เป็นต้น ได้เปิดเส้นทางการขนส่งทางเรือกับเมืองท่าของสิงคโปร์ กัมพูชาและไทย เป็นต้น ทั้งยังได้สร้างความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องด้วย

ที่มา -
#4585
บริษัท ท่าเรือประจวบ จำกัด หรือ PPC มีท่าเทียบเรือให้บริการจำนวน 4 ท่า สามารถรองรับเรือขนถ่ายสินค้าที่มีระวางขับน้ำสูงสุดถึง 100,000 DWT พร้อมกัน 2 ลำ ซึ่งนับเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมเหล็กในการขนถ่ายวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์เหล็ก ด้วยต้นทุนการขนส่งที่ต่ำและแข่งขันได้ ตลอดระยะเวลา 19 ปีที่ "ท่าเรือประจวบ" หรือ PPC ได้เปิดให้บริการท่าเทียบเรือกับลูกค้าในกลุ่มบริษัทสหวิริยา เช่น บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี บมจ.เหล็กแผ่นรีดเย็นไทย บจ.เหล็กแผ่นเคลือบไทย รวมถึงการรองรับการขนส่งวัตถุดิบที่จะได้จากโรงถลุงเหล็กสหวิริยาสตีล ทีไซด์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งได้รับการยอมรับและไว้วางใจจากลูกค้าให้เป็นท่าเรือเอกชนที่มีประสิทธิภาพในการให้บริการที่ดีเยี่ยมตลอดมา


บริษัท ท่าเรือประจวบ จำกัด หรือ PPC เป็นธุรกิจให้บริการท่าเรือพาณิชย์เอกชนที่เล็งเห็นความสำคัญด้านการขนส่ง และด้านการบริการที่ครบวงจรและสามารถแข่งขันกับลูกค้าอื่นๆ ได้ บริษัทฯ ทำการเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนส่ง เพื่อรองรับความต้องการการขนถ่าย การขนส่งที่เต็มรูปแบบ พร้อมเปิดตัวให้กับผู้ใช้บริการ รวมถึงบุคคลภายนอกได้รู้จักบริษัทฯ มากยิ่งขึ้น รวมทั้งสามารถเข้ามาใช้บริการการขนส่งทุกรูปแบบอย่างครบวงจร

นายสุรินทร์ สายสิน ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ท่าเรือประจวบ จำกัด กล่าวถึงภาพรวมรายได้นอกเครือ ซึ่งเป็นรายได้ที่จัดเก็บจากลูกค้าอื่นๆ ที่นอกเหนือจากกลุ่มธุรกิจเหล็กว่า ภาพรวมรายได้นอกเครือมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2555 นี้ สามารถจัดเก็บได้ 18.6 ล้านบาท ซึ่งมากขึ้นกว่าปีผ่านมาคิดเป็น 11.64% และ 196.44% ตามลำดับ ทั้งนี้ รายได้นอกเครือดังกล่าว เป็นรายได้ที่จัดเก็บจากลูกค้าที่เป็นเจ้าของเรือหรือตัวแทน (เอเย่นต์เรือ) เจ้าของสินค้า (ผู้นำเข้าและผู้ส่งออก) เช่น ปาล์มน้ำมัน แร่ เป็นต้น รวมถึงลูกค้าอื่นๆ ที่มาเช่าและใช้บริการเพื่อดำเนินงานภายในบริเวณพื้นที่ท่าเรือ

จากความสำเร็จดังกล่าว ทางเราท่าเรือประจวบจึงมีการวางแผนที่จะพัฒนาและเร่งสร้างฐานรายได้จากลูกค้าอื่นๆ เพิ่มขึ้น โดยมีการตั้งเป้ารายได้ในอีก 3 ปีข้างหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 26, 30 และ 45 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งหากประสบความสำเร็จตามแผนที่วางไว้ในปลายปี 2558 นี้ บริษัทฯจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นถึง 800% หรือประมาณ 40 ล้านบาท ภายในรอบ 5 ปี ตั้งแต่เริ่มการเปิดให้บริการกับลูกค้าภายนอกเป็นต้นมาเลยทีเดียว

ที่มา -
#4586
บริษัท โมเดิร์น เทอร์มินอลส์ จำกัด (Modern Terminals Limited) ผู้บริหารท่าบริการตู้คอนเทนเนอร์ระดับแนวหน้าซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในฮ่องกง และบริษัท ดับเบิลยูเอ็นเอส (โฮลดิงส์) จำกัด (WNS (Holdings) Limited) ผู้นำของโลกด้านการรับจ้างงานในกระบวนการทางธุรกิจ (BPO) ประกาศสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อนำเสนอโซลูชั่นและบริการ BPO ให้แก่อุตสาหกรรมการขนส่งและลอจิสติกส์


ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว ดับเบิลยูเอ็นเอสและโมเดิร์น เทอร์มินอลส์ จะร่วมกันให้บริการ BPO แก่บริษัทเดินเรือ บริษัทขนส่ง 3PL และเรือขนส่งทางทะเล ซึ่งออกแบบมาเพื่อลดต้นทุนต่างๆ รวมถึงยกระดับกระบวนการทางธุรกิจให้มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

"เรายังคงมองหาแนวคิดใหม่ๆที่ทันสมัยยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถเพิ่มมูลค่าให้แก่ลูกค้าของเราได้อย่างมีศักยภาพ" ปีเตอร์ เจ เลเวสคิว (Peter J. Levesque) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ บริษัท โมเดิร์น เทอร์มินอลส์ กล่าว "การทำข้อตกลงกรอบการทำงานเชิงกลยุทธ์กับดับเบิลยูเอ็นเอส จะช่วยให้โมเดิร์น เทอร์มินอลส์ สามารถให้บริการที่สร้างสรรค์และหลากหลายแก่ลูกค้าได้ นอกเหนือจากบริการทั่วๆไปที่ท่าเรือ"

"เราเชื่อมั่นว่าการสร้างความร่วมมือกับโมเดิร์น เทอร์มินอลส์ จะทำให้ดับเบิลยูเอ็นเอสสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นบรรดาผู้นำในอุตสาหกรรมได้ ด้วยการร่วมกันนำเสนอความเป็นเลิศด้านการปฏิบัติงานและมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นในแก่ลูกค้า" เคชาฟ อาร์ มูรูเกช (Keshav R. Murugesh) ซีอีโอบริษัท ดับเบิลยูเอ็นเอส กล่าว

โมเดิร์น เทอร์มินอลส์ มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศด้านการให้บริการมาตลอดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ด้วยการเปิดท่าบริการตู้คอนเทนเนอร์แห่งแรกในฮ่องกงเมื่อเดือนกันยายนปี 2515 โมเดิร์น เทอร์มินอลส์ เพิ่งฉลองครบรอบ 40 ปีการก่อตั้งบริษัทไปเมื่อปีที่แล้ว และมีปริมาณความจุของตู้คอนเทนเนอร์กว่า 7 ล้าน TEU ต่อปี นอกจากนี้ โมเดิร์น เทอร์มินอลส์ ยังรุกขยายธุรกิจไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ บริษัทถือหุ้นใหญ่และเป็นผู้บริหาร Da Chan Bay Terminal One ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิร์ล รวมถึง Taicang International Gateway ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี

เจสัน ออกัสติน (Jaison Augustine) รองประธานอาวุโสและหัวหน้าหน่วยธุรกิจการขนส่งและลอจิสติกส์ของดับเบิลยูเอ็นเอส กล่าวเสริมว่า "เราเชื่อว่าการสร้างความร่วมมือครั้งนี้ทำให้เรามีสุดยอดแพลตฟอร์มในการนำเสนอโซลูชั่นที่ทันสมัยให้แก่บรรดาผู้นำอุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับโมเดิร์น เทอร์มินอลส์ โซลูชั่นของดับเบิลยูเอ็นเอสสำหรับอุตสาหกรรมการขนส่งและลอจิสติกส์ครอบคลุมกระบวนการทางธุรกิจสำคัญๆมากมาย ได้แก่ การจอง การจัดการอัตราภาษีศุลกากร การทำเอกสารการส่งออกและนำเข้า การปฏิบัติงานในท่าบริการตู้คอนเทนเนอร์ การควบคุมอุปกรณ์ การเงินและบัญชี ไปจนถึงการวิเคราะห์ต่างๆ เรารู้สึกตื่นเต้นที่มีโอกาสพัฒนาและปรับปรุงบริการเหล่านี้ผ่านการสร้างความร่วมมือในครั้งนี้"

ในการสร้างความร่วมมือครั้งนี้ ดับเบิลยูเอ็นเอสได้นำสถานะความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งในด้านการให้บริการ BPO แบบครบวงจรแก่อุตสาหกรรมการขนส่งและลอจิสติกส์ พร้อมด้วยความเป็นเลิศในด้านกระบวนการดำเนินงานที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว รวมถึงโซลูชั่นที่พัฒนาขึ้นสำหรับลูกค้าแต่ละรายโดยเฉพาะ และความรู้ที่สามารถนำไปใช้งานได้จริง


เกี่ยวกับโมเดิร์น เทอร์มินอลส์

โมเดิร์น เทอร์มินอลส์ มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศด้านการให้บริการมาตลอดนับตั้งแต่เปิดท่าบริการตู้คอนเทนเนอร์แห่งแรกในฮ่องกงเมื่อเดือนกันยายน 2515 นอกจากจะทำธุรกิจที่ท่าเรือฮ่องกงอย่างเต็มรูปแบบแล้ว บริษัทยังรุกขยายธุรกิจไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โมเดิร์น เทอร์มินอลส์ ถือหุ้นใหญ่และเป็นผู้บริหาร Da Chan Bay Terminal One ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิร์ล รวมถึง Taicang International Gateway ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี นอกจากนั้นยังถือหุ้นใน Shekou Container Terminals และ Chiwan Container Terminal ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิร์ล สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.ModernTerminals.com

เกี่ยวกับดับเบิลยูเอ็นเอส

ดับเบิลยูเอ็นเอส (โฮลดิงส์) จำกัด (NYSE: WNS) คือผู้นำของโลกด้านการรับจ้างงานในกระบวนการทางธุรกิจ หรือ BPO (Business Process Outsourcing) บริษัทนำเสนอคุณค่าทางธุรกิจให้แก่ลูกค้ากว่า 200 รายทั่วโลก ด้วยการผสานความเป็นเลิศในการปฏิบัติงานเข้ากับความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งในอุตสาหกรรมต่างๆ ได้แก่ การท่องเที่ยว ประกัน ธนาคารและบริการด้านการเงิน การผลิต การค้าปลีกและสินค้าอุปโภคบริโภค การขนส่งและลอจิสติกส์ ตลอดจนการดูแลสุขภาพและสาธารณูปโภค ดับเบิลยูเอ็นเอสให้บริการรับจ้างงานในกระบวนการทางธุรกิจเต็มรูปแบบ ทั้งในด้านการเงินและบัญชี การดูแลลูกค้า โซลูชั่นเทคโนโลยีต่างๆ การวิจัยและวิเคราะห์ ไปจนถึงงานส่วนหน้าและงานส่วนหลังสำหรับอุตสาหกรรมแต่ละประเภทโดยเฉพาะ ณ วันที่ 30 กันยายน 2555 ดับเบิลยูเอ็นเอสมีผู้เชี่ยวชาญ 25,714 คนประจำศูนย์บริการ 30 แห่งทั่วโลก ซึ่งรวมถึงในคอสตาริกา อินเดีย ฟิลิปปินส์ โปแลนด์ โรมาเนีย แอฟริกาใต้ ศรีลังกา สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.wns.com

ที่มา -

#4587
เมื่อเวลาประมาณ 11.30 น. ตามเวลา UTC ของวันที่ 5 มกราคม 2556 ขณะเรือบรรทุกสินค้าแบบตู้คอนเทนเนอร์  (Boxship) ชื่อ MSC Jasmine กำลังเดินเรืออยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ได้ถูกบุกโจมตีโดยโจรสลัดจำนวน 6 คนมาในเรือกรรเชียงเล็กติดเครื่องท้าย ที่พิกัดตำแหน่ง 0300N 05152E มหาสมุทรอินเดีย หรือระยะประมาณ 460 ไมล์ทะเลทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองโมกาได (Mogadishu) ประเทศโซมาเลีย


เรือสินค้า MSC Jasmine ถูกระดมยิงด้วยอาวุธปืนขนาดเล็กและจรวด RPG ลูกเรือทั้งหมดจำนวน 21 คน เป็นชาวยูเครน 20 คนและชาวรัสเซีย 1 คนได้หนีเข้าไปหลบซ่อนในห้องนิรภัย (citadel) โดยมียามติดอาวุธประจำเรือทำการยิงตอบโต้กับพวกโจรสลัด

เกิดการปะทะยิงต่อสู้กันระหว่างโจรสลัดกับยามติดอาวุธประจำเรือ จนพวกโจรสลัดได้ล่าถอยและหลบหนีไป เรือสินค้า MSC Jasmine จึงได้เดินทางต่อไปยังเมืองมอมบาซา ประเทศเคนยา และรายงานการถูกโจมตีครั้งนี้ไปยังกองกำลังทางเรือนานาชาติหรือ EUNAVFOR Atalanta Command ได้รับทราบ เพื่อออกตามล่ากลุ่มโจรสลัดต่อไป

เรือบรรทุกสินค้าแบบตู้คอนเทนเนอร์  (Boxship) ชื่อ MSC Jasmine มีรหัสหมายเลข IMO คือ 8420907 ขนาด 41771 dwt มีระวางบรรทุกตู้สินค้า 2073 TEU สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1988 จดทะเบียนชักธง Panama ผู้จัดการเรือคือบริษัท MSC MEDITERRANEAN SHIPPING CO.

ที่มา - | แปลและเรียบเรียงข่าวโดย
#4588
ลูกเรือจำนวน 11 คนของเรือบรรทุกสินค้าเรือทั่วไป (General cargo vessel) ชื่อ Julietta ของเยอรมัน ได้จอดเรือและหยุดงานประทว้งนายจ้างตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2556  ในท่าเรือ Grenaa ประเทศเดนมาร์ก


ตามรายงานจากเจ้าท่าเดนมาร์ก (Maritime Danmark) แจ้งว่าลูกเรือชาวลิทัวเนียและชาวยูเครน จำนวน 11 คน กล่าวว่าพวกเขายังไม่ได้รับชำระเงินเป็นค่าจ้างแรงงานจากนายจ้างมาเป็นเวลา 4 เดือนแล้ว และขอปฏิเสธที่จะทำงานเรือต่อไป โดยจะจอดยึดเรือไว้จนกว่าพวกเขาจะได้รับค่าจ้าง ทางท่าเรือ Grenaa ได้ร่วมสนับสนุนการกระทำของลูกเรือครั้งนี้ด้วย เรือสินค้า Julietta เดินทางมาจากเมืองเซวตา (Ceuta) เข้าถึงท่าเรือ Grenaa เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2556 ในระวางสินค้าบรรทุกเต็มไปด้วยสินค้าคือเกลือปริมาณ 10,000 ตัน

เรือบรรทุกสินค้าเรือทั่วไป (General cargo vessel) ชื่อ Julietta มีรหัสหมายเลข IMO คือ 9217151 ขนาด 10610 dwt สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2002 จดทะเบียนชักธง Antigua ผู้จัดการเรือคือบริษัท INTERSEE SCHIFFAHRTSGES, Germany.

ที่มา - | แปลและเรียบเรียงข่าวโดย
#4589
แถลงการณ์ของกระทรวงต่างประเทศอิตาลีเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2556 ระบุว่า โจรสลัดไนจีเรียได้ปล่อยตัวลูกเรือจำนวน 4 คนแล้ว (ชาวอิตาลี 3 คนและชาวยูเครน 1 คน) หลังลักพาตัวไปจากเรือบริการแท่นขุดเจาะ  (offshore supply vessel) ชื่อ Asso Ventuno ที่จอดลอยลำบริเวณห่างจากชายฝั่งไนจีเรียประมาณ 40 ไมล์ทะเล เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ปีที่แล้ว รัฐมนตรีต่างประเทศอิตาลีกล่าวว่า ลูกเรืออิตาลีทั้ง 3 คนจะเดินทางกลับสู่อิตาลีเร็วๆ นี้


ไม่มีความเห็นหรือรายงานเพิ่มเติมที่ทำไมโจรสลัดถึงได้ปล่อยลูกเรือทั้ง 4 คนให้เป็นอิสระ แต่มีข่าวสันนิษฐานว่าลูกเรือถูกปล่อยออกมาหลังจากที่พวกโจรสลัดได้เงินค่าไถ่เรียบร้อยแล้ว และยังไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับชะตากรรมของลูกเรืออีก 5 คนที่ถูกโจรสลัดกลุ่มเดียวกันลักพาตัวไปจากเรือบรรทุกน้ำมันอินเดียชื่อ SP Brussels เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2555

เรือบริการแท่นขุดเจาะ (offshore supply vessel) ชื่อ Asso Ventuno มีรหัสหมายเลข IMO คือ 9183192 ขนาด 3050 dwt สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1998 จดทะเบียนชักธง Italy ผู้จัดการเรือคือบริษัท AUGUSTA OFFSHORE SPA.

ที่มา - | แปลและเรียบเรียงข่าวโดย
#4590
เอเอฟพี - มีคนได้รับบาดเจ็บราว 50 ราย หลังเรือข้ามฟากในชั่วโมงเร่งด่วน ซึ่งอัดแน่นไปด้วยผู้โดยสาร ชนเข้ากับท่าเทียบเรือในแมนฮัตตันล่าง ของนิวยอร์กซิตีเมื่อวันพุธ(9 ม.ค. 56) อย่างไรก็ตามยังไม่ยืนยันถึงต้นตอของอุบัติเหตุครั้งนี้


สำนักงานดับเพลิงนิวยอร์กเผยว่าเรือเฟอร์รี ซึ่งเดินทางมาจากนิวเจอร์ซีย์ ประสบอุบัติเหตุชนเข้ากับท่าเทียบเรือ 11 ใน แม่น้ำอีสต์รีเวอร์ แถบแมนฮัตตันล่าง ไม่ไกลจากวอลล์สตรีท ณ เวลาประมาณ 8.45 น.(ตรงกับเมืองไทย 20.45 น.)

"ตอนนี้เรากำลังประเมินผู้ได้รับบาดเจ็บ ณ จุดเกิดเหตุราวๆ 50 คน เรายังไม่ทราบว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บมากน้อยแค่ไหน" โฆษกสำนักงานดับเพลิงนิวยอร์กกล่าว

ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่าเรือลำนี้แล่นมาเร็วเกินไปตอนที่พยายามเข้าจอดที่ท่าเทียบเรือ จนเป็นผลให้เรือกระแทกกับท่าอย่างแรง อย่างไรก็ตามชาร์ลส์ โรว์ โฆษกของเจ้าหน้าที่รักษาชายฝั่ง ยังไม่สรุปถึงต้นตอของอุบัติเหตุคราวนี้


รายงานข่าวระบุว่ามีผู้โดนสารราว 300 คนอยู่บนเรือลำดังกล่าวตอนที่ประสบอุบัติเหตุ โดยตำรวจและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงรุดมายังจุดเกิดเหตุและใช้เปลลำเลียงผู้ได้รับบาดเจ็บไปรักษาพยาบาลเบื้องต้น

ภาพข่าวตามสถานโทรทัศน์ช่องต่างๆ พบเห็นเหล่าผู้โดยสารห่มผ้าห่มเฝ้ารอความช่วยเหลืออยู่บนท่าเรือ ขณะเดียวกันก็พบเห็นร่องรอยความเสียหายขนาดใหญ่บริเวณลำตัวเรือ

ที่มา -




เรือข้ามฟากนิวยอร์กชนท่าเจ็บระนาว

วันนี้ (9 ม.ค.56) สำนักข่าวเอพีและเอเอฟพีรายงานจากนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่า เกิดอุบัติเหตุเรือโดยสารข้ามฟาก "ซีสทรีค วอลล์สตรีท" พุ่งชนราวสะพานท่าจอดเรือในนครนิวยอร์ก ช่วงฃั่วโมงเร่งด่วนเช้าวันพุธ ทำให้ผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บเกือบ 60 คน


นายชาร์ลส์ โรว์ โฆษกหน่วยเรือลาดตระเวนยามฝั่ง เผยว่า เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณก่อน 9.00 น. เล็กน้อย (21.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย) เรือโดยสารข้ามฟากลำดังกล่าว ซึ่งบรรทุกผู้โดยสารแน่นขนัด 326 คน คนขับและลูกเรืออีก 5คน เดินทางจากนิวเจอร์ซีไปยังเกาะแมนฮัตตัน แต่เรือพุ่งชนสะพานท่าจอดหมายเลข 11 ในแม่น้ำอีสต์ ริเวอร์ ของย่านโลเวอร์ แมนฮัตตัน ไม่ไกลจากย่านวอลล์สตรีท อย่างเต็มแรง ทำให้ผู้ที่อยู่บนเรือ และบนโป๊ะที่เตรียมจะลงเรือ ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 58 คน โดย 2 คนอาการสาหัส ถูกนำส่งโรงพยาบาล

ผู้ที่เห็นเหตุการณ์รายหนึ่ง เผยว่า เรือซีสทรีค วอลล์สตรีท ลำดังกล่าวแล่นมาด้วยความเร็ว และพุ่งชนราวสะพานเต็มแรง ทำให้ผู้โดยสารบนเรือ และบนโป๊ะ กระเด็นไปคนละทิศทาง เบื้องต้นเจ้าหน้าที่กำลังสอบสวนหาสาเหตุของอุบัติในครั้งนี้.

ที่มา -