ข่าว:

รับสมัครเฉพาะชาวเรือและผู้ที่สนใจที่เป็นคนไทยเท่านั้น สมัครแล้วรออนุมัติประมาณ 2-3 วัน หากต้องการด่วนโปรดแจ้ง webmaster@marinerthai.net

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - airrii

#1


บอกวิธีแก้อ่างล้างหน้าเป็นคราบเหลือง ปัญหาหนักใจของเหล่าพ่อบ้านแม่บ้าน พร้อมแนะนำสาร CEFIONTECT ที่สามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างยั่งยืน

CEFIONTECT นวัตกรรมสารเคลือบอ่างล้างหน้า หมดปัญหาคราบเหลือง!
เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า ถือเป็นเครื่องสุขภัณฑ์ชิ้นสำคัญอีกหนึ่งชิ้นในห้องน้ำที่เราต้องใช้งานกันอยู่ทุกวัน ทั้งใช้ล้างหน้า แปรงฟัน หรือล้างมือ ซึ่งหากใช้ไปนาน ๆ แต่ไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี จากอ่างที่เคยขาวสะอาดน่าใช้ ก็อาจเกิดคราบเหลืองจนทำให้ดูเก่าโทรมได้ และทำให้ภาพรวมของห้องน้ำดูไม่น่าใช้งาน แต่ในปัจจุบัน TOTO ได้มีการคิดค้นนวัตกรรมสารเคลือบ CEFIONTECT เพื่อช่วยให้สามารถทำความสะอาดอ่างล้างหน้าได้ง่ายยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาคราบสกปรกฝังลึก แต่เหล่าพ่อบ้านแม่บ้านอาจสงสัยว่า แม้จะทำความสะอาดห้องน้ำอย่างสม่ำเสมอแต่ทำไมถึงยังมีคราบเหลืองเหล่านี้เกิดขึ้น ไปหาคำตอบกันว่า คราบเหลืองบนอ่างล้างหน้ามีสาเหตุมาจากอะไร และสาร CEFIONTECT จะช่วยปกป้องการเกิดคราบเหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง วันนี้เรามีข้อมูลมาฝากกัน

อ่างล้างหน้าเป็นคราบเหลืองเกิดจากอะไร?
ไม่เพียงแต่อ่างล้างหน้าเท่านั้นที่ประสบปัญหาเป็นคราบเหลืองกวนใจ แต่คราบเหล่านี้ยังเกิดได้กับสุขภัณฑ์อื่น ๆ ในห้องน้ำด้วย ไม่ว่าจะเป็นโถสุขภัณฑ์ อ่างอาบน้ำ รวมถึงพื้นกระเบื้อง ซึ่งคราบเหลืองส่วนมาก มักมีสาเหตุมาจากปัจจัยเหล่านี้

อายุการใช้งาน
ห้องน้ำเป็นพื้นที่ที่ความชื้นสูง อีกทั้งยังเป็นแหล่งสะสมของคราบสบู่ คราบไขมัน เชื้อราและแบคทีเรีย จากการใช้งาน เมื่อใช้งานไปเป็นระยะเวลานาน จึงเกิดเป็นคราบเหลืองฝังแน่น ทำให้ห้องน้ำของเราดูสกปรก ไม่น่าใช้งานเหมือนอย่างเคย



การดูแลความสะอาดที่ผิดวิธี
อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้อ่างล้างหน้า และสุขภัณฑ์อื่น ๆ ในห้องน้ำเกิดคราบเหลือง คือ การทำความสะอาดที่ผิดวิธี ไม่ว่าจะเป็นการใช้สารเคมีบางชนิดที่มีฤทธิ์กัดกร่อนในการทำความสะอาดห้องน้ำ หรือการละเลยการทำความสะอาดจนคราบที่เคยขจัดออกได้ง่าย ๆ กลายเป็นคราบเหลืองที่ฝังลึกลงบนเนื้อสุขภัณฑ์

ปัจจัยอื่น ๆ
นอกเหนือจาก 2 ปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น คราบเหลืองบนอ่างและสุขภัณฑ์ชิ้นเดียวอื่น ๆ ยังมีสาเหตุมาจากปัจจัยอีกหลากหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความร้อน หลอดไฟห้องน้ำ แสงแดด ความชื้น คราบหินปูน รวมถึงสิ่งสกปรกและเชื้อรา ก็ล้วนแต่ทำให้เกิดคราบเหลืองได้ทั้งสิ้น

สาร CEFIONTECT คือ นวัตกรรมสารเคลือบพื้นผิวแบบเรียบลื่นพิเศษที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของ TOTO มีความละเอียดระดับนาโน หรือเท่าเส้นผม ทำให้ยากต่อการเกาะติดของคราบสกปรก ลดโอกาสการเกิดคราบเหลืองเนื่องมาจากสิ่งสกปรกสะสม ทำให้ง่ายต่อการทำความสะอาด โดยสาร CEFIONTECT จะถูกเคลือบลงบนพื้นผิวเซรามิกก่อนนำไปเผา จึงมีความทนทานสูง คงความสะอาด เงางาม แม้ผ่านการใช้งานเป็นระยะเวลานาน



นอกจากนี้ อ่างล้างหน้าของ TOTO ยังมีเทคโนโลยี LINEARCERAM ช่วยมอบความหรูหราและสวยงาม มีความบางเพียงแค่ 4 มิลลิเมตร และแข็งแรงทนทานมากกว่าการใช้วัสดุ Fireclay ที่ใช้กันทั่วไปถึง 2 เท่า สร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้งานว่าจะตอบโจทย์ทั้งในแง่ของความสวยงาม ความแข็งแรง ความปลอดภัย และง่ายต่อการทำความสะอาด

หรือหากท่านใด ชื่นชอบอ่างล้างหน้าพื้นผิวด้าน แต่ยังเป็นกังวลเรื่องความสะอาด เนื่องจากผิวเคลือบเซรามิกแบบด้านนั้นมักมีสิ่งสกปรกเกาะติดได้ง่ายกว่า อ่างล้างหน้าของ TOTO ก็มีเทคโนโลยี CLEAN MATE เนื้อผิวเซรามิกแบบเคลือบด้านขั้นสูง ผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน ยกระดับงานออกแบบเพื่อให้สุขภัณฑ์ห้องน้ำดูนุ่มนวลดุจแพรไหม ซึ่งความงดงามนี้ทำให้แตกต่างจากผิวเคลือบเซรามิกทั่วไป อีกทั้งยังทำให้สิ่งสกปรกเกาะติดได้ยาก และทำความสะอาดง่ายขึ้น

ไม่อยากเหนื่อยกับการทำความสะอาด มองหาเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าที่เคลือบสาร CEFIONTECT มีผิวเรียบลื่น ลดปัญหาการเกาะติดของคราบสกปรกและคราบเหลือง ง่ายต่อการทำความสะอาด เลือกอ่างล้างหน้า TOTO ที่มีให้เลือกหลายสไตล์ ทั้งอ่างล้างหน้าวางบนเคาน์เตอร์, อ่างล้างหน้าแบบฝังครึ่งเคาน์เตอร์, ฝังบนเคาน์เตอร์, ฝังใต้เคาน์เตอร์, และแบบแขวนผนัง ตอบโจทย์ทุกดีไซน์การตกแต่งห้องน้ำ สัมผัสประสบการณ์ความสะอาดที่เหนือระดับ


#2



เมื่อเข้าสู่วัยทำงานแล้วสิ่งที่เหล่ามนุษย์เงินเดือนจะเริ่มทำกันก็คือ การออมเงิน ซึ่งการออมเงินนั้นเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมาก ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่ มีรายได้มากหรือน้อย ทุกคนก็ควรออมเงินและวางแผนการเงินเอาไว้แต่เนิ่นๆ ส่วนวิธีการออมเงินนั้นมีมากมายหลายวิธี ซึ่งวิธีที่นำมาฝากในวันนี้คือการออมด้วย การซื้อกองทุน และการออมด้วยการทำประกันออมทรัพย์ ประกันลดหย่อนภาษี

กองทุนรวม
สำหรับหนึ่งในวิธีการออมเงินที่หลายคนโดยเฉพาะคนในวัยทำงานนิยมเลือกก็คือ การลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งมีด้วยกัน 2 ประเภท ดังนี้

1.  กองทุนรวมเพื่อการออม Super Saving Fund (SSF)
เป็นกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว ข้อดีของกองทุนประเภทนี้คือสามารถลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภททั้งแบบจ่ายและไม่จ่ายเงินปันผล มีระดับความเสียงให้เลือกตั้งแต่ระดับต่ำ – สูงมาก ไม่กำหนดขั้นต่ำในการซื้อ ไม่จำเป็นต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี และที่พิเศษกว่ากองทุนรวมทั่วไปคือกองทุน SSF เป็นกองทุนที่รัฐบาลอนุญาตให้สามารถนำจำนวนเงินที่ซื้อกองทุนมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป โดยจะลดหย่อนแบบปีต่อปี เราซื้อปีไหน ก็ลดหย่อนในปีนั้น ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ปี 2563-2567

2. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ Retirement Mutual Fund (RMF)
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ เป็นกองทุนที่ส่งเสริมเกิดการออมเงินในระยะยาวไว้สำหรับใช้จ่ายยามเกษียณ โดยจะเป็นการออมแบบบังคับให้ลงทุนยาว ๆ ด้วยเงื่อนไขหลักคือ ต้องลงทุนอย่างน้อย 5 ปีต่อเนื่อง หรืออย่างน้อยที่สุดคือปีเว้นปี ถ้าเว้นมากกว่าหนึ่งปีจะถือว่าทำผิดเงื่อนไข และจะต้องมีอายุครบ 55 ปี จึงจะสามารถขายคืนหน่วยลงทุนมาใช้ได้ โดยกองทุนประเภทนี้มีข้อดีที่จะไม่มีกำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำต่อปี และปัจจุบันยังเพิ่มการลดหย่อนภาษีจากเดิมที่ 15% เป็นไม่เกิน 30% ของเงินได้อีกด้วย

 

ข้อดี ข้อเสีย ของการออมเงินด้วยกองทุน

ข้อดีของการออมเงินด้วยกองทุน
ข้อดี คือ ผู้ออมจะได้รับกำไรเป็นภาษีที่ได้รับการลดหย่อนตามหน่วยเงินที่ได้ลงทุนไป และเมื่อครบกำหนดระยะเวลาของการลงทุนในกองทุนก็สามารถขายหน่วยกองทุนที่เราซื้อไว้คืนเป็นเงินกลับมาได้ด้วย ประกันควบการลงทุน

ข้อเสียของการออมเงินด้วยกองทุน
ข้อเสีย คือ เป็นการลงทุนที่มีอัตราความเสี่ยงเพิ่มเข้ามา อาจเกิดปัญหาขาดทุน และเนื่องจากมีระยะเวลากำหนดในการซื้อกองทุนเป็นระยะเวลานานไม่น้อยกว่า 5 ปี จึงไม่เหมาะสำหรับคนที่รีบใช้เงิน และต้องแน่ใจว่าเงินที่ลงทุนไปนั้นเป็นเงินเย็นจริง ๆ

ประกันออมทรัพย์
ประกันออมทรัพย์เป็นประกันที่เน้นการออมเงิน คล้ายกับการนำเงินไปฝากธนาคาร แต่สิ่งที่เราจะได้เพิ่มขึ้นจากผลตอบแทนแล้วยังได้รับความคุ้มครองตามมาด้วย โดยการออมเงินในแบบของประกันชีวิตสะสมทรัพย์จะมีทั้งแบบระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ที่มีอายุตั้งแต่ 3-5 ปี หรือยาวไปจนถึง 25-30 ปี เลยทีเดียว โดยมักจะกำหนดเป็นระยะเวลา 5/10 7/15 15/25 1/30 20/20 เป็นต้น ซึ่งตัวเลขเหล่านั้นจะบ่งบอกถึงจำนวนปีที่ชำระเบี้ยประกัน และจำนวนปีที่คุ้มครอง เช่น ประกันชีวิต แบบออมทรัพย์ 5/10 หมายถึง ระยะเวลาจ่ายชำระเบี้ย 5 ปี ให้ความคุ้มครองชีวิต 10 ปี โดยเมื่อครบกำหนดอายุกรมธรรม์ ก็จะได้รับเงินออมและผลประโยชน์ตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ที่กำหนดไว้ เป็นต้น

 

ข้อดี ข้อเสีย ของการออมเงินด้วยประกันออมทรัพย์

ข้อดีของการออมเงินด้วยประกันออมทรัพย์
ข้อดีของประกันออมทรัพย์นั้นส่งเสริมการออมในระยะยาวจึงสามารถใช้เป็นเครื่องมือออมเงินเพื่อไว้ใช้ยามชรา หรือออมไว้เพื่อเก็บเป็นทุนการศึกษาของบุตรหลานได้ และยังมีข้อดีที่ได้ทั้งเงินออม ผลตอบแทน พร้อมกับการคุ้มครองชีวิตเพิ่มขึ้นมา นอกจากนี้แล้วยังมีข้อดีทั้งการไม่เสียภาษีและการลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย

ข้อเสียของการออมเงินด้วยประกันออมทรัพย์
คือ ด้วยการออมประเภทนี้เป็นการออมที่ทุนประกันไม่ค่อยสูง เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับแบบประกันประเภทอื่นๆ หากเทียบกับการออมประเภทที่ต้องจ่ายเบี้ยประกันที่เท่ากัน และประกันออมทรัพย์ยังค่อนข้างจะมีสภาพคล่องต่ำเมื่อเทียบกับการออมประเภทอื่นๆ ที่สามารถถอน หรือแปลงเป็นเงินสดได้ เป็นต้น
#3



หัวฝักบัว ไอเทมอาบน้ำคู่ห้องน้ำที่ทุกบ้านขาดไม่ได้ แต่บ่อยครั้งเรามักจะเจอกับปัญหาน้ำจากฝักบัวไหลช้าจนน่าหงุดหงิด ทำให้อาบน้ำได้ไม่เต็มที่เหมือนตอนซื้อมาใหม่ ๆ ใครที่กำลังเผชิญกับปัญหานี้ อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจจ่ายเงินเพื่อเปลี่ยนหัวฝักบัว เพราะแท้จริงแล้ว หัวฝักบัวของคุณอาจจะแค่ตัน สามารถแก้ไขให้กลับมาใช้งานได้ดีดังเดิมได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีเหล่านี้

สาเหตุที่ทำให้หัวฝักบัวตัน
ก่อนที่จะไปศึกษาวิธีทำความสะอาด มาลองดูกันก่อนว่า ปัญหาฝักบัวตันสามารถเกิดได้จากสาเหตุอะไรบ้าง เพื่อดูแลป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นในอนาคต
    *สิ่งสกปรก ที่ปนเปื้อนมากับน้ำ เช่น ตะกอนหินปูน เศษผม เศษสบู่ เศษผงซักฟอก เศษใบไม้ เศษดิน เป็นต้น มักจะสะสมและตกค้างอยู่ในหัวฝักบัวจนเกิดการอุดตัน ส่งผลให้น้ำไหลออกมาไม่แรง
    *การใช้งานที่ไม่ถูกต้อง เช่น การเปิดน้ำแรงเกินไป การใช้น้ำร้อนเป็นเวลานาน หรือการทำความสะอาดหัวฝักบัวไม่บ่อย ล้วนเป็นสาเหตุที่อาจทำให้หัวฝักบัวเกิดการอุดตันได้

วิธีทำความสะอาดหัวฝักบัวอาบน้ำ แก้ปัญหาหัวฝักบัวตัน

สูตรเบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชู
เป็นที่รู้กันดีว่าเบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชูมักถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในการทำความสะอาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเบกกิ้งโซดามีคุณสมบัติเป็นด่างอ่อนที่ช่วยละลายคราบสกปรกได้ ส่วนน้ำส้มสายชูมีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อนที่ช่วยสลายหินปูน ทั้งสองจึงสามารถออกฤทธิ์ร่วมกันได้เป็นอย่างดี โดยสามารถทำได้ด้วยการถอดหัวฝักบัวออกจากสายฝักบัว จากนั้นผสมเบกกิ้งโซดา 2 ช้อนโต๊ะกับน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย แล้วนำส่วนผสมไปเทบนหัวฝักบัว ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที เมื่อครบเวลาแล้วให้ใช้แปรงสีฟันเก่า หรืออุปกรณ์ทำความสะอาดที่มีขนแปรงมาขัดถูหัวฝักบัวเบา ๆ จากนั้นทำการล้างหัวฝักบัวด้วยน้ำสะอาด



สูตรยาสีฟัน
ยาสีฟันมีส่วนผสมของซิลิก้าที่ช่วยขจัดคราบสกปรกที่ทุกบ้านต้องมีกันอยู่แล้ว ซึ่งวิธีการทำความสะอาดฝักบัวด้วยยาสีฟันก็สามารถทำได้ง่าย เพียงแค่บีบยาสีฟันขนาดเท่าเหรียญ 5 บาทลงบนบริเวณที่ต้องการขัด จากนั้นใช้แปรงขัดเบา ๆ ซึ่งยาสีฟันจะช่วยทำให้คราบสกปรกที่ฝังอยู่ค่อย ๆ หลุดออก


สูตรน้ำส้มสายชูและน้ำมะนาว
นอกจากน้ำส้มสายชูแล้ว น้ำมะนาวก็มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อนที่ช่วยสลายหินปูนได้เช่นกัน การใช้ทั้งน้ำส้มสายชูและน้ำมะนาวร่วมกันจึงสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำความสะอาดได้มากยิ่งขึ้น โดยแนะนำให้ผสมน้ำส้มสายชู 400 มิลลิลิตร กับน้ำมะนาว 1/3 ถ้วยตวงให้เข้ากัน จากนั้นถอดหัวฝักบัวเพื่อนำมาแช่น้ำแล้วค่อย ๆ ใส่น้ำส้มสายชูและน้ำมะนาวที่ผสมกันไว้ลงไป ทิ้งไว้ประมาณ 1 คืน แล้วนำมาขัดทำความสะอาดด้วยแปรงอีกครั้ง



ก๊อกน้ำฝักบัว หมั่นดูแลอุปกรณ์ในห้องน้ำให้สะอาดเหมือนใหม่เพื่อเพิ่มอนามัยในการใช้ชีวิตอยู่เสมอ
การใช้งานฝักบัวคือเรื่องสำคัญที่เราจำเป็นต้องใส่ใจ เนื่องจากว่าเราใช้งานฝักบัวทุกวัน ดังนั้นเพื่อให้เพลิดเพลินกับการอาบน้ำrain showerได้อย่างมีประสิทธิภาพ มอบความสดชื่นเพื่อเตรียมพร้อมรับวันใหม่ ตลอดจนการอาบน้ำเพื่อผ่อนคลายวันที่เหนื่อยล้าในยามค่ำคืน เราจึงควรเลือกใช้ฝักบัวที่มีประสิทธิภาพ ได้มาตรฐาน และหมั่นเช็คบำรุงรักษาให้อุปกรณ์ใช้งานได้ดีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกๆ วัน



#4


ปัจจุบันโรคระบาดโควิด-19 (Covid-19) นั้นได้กระจายไปทั่วแทบทุกพื้นที่ มีหลายคนที่ได้รับเชื้อไวรัสชนิดนี้กันมากขึ้น และทำให้หลายคนกลายเป็นผู้มีประวัติสุขภาพว่าเคยเป็นโควิด-19 กันมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนรักษาด้วยสิทธิ์การดูแลจากรัฐ บางคนรักษาด้วยประกันที่ได้ทำไว้

ทำให้หลายคนก็เกิดความกังวลว่า เมื่อเคยเป็นผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 มาแล้ว มีข้อกังวลด้านสุขภาพมากขึ้นนั้น จะสามารถทำประกันสุขภาพ ได้หรือไม่ วันนี้มีคำตอบมาให้หลายคนที่กำลังสงสัยกัน

หายจากโควิดแล้วทำประกันสุขภาพได้เลยหรือไม่
จากการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการทำประกันสุขภาพหลังติดเชื้อได้ข้อมูลว่า สำหรับผู้ที่เคยติดโควิด-19 สามารถทำประกันสุขภาพได้หลังจากหายป่วยแล้วราว 3-6 เดือน ซึ่งจะใช้ระยะเวลามากหรือน้อยกว่านั้นขึ้นอยู่กับอาการที่เราเป็นขณะป่วย

โดยก่อนทำประกันสุขภาพสามารถแนบผลการรักษาเพื่อยืนยัน และเป็นไปตามที่เงื่อนไขของกรมธรรม์ได้ ซึ่งลักษณะอาการ สำหรับการทำประกันสุขภาพหลังติดเชื้อ มีดังนี้

1. ติดเชื้อ ไม่มีอาการ หายแล้ว ทำได้เลย
สำหรับผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการแสดงใดๆ เมื่อกักตัวครบกำหนด ตรวจแล้วไม่พบเชื้ออีกครั้ง สามารถทำประกันสุขภาพได้ทันที

2. แอดมิท แต่ไม่หนัก หายแล้ว 1 เดือน ทำได้
สำหรับผู้ที่ติดเชื้อและเข้ารักษาด้วยอาการไม่หนัก เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ไม่มีอาการของปอดอักเสบ โดยส่วนใหญ่หลังหายแล้วเป็นเวลา 30 วัน หรือ 1 เดือนก็สามารถทำประกันสุขภาพได้
 
3. แอดมิท ICU ไม่ใส่ท่อ หายแล้ว 6 เดือน
สำหรับผู้ที่ติดเชื้อและเข้ารักษาด้วยอาการระดับอาการรุนแรง เช่น มีอาการปอดอักเสบชนิดรุนแรง ระดับออกซิเจนในปอดต่ำ ต้องเข้าห้อง ICU แต่ไม่ถึงขั้นต้องใส่ท่อ โดยส่วนใหญ่หลังหายเป็นเวลา 6 เดือน ก็สามารถเริ่มทำประกันสุขภาพได้

4. แอดมิท ICU ใส่ท่อ หายแล้ว 1 ปี ทำได้
สำหรับผู้ที่ติดเชื้อและเข้ารักษาด้วยอาการในภาวะวิกฤติ คือต้องเข้าห้อง ICU ใส่ท่อ เครื่องช่วยหายใจ โดยส่วนใหญ่หลังหายป่วย จะใช้ระยะเวลาอยู่ที่ 1 ปีจึงสามารถเริ่มทำประกันสุขภาพได้

5. โควิด เรื้อรัง ส่วนมากทำไม่ได้
สำหรับผู้ที่ติดเชื้อแล้วมีอาการเรื้อรัง หรือมีอาการ long Covid ส่วนมากมักถูกพิจารณาให้ไม่สามารถทำประกันสุขภาพได้



กรณีของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 (Covid-19) ทำให้เห็นเลยว่าการทำประกันสุขภาพนั้นดีอย่างไร เพราะไม่อาจรู้เลยว่าโรคระบาด หรือโรคร้ายต่างๆ นั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
ดังนั้นการทำประกันสุขภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญซื้อประกันให้พ่อแม่ โดยเฉพาะกับบริษัทที่ไว้วางใจได้ อย่างประกันสุขภาพจาก ไทยประกันชีวิต ที่มีทั้งความคุ้มครองที่คุ้มค่า จากบริษัทที่มั่นคง และเชื่อถือได้
และสำหรับผู้ที่สงสัยว่าหากเคยติดเชื้อแล้วจะสามารถทำประกันได้หรือไม่นั้น คงได้คำตอบสำหรับคำถามนี้อย่างชัดเจนแล้ว ซึ่งหวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ผู้ที่ข้องใจ และสำหรับผู้ที่กำลังตัดสินใจหรือวางแผนในการซื้อประกันสุขภาพได้ไม่มากก็น้อย ประกันชีวิต แบบออมทรัพย์



#5



สุขภัณฑ์อัตโนมัติ หรือ โถชักโครกอัจฉริยะ (smart toilet)จาก TOTO ช่วยสร้างความสะดวกสบายและความปลอดภัยภายในห้องน้ำได้มากขึ้นด้วยนวัตกรรมล้ำสมัยของสุขภัณฑ์อัจฉริยะหรือ Smart Toilet ที่ควบคุมแบบไร้สัมผัสผ่านรีโมทคอนโทรลได้ง่าย ๆ เพียงแค่ใช้ปลายนิ้ว หมดปัญหาพื้นห้องน้ำเฉอะแฉะจากการใช้งานสายฉีดชำระ พร้อมก๊อกน้ำเซ็นเซอร์ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้น นอกจากนี้ระบบการทำงานของชักโครกอัจฉริยะยังทำงานแบบอัตโนมัติครบวงจรตั้งแต่ที่คุณเข้าห้องน้ำจนเสร็จสิ้นธุระ เพื่อช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการสัมผัสสิ่งสกปรกโดยไม่จำเป็นด้วยฟังก์ชันต่าง ๆ เหล่านี้

    *AUTO OPEN / CLOSE LID ฝารองนั่งเปิด-ปิด อัตโนมัติ เมื่อผู้ใช้งานเข้าใกล้โถสุขภัณฑ์ ลดการสัมผัสสิ่งสกปรก

    *SOFT LIGHT เมื่อฝารองนั่งเปิดโดยอัตโนมัติ ไฟส่องสว่างจะทำงานโดยทันที ให้ความสว่างเพียงพอในยามค่ำคืน ไม่ถูกรบกวนจากไฟในห้องน้ำ

    *HEATED SEAT ฝารองนั่งปรับอุณหภูมิได้ เพิ่มความอบอุ่น และความสบายทุกครั้งที่ใช้งาน

    ที่ฉีดชำระอัตโนมัติ ที่ฉีดชำระที่มาพร้อมรูปแบบการทำความสะอาดที่หลากหลาย และยังเพิ่มแรงดันน้ำและปรับน้ำอุ่นได้ตามความต้องการ นอกจากนี้ TOTO ยังเพิ่มเทคโนโลยี AIR-IN WONDER WAVE ที่ช่วยเพิ่มมวลอากาศเข้าไปในหยดน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการชำระล้างได้มากยิ่งขึ้น โดยใช้น้ำในปริมาณที่น้อยลง

    *DEODORIZER ระบบกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ภายในโถสุขภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยทำการฟอกกลิ่นภายในโถสุขภัณฑ์ทั้งระหว่างและหลังการใช้งาน

    *AUTO FLUSH สุขภัณฑ์อัจฉริยะมาพร้อมกับระบบชำระล้างอัตโนมัติหลังการใช้งานสะดวก สะอาดไร้กังวล



ชักโครกอัจฉริยะ (smart toilet) หรือ โถสุขภัณฑ์ระบบอัตโนมัติที่สะอาดได้มากกว่าด้วยนวัตกรรม CLEAN SYNERGY
CLEAN SYNERGY เป็นการทำงานร่วมกันของเทคโนโลยีเพื่อความสะอาดในชักโครกระบบอัตโนมัติจาก TOTO ช่วยให้โถสุขภัณฑ์สะอาดหมดจด รวมไปถึงช่วยกำจัดสิ่งสกปรกที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และโถสุขภัณฑ์ยังสามารถทำความสะอาดตัวเองได้แบบอัตโนมัติ ช่วยลดปริมาณการทำความสะอาดด้วยสารเคมีที่เป็นอันตราย รวมทั้งช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ประกอบไปด้วยฟีเจอร์สำคัญเหล่านี้

    *EWATER+ for BOWL EWATER+ คือน้ำที่ผ่านกระบวนการอิเล็กโตรไลซ์ ใช้ในการทำความสะอาดก้านฉีดชำระและโถสุขภัณฑ์ ช่วยลดคราบสิ่งสกปรกและแบคทีเรียที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า โดยปราศจากการใช้สารเคมี ซึ่งนอกจากที่ EWATER+ จะทำความสะอาดก้านฉีดชำระและโถสุขภัณฑ์หลังจากการใช้งานในแต่ละครั้งแล้ว ยังทำงานโดยอัตโนมัติทุก 8 ชั่วโมงหลังจากการใช้งานครั้งสุดท้ายเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เมื่อเวลาผ่านไป EWATER+ จะเปลี่ยนสภาพกลับเป็นน้ำประปาธรรมดา ทำให้วางใจได้ว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

    *EWATER+ for WAND ก้านฉีดชำระทำความสะอาดตัวเองอัตโนมัติด้วย EWATER+ ทุกครั้งหลังการใช้งานโดยจะทำความสะอาดทั้งภายในและภายนอก หรือแม้กระทั่งตอนที่ห้องน้ำไม่ได้ถูกใช้งาน ก้านฉีดชำระจะยังคงทำความสะอาดตัวเองเป็นระยะ เพื่อให้มั่นใจในสุขอนามัยที่ดีอยู่เสมอ
    *CEFIONTECT สารเคลือบแบบพิเศษที่เคลือบบนผิวผลิตภัณฑ์เซรามิกของ TOTO ช่วยให้ผิวสุขภัณฑ์เรียบลื่น เงางาม ทำให้สิ่งสกปรกเกาะติดได้ยากยิ่งขึ้น และช่วยลดคราบสกปรกบนโถสุขภัณฑ์ อีกทั้งมีความทนทานสูง CEFIONTECT จึงถือเป็นการออกแบบเพื่อความสวยงามคงทนและความสะอาดอย่างสมบูรณ์แบบ

    *TORNADO FLUSH ทำความสะอาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยสายน้ำทรงพลังผสานกับแรงหมุนวนครบ 360 องศา สามารถทำความสะอาดโถสุขภัณฑ์แบบไร้ขอบได้ทุกซอกทุกมุม แต่ใช้ปริมาณน้ำน้อยลง โดยสุขภัณฑ์ของโตโต้ใช้น้ำน้อยที่สุดเพียง 3.8 ลิตรเท่านั้น ถือเป็นสุขภัณฑ์ชิ้นเดียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    *PREMIST การฉีดพ่นละอองน้ำลงบนพื้นผิวโถสุขภัณฑ์ก่อนการใช้งาน เมื่อน้ำที่กระจายออกสัมผัสกับพื้นผิวที่เรียบลื่น ทำให้ชำระล้างสิ่งสกปรกได้หมดจดกว่าโถสุขภัณฑ์ทั่วไป



เทคนิคการเลือกสุขภัณฑ์อัตโนมัติ หรือ ชักโครกอัจฉริยะ (smart toilet)ให้เหมาะกับการใช้งาน

    รูปทรงและขนาด
    ควรเลือกสุขภัณฑ์ที่มีความสูงและขนาดที่เหมาะสมต่อการใช้งาน โดยเมื่อนั่งแล้วเท้าควรอยู่ติดพื้นพอดี เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานไม่ต้องออกแรงลุกนั่งมากเกินไป ไม่ว่าวัยใดก็ใช้งานได้อย่างสะดวก และควรเลือกฝารองนั่งที่รองรับสรีระได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้นั่งใช้งานได้สบายไม่ปวดเมื่อย

    ระบบเซ็นเซอร์
    ควรเลือกใช้สุขภัณฑ์อัตโนมัติที่มีระบบเซ็นเซอร์ตลอดการทำงาน เช่น เซ็นเซอร์เปิด-ปิดฝารองนั่งอัตโนมัติ ระบบชำระล้างอัตโนมัติ และระบบเซ็นเซอร์ทำความสะอาดตัวเอง ซึ่งจะช่วยลดการสัมผัสสิ่งสกปรกบนโถสุขภัณฑ์

    ระบบที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัย
    ควรเลือกสุขภัณฑ์อัตโนมัติที่มีไฟส่องสว่างทำงานอัตโนมัติ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยสำหรับการใช้งานในช่วงกลางคืนเหมาะกับห้องน้ำผู้สูงอายุ มากๆ

    ฟังก์ชั่นอื่น ๆ
    นอกจากฟังก์ชันการใช้งานหลักแล้ว ควรดูฟังก์ชันเสริมอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น การควบคุมการทำงานของก้านฉีดชำระทั้งระดับความแรง และรูปแบบสายน้ำที่ต้องการ ไปจนถึงระบบกำจัดกลิ่นภายในโถชักโครกไฟฟ้าที่ช่วยให้ใช้งานได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น


#6


หลายคนที่ยังไม่ตัดสินใจเลือก ซื้อประกันสุขภาพ อาจจะเพราะยังสงสัยว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นหรือไม่ ยิ่งถ้ารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนที่เจ็บป่วยถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ ก็คงยิ่งรู้สึกว่าไม่จำเป็นจะต้องมีประกันสุขภาพ แต่โรคภัยไข้เจ็บนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ อีกทั้งการทำประกันสุขภาพก็เป็นเหมือนการวางแผนรับมือที่ดีให้กับชีวิต และเพื่อเป็นทางเลือกประกอบการตัดสินใจ เราได้นำ5เหตุผลที่ควรทำประกันสุขภาพ มาให้ได้พิจารณากัน

1.การเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
คุณคงไม่อาจพูดได้ว่า "ภายในปีนี้ฉันจะไม่ป่วยเด็ดขาด" ปัจจัยภายนอกต่างๆ ทั้งโรคระบาด สภาพอากาศ มลภาวะ ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต รวมถึงอาหารการกิน ก็อาจก่อให้เกิดโรคขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ อีกทั้งภูมิคุ้มกันในร่างกายที่ไม่เท่ากันก็ทำให้คุณไม่สามารถทำนายความร้ายแรงของโรคที่เป็นอยู่ได้ ยกตัวอย่างเช่น นาย A และ นาย B ป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่เหมือนกัน แต่นาย A มีภูมิคุ้มกันที่น้อยกว่า ทำให้มีโรคแทรกซ้อนในขณะที่นาย B หายป่วยแล้ว และภาระที่ตามมาก็คือค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ซึ่งในทุกๆ ปี

อัตราค่าใช้จ่ายทางการแพทย์จะเพิ่มขึ้นราว 6 - 10% ยังไม่นับรวมค่าใช้จ่ายในการมาพบแพทย์เพื่อติดตามอาการ เช่น การที่คุณเข้ารับการผ่าตัดในโรงพยาบาล จนแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ ก็อาจจะยังต้องกลับมาทำความสะอาดแผลอีกราว 1 - 2 สัปดาห์ นับเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่ต้องแบกรับ ดังนั้นการมีประกันสุขภาพจึงเป็นตัวช่วยลดค่าใช้จ่าย และทำให้คุณรู้สึกอุ่นใจในการใช้ชีวิตที่มีแต่ความเสี่ยงมากขึ้น



2.รู้สึกอุ่นใจเมื่อได้รับการดูแลจากบริษัทประกัน
เชื่อว่าเมื่อคุณ หรือ คนใกล้ชิดในครอบครัวเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นมา การมีบริษัทประกันที่เชื่อถือได้มาช่วยดูแลความยุ่งยากที่เกิดขึ้น ก็จะเป็นการช่วยแบ่งเบาความกังวลใจ และทำให้คุณโฟกัสกับการรักษาได้ดีขึ้น เมื่อหายแล้วก็ไม่ต้องกังวลใจเรื่องการจัดการเอกสาร และ การเบิกจ่าย เพราะบริษัทประกันจะเป็นผู้ประสานงานกับโรงพยาบาลเพื่ออำนวยความสะดวกให้คุณ

นอกจากนั้นบริษัทประกันส่วนมากยังมีบริการให้คำปรึกษา เพื่อให้คุณได้เลือกแผนประกันสุขภาพที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคุณมากที่สุด และ คำนวณเบี้ยประกันให้เหมาะสมกับรายได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นวัยเรียน วัยทำงานที่เริ่มสร้างเนื้อสร้างตัว หรือวัยกลางคนที่กำลังวางแผนการเกษียณ ก็สามารถเลือกประกันสุขภาพที่คุ้มค่าที่สุดให้กับตัวเองได้

3.ลดภาระทางการเงิน
ทุกคนคงทราบแล้วว่าประกันสุขภาพช่วยลดค่าใช้จ่ายเมื่อคุณเจ็บป่วย และต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล แต่อันที่จริงแล้วประกันสุขภาพยังมีการครอบคลุมค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกหลายประการ เช่น ผู้ป่วยนอก (OPD) หรือการเข้ารับการรักษาแบบไม่ได้แอดมิท (นอนโรงพยาบาล) หรือ ค่าชดเชยรายได้ ในกรณีที่คุณต้องลาป่วยจนไม่ได้รับรายได้จากการทำงาน และ สิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่แตกต่างกันตามแผนประกันสุขภาพนั้นๆ ซึ่งจะช่วยลดภาระทางงานเงินของคุณในหลายๆ ทาง ไม่เพียงแค่ค่ารักษาพยาบาลอย่างที่หลายคนเข้าใจ



4.ลดภาระของครอบครัว
เมื่อคุณต้องล้มหมอนนอนเสื่อ คนที่จะกังวลใจมากที่สุดไม่ใช่ตัวคุณเอง แต่คือครอบครัว และ คนใกล้ชิดของคุณ ซึ่งหากคุณไม่มีประกันสุขภาพที่จะช่วยดูแลค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น คนที่ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือก็คงหนีไม่พ้นครอบครัวของคุณ ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ หรือ สามีภรรยาแน่นอนว่าคุณคงไม่อยากเกิดความรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระของคนรอบตัว ซื้อประกันให้พ่อแม่
การมีประกันสุขภาพจึงเป็นเหมือนการมีแผนรับมือที่ดี และเป็นความรู้สึกอุ่นใจที่คุณได้เตรียมความพร้อมไว้สำหรับตัวเอง โดยแน่ใจได้ว่าภาระค่าใช้จ่ายจะไม่ต้องตกไปถึงมือคนใกล้ชิด ยิ่งไปกว่านั้นหากอยากจะมองหาประกันสุขภาพให้กับคนที่คุณรัก ก็ถือเป็นของขวัญที่ช่วยรับประกันความมั่นคงทางสุขภาพที่ดีอีกทางหนึ่ง

 

5.นำมาลดหย่อนภาษีได้
หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าประโยชน์ของการมีประกันสุขภาพ คือ สามารถนำมาลดหย่อยภาษีได้ ในแบบฟอร์มการยื่นภาษีประจำปีจะมีรายละเอียดระบุไว้อย่างชัดเจนว่าสามารถใช้ ประกันสุขภาพ ลดหย่อนภาษี ได้ตามที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 15,000 บาท* หากทำพ่วงกับประกันชีวิตจะต้องไม่เกิน 100,000 บาท* (*ขึ้นอยู่กับรายละเอียดของการยื่นภาษีในปีนั้นๆ) และ เบี้ยประกันสุขภาพของคุณพ่อคุณแม่ก็สามารถนำมาลดหย่อนได้เช่นเดียวกัน ถือเป็นการได้สิทธิประโยชน์ 2 ต่อ นอกจากการดูแลเรื่องสุขภาพ

เมื่อคุณพิจารณา 5 เหตุผลข้างต้นที่กล่าวมา คงคิดอยากจะเริ่มมองหาแผนประกันสุขภาพที่จะมาช่วยดูแลค่าใช้จ่ายจากการเจ็บป่วยในอนาคตกันบ้างแล้ว

#7


ทำความรู้จักกับประเภทของสุขภัณฑ์ ที่มีให้เลือกใช้หลากหลายรูปแบบ แต่ควรเลือกอย่างไรให้ตอบโจทย์ บทความนี้ สรุปจุดเด่นมาให้แล้วแบบครบจบ

     ห้องน้ำ พื้นที่สำคัญที่บ้านและคอนโดทุกแห่งต้องมี ซึ่งหากใครเคยมีโอกาสไปเดินชมสินค้าในร้านขายสุขภัณฑ์ ก็จะรู้ว่าสุขภัณฑ์หรือ โถชักโครก มีให้เลือกหลากหลายประเภทมากกว่าที่คิด แต่ในการเลือกซื้อสุขภัณฑ์สำหรับห้องน้ำ นอกจากจะต้องเลือกจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้และมีรูปแบบที่สวยงามเหมาะกับสไตล์การตกแต่งห้องน้ำของคุณแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือต้องตอบโจทย์การใช้งานของสมาชิกในบ้านด้วย แล้วประเภทของสุขภัณฑ์มีกี่แบบ และแต่ละแบบมีคุณสมบัติเด่นอย่างไรบ้าง สำหรับคนที่กำลังพิจารณาเลือกสุขภัณฑ์ใหม่ เราได้รวบรวมเรื่องราวของสุขภัณฑ์ไว้ให้แล้วในบทความนี้
 
ประเภทของสุขภัณฑ์แบ่งตามรูปแบบการใช้งาน
     ในการแบ่งประเภทของสุขภัณฑ์นั้น เราสามารถใช้เกณฑ์การแบ่งได้หลายแบบ อย่างแรกคือการแบ่งตามรูปแบบการใช้งานซึ่งเราสามารถเห็นความแตกต่างได้ด้วยตาเปล่า นั่นก็คือสุขภัณฑ์แบบนั่งราบและสุขภัณฑ์แบบนั่งยอง โดยสุขภัณฑ์ทั้ง 2 ประเภทก็มีคุณสมบัติและจุดเด่นเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป ดังนี้

1. สุขภัณฑ์แบบนั่งยอง
     สุขภัณฑ์แบบนั่งยองหรือที่หลายคนเรียกกันติดปากว่า 'คอห่าน' เป็นสุขภัณฑ์ที่ใช้กันมาเป็นเวลานาน ในประเทศไทย สุขภัณฑ์แบบนี้มีจุดกำเนิดมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2467 และมีวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ จนเป็นสุขภัณฑ์นั่งยองที่เราพบเห็นกันในปัจจุบัน วิธีใช้งานคือผู้ใช้จะต้องย่อตัวลงนั่งยอง ๆ เพื่อขับถ่าย หลังจากนั้นจึงใช้น้ำตักราดเพื่อชำระล้าง หรือบางแห่งอาจใช้ร่วมกับฟลัชวาล์วเพื่อกดชำระล้าง ซึ่งแม้ว่าสุขภัณฑ์ประเภทนี้จะมีราคาถูกกว่าสุขภัณฑ์แบบนั่งราบ แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมนักในปัจจุบัน เนื่องจากไม่เอื้อต่อการใช้งานในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหาข้อเข่าเสื่อม เพราะไม่สามารถย่อตัวลงไปนั่งยองเพื่อขับถ่ายได้ อีกทั้งการชำระล้างด้วยการตักน้ำราดยังทำให้ห้องน้ำเปียกอยู่ตลอดเวลา พื้นลื่น เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ และพื้นห้องน้ำที่เฉอะแฉะยังเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ตลอดจนเป็นที่สะสมของแหล่งเชื้อโรคอีกด้วย


2. สุขภัณฑ์แบบนั่งราบ
     สุขภัณฑ์แบบนั่งราบ มักถูกเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า 'ชักโครก' ถือกำเนิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ ลักษณะการใช้งานจะเป็นแบบนั่งราบไปบนโถเหมือนกับการนั่งบนเก้าอี้ ด้านหลังมีถังเก็บน้ำสำหรับชำระล้างติดตั้งอยู่ ด้วยความสะดวกและความปลอดภัยในการใช้งานสำหรับทุกช่วงวัย ช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ และประหยัดน้ำได้มากกว่าสุขภัณฑ์นั่งยอง ทำให้สุขภัณฑ์ชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และถูกพัฒนาต่อยอดเรื่อยมา อาทิ การเพิ่มเทคโนโลยีช่วยประหยัดน้ำ ไปจนถึงการคิดค้นสุขภัณฑ์อัตโนมัติที่เราพบเห็นกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน ซึ่งมาพร้อมกับระบบก้านฉีดชำระในตัว


 
ประเภทของสุขภัณฑ์แบ่งตามลักษณะของโถส้วม
     อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าสุขภัณฑ์นั่งราบนั้น สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบายกว่าสุขภัณฑ์แบบนั่งยอง ทำให้ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในปัจจุบัน โถชักโครกแบบนั่งราบก็ถูกแบ่งประเภทแยกย่อยออกไปอีกหลายประเภท เราจึงสามารถแบ่งประเภทของสุขภัณฑ์นั่งราบตามลักษณะของโถได้ ดังนี้

1.สุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียว (One Piece Toilet)
     คือสุขภัณฑ์ที่รวมทั้งตัวโถและถังสำหรับเก็บน้ำเอาไว้ในชิ้นเดียว ทำให้เป็นสุขภัณฑ์ที่มีดีไซน์เรียบหรู ไร้รอยต่อ หมดปัญหาน้ำรั่วซึม มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ และอุปกรณ์น้อยชิ้น ทำให้ติดตั้งได้ง่ายกว่าสุขภัณฑ์ประเภทอื่น แต่จะมีราคาสูงกว่าสุขภัณฑ์แบบสองชิ้น หรือหากมีอุปกรณ์ใดที่ชำรุดเสียหายก็อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่แบบยกชุด จึงควรมีการดูแลรักษาตรวจสอบอุปกรณ์ของสุขภัณฑ์ชิ้นเดียว อย่างสม่ำเสมอ สำหรับการใช้งานในระยะยาว

2.สุขภัณฑ์แบบสองชิ้น (Two Piece Toilet / Close Coupled Toilet)
     โถสุขภัณฑ์สองชิ้น มีลักษณะคล้ายกับสุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียว แต่ถังเก็บน้ำกับตัวโถจะแยกออกจากกัน จึงมีรอยต่อระหว่างตัวโถและถังพักน้ำ สามารถต่อท่อน้ำทิ้งได้ทั้งแบบต่อลงพื้น (S-Trap) หรือแบบต่อออกผนัง (P-Trap) ซึ่งการติดตั้งก็ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของหน้างานนั้นๆ โถชักโครกแบบสองชิ้นเป็นสุขภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมมาก ราคาไม่แพง กรณีที่ชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์ใดชำรุด ก็สามารถเปลี่ยนเฉพาะอุปกรณ์นั้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนโถสุขภัณฑ์ทั้งชิ้น ง่ายต่อการดูแลรักษา แต่อาจมีขั้นตอนการติดตั้งที่ยุ่งยากกว่าสุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียว ทำความสะอาดยากกว่าเพราะมีหลายชิ้นส่วน โดยเฉพาะรอยต่อระหว่างตัวโถและถังพักน้ำ ซึ่งมักมีสิ่งสกปรกเข้าไปสะสมอยู่ อุปกรณ์ทำความสะอาดอาจเข้าถึงได้ยาก และเมื่อใช้งานไปนาน ๆ อาจเกิดปัญหาน้ำรั่วซึมได้



3. สุขภัณฑ์แบบแขวนผนัง (Wall Hung Toilet)
     โถสุขภัณฑ์แขวนผนังจะถูกติดตั้งด้วยการยึดติดกับหม้อน้ำซ่อนผนังพร้อมโครงเหล็กที่ทำหน้าที่ยึดโถเข้ากับกำแพงอีกชั้นหนึ่ง แล้วปิดทับด้วยการก่อปูน ปูกระเบื้องให้เรียบร้อย เป็นการซ่อนระบบท่อน้ำและถังพักน้ำเอาไว้ด้านในผนัง ทำให้เห็นแค่โถสุขภัณฑ์และปุ่มกดชำระล้างเท่านั้น อีกทั้งยังสามารถทำความสะอาดได้ง่ายทั้งตัวโถและพื้นด้านล่าง ดูหรูหรา สวยงาม แต่มีราคาสูงและต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของช่างผู้ติดตั้งเป็นพิเศษ

4. สุขภัณฑ์แบบตั้งพื้น (Wall Faced Toilet)
     อีกหนึ่งประเภทของสุขภัณฑ์ที่นิยมใช้กันในครัวเรือน ประกอบด้วยโถสุขภัณฑ์แบบตั้งพื้น ถังพักน้ำแบบซ่อนผนัง และที่กด ลักษณะคล้ายกับสุขภัณฑ์แบบแขวนผนัง แต่ระบบท่อน้ำของสุขภัณฑ์แบบตั้งพื้นสามารถต่อได้ทั้งแบบต่อลงพื้น (S-Trap) และแบบต่อออกผนัง (P-Trap) หาซื้อง่าย ราคาไม่แพง แต่หากติดตั้งไม่ดี อาจเกิดการรั่วซึมได้ อีกทั้งการที่ไม่เห็นถังพักน้ำ ช่วยให้ห้องน้ำของคุณดูโดดเด่น มีสไตล์มากยิ่งขึ้น

5. สุขภัณฑ์แบบอัตโนมัติ (Smart Toilet / Automatic Toilet)
     สุขภัณฑ์ประเภทสุดท้าย เป็นประเภทของสุขภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในระยะหลัง สุขภัณฑ์อัตโนมัติ หรือโถสุขภัณฑ์อัจฉริยะมาพร้อมฟังก์ชันการใช้งานอัตโนมัติ เช่น ระบบก้านฉีดชำระทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึง ระบบชำระล้างทรงพลัง ทำความสะอาดสิ่งสกปรกโดยใช้น้ำน้อยลง ระบบทำความสะอาดของสุขภัณฑ์โดยไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมี อีกทั้งฟังก์ชันอัตโนมัติยังช่วยลดการสัมผัสเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย สะดวกสบายและปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้สูงอายุก็ตาม แต่สุขภัณฑ์ประเภทนี้ใช้พลังงานไฟฟ้าในการทำงาน จึงควรเลือกซื้อสุขภัณฑ์อัตโนมัติจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ มีมาตรฐานด้านความปลอดภัย อีกทั้งยังต้องติดตั้งด้วยความระมัดระวัง โดยช่างผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้หากกำลังอยู่ในระหว่างการเลือกซื้อบ้านใหม่ หรือรีโนเวทห้องน้ำ และอยากใช้งานชักโครกอัตโนมัติ ควรเตรียมหน้างานให้มีการเดินสายไฟสำหรับใช้งานในห้องน้ำไว้ล่วงหน้า เนื่องจากเป็นขั้นตอนที่ซับซ้อน และมาแก้พื้นที่หน้างานภายหลังได้ลำบาก อาจทำให้ห้องน้ำของคุณไม่สวยงาม



#8


สมัยที่คุณตัวคนเดียวหรือคุณเป็นโสดวิธียื่นภาษีก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ซึ่งจะมีทางเลือกเพียงทางเดียว คือ ยื่นด้วยจำนวนรายได้ที่เรามี และหักลดหย่อนภาษี ตามสัดส่วนต่างๆ ให้ครบถ้วนก็สามารถคำนวณภาษีได้ แต่เมื่อแต่งงานมีคู่สมรสแล้วนั้น สามีภรรยาควรจะช่วยกันวางแผนภาษี เพราะการวางแผนภาษีที่ดีจะช่วยให้เสียภาษีถูกต้องและประหยัด ซึ่งวิธียื่นภาษีสำหรับคู่สมรถ จะมีด้วยกัน 3 วิธี คือ

1.แยกยื่นแบบแสดงรายการ
2.รวมยื่นแบบแสดงรายการ
3.แยกยื่นเฉพาะเงินเดือน

ส่วนเงินได้อื่นๆ นำไปยื่นรวมในนามอีกฝ่าย แล้วจะเลือกยื่นแบบไหนดี เรามีแนวทางในการพิจารณาเพื่อช่วยตัดสินใจในเรื่องนี้มาฝาก

วิธีที่ 1.แยกยื่นแบบแสดงรายการ
คู่สามีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสกัน สามารถแยกยื่นแบบการเสียภาษีได้ ต่างคนต่างยื่นแบบ จากรายได้ส่วนตัวของตนเองได้ ถ้ารายได้ของคู่สมรสอยู่ในฐานภาษีเดียวกัน ไม่ต้องนำรายได้มารวมกัน เช่น สามีมีรายได้สิทธิ 300,000 บาท ภรรยามีรายได้ 280,000 บาท ทั้งคู่จะอยู่ในฐานภาษี 5%  แต่ถ้านำรายได้มารวมกัน จะทำให้ฐานภาษีเพิ่มขึ้น จะเสียภาษีมากกว่าการแยกยื่น  การแยกยื่นการเสียภาษีสามารถใช้สิทธิหักค่าลดหย่อน และค่าใช้จ่ายแยกกันตามกฎหมายได้เลย วิธีนี้เหมาะกับกรณีที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีรายได้พอๆ กัน เสียภาษีในอัตราฐานภาษีที่ใกล้เคียงกัน และมีค่าลดหย่อนต่างๆ ใกล้เคียงกัน เมื่อแยกยื่นจะเป็นการกระจายภาษี ทำให้ต่างฝ่ายต่างเสียภาษีในอัตราที่เหมาะสม นอกจากนี้การแยกยื่นจะทำให้เกิดความสะดวกกับทั้ง 2 ฝ่าย หากไม่ต้องการให้อีกฝ่ายมายุ่งเกี่ยวในการบริหารเงินส่วนตัวของตนเอง

วิธีที่ 2.รวมยื่นแบบแสดงรายการ
คู่สามีภรรยาสามารถรวมเงินที่ได้รับทั้งหมดของทั้ง 2 ฝ่ายรวมเข้าด้วยกัน แล้วสามารถนำไปให้ฝ่ายสามีหรือฝ่ายภรรยาเป็นผู้ยื่นแบบ

วิธีที่ 3.แยกยื่นเฉพาะเงินเดือน
วิธีการแยกยื่นภาษีเฉพาะเงินเดือน สามารถทำได้ 2 แบบ คือ
1.ภรรยาแยกยื่นแบบภาษีเฉพาะเงินเดือนของตัวเอง ส่วนเงินได้อื่นๆ นำไปรวมกับเงินได้ของสามี แล้วยื่นภาษีรวมกันในนามสามี
2.สามีแยกยื่นแบบภาษีเฉพาะเงินเดือนของตัวเอง ส่วนเงินได้อื่นๆ นำไปรวมกับเงินได้ของภรรยา แล้วยื่นภาษีรวมดันในนามภรรยา
เงินได้อื่นๆ เช่น  ดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าเช่าบ้าน เงินรับจ้าง เป็นต้น วิธีนี้เหมาะกับคู่สมรสที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเงินเดือนมาก และมีรายได้จากทางอื่นด้วย แต่หักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนในส่วนของเงินเดือนเต็มสิทธิทางกฎหมายแล้ว ทำให้รายได้อื่นที่เพิ่มมา นอกจากจะหักค่าใช้จ่ายเพิ่มไม่ได้ ยังเป็นรายได้ส่วนเพิ่มที่ทำให้ฐานภาษีสูงขึ้น และต้องเสียภาษีมากขึ้น ก็สามารถยื่นแบบเฉพาะเงินเดือน และนำเงินได้อื่นๆ ไปรวมกับอีกฝ่ายที่มีรายได้น้อยกว่า และยังใช้สิทธิค่าลดหย่อน และค่าใช้จ่ายยังไม่เต็มสิทธิ ก็จะช่วยประหยัดภาษีได้มากกว่า เบี้ยประกันชีวิต ลดหย่อนภาษี



การลดหย่อนภาษีด้วยเบี้ยประกัน
นอกจากนี้เรามีวิธีที่ลงทุนแล้วคุ้มค่าอีกวิธีหนึ่งนั่นก็คือ การลดหย่อนภาษีด้วยเบี้ยประกัน สามารถทำได้หลายวิธีดังนี้
1.เบี้ยประกันชีวิตทั่วไป รวมถึงประกันแบบสะสมทรัพย์
ผู้ที่ทำประกันชีวิตทั่วไป รวมถึงประกันแบบสะสมทรัพย์ สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยประกันต้องคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป

2.เบี้ยประกันสุขภาพตนเอง
ผู้ที่ทำประกันสุขภาพให้ตนเอง เบี้ยประกันสุขภาพตนเอง รวมถึงเบี้ยประกันคุ้มครองสุขภาพของตนเองสามารถนำมาใช้สิทธิประกันสุขภาพ ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สามารถขอลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตทั่วไปต้องไม่เกิน 100,000 บาท

3.เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา
ผู้ที่ทำประกันสุขภาพให้บิดามารดา  ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 15,000 บาท และสามารถรวมประกันสุขภาพพ่อแม่ของคู่สมรสมาลดหย่อนภาษีได้ ในกรณีที่คู่สมรสไม่มีรายได้



เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ
ผู้ที่ทำประกันบำนาญ ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของรายได้รวมทั้งปี และต้องไม่เกิน 200,000 บาท หรือต้องไม่เกิน 300,000 บาท หากไม่มีการลดหย่อนภาษีด้วยเบี้ยประกันชีวิต และเมื่อรวมกับหมวดการลงุทนเพื่อการเกษียณแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท

คู่สามี-ภรรยาที่กำลังตัดสินใจว่า ควรยื่นภาษีแบบไหนที่ช่วยให้คุ้มค่าและประหยัดภาษีได้มากกว่า คงพอมีแนวทางในการพิจารณาแล้ว โดยให้ดูที่ประเภทของรายได้ และรายได้ทั้งปีของทั้งคู่เป็นหลัก ทั้งนี้การลดหย่อนภาษีด้วยเบี้ยประกันก็ถือว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถทำได้ ทางไทยประกันชีวิตของเราก็มี
#9


วิธีเลือกประกันชีวิตแบบไหนดี ถึงเหมาะกับผู้มีรายได้น้อย? แม้จะมีรายได้น้อยแต่เราก็สามารถเลือกประกันชีวิต เสียชีวิตทุกกรณี ที่เหมาะสมกับตัวเองได้ โดยการคำนวณและประเมินข้อมูลต่างๆ ดังนี้

1. ตั้งงบประมาณที่ต้องการ
อย่างแรกที่เราต้องทำก่อนการเลือกซื้อประกันชีวิตก็คือ การตั้งงบประมาณที่ต้องการเอาไว้ เพื่อให้เราจำกัดตัวเลือกของแผนประกันให้แคบลงได้ และทำให้สามารถเลือกได้ง่ายขึ้น

2. ประเภทของประกันชีวิต
หนึ่งในขั้นตอนที่ทำสำคัญที่สุดของการซื้อประกันชีวิต คือ การเลือกประเภทของประกันชีวิต ซึ่งปัจจุบันประกันชีวิตมีหลากหลายประเภท ทั้งด้านความคุ้มครองและเงื่อนไขที่แตกต่างกัน เราจึงควรเลือกประเภทประกันชีวิตที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ และรายได้หลักของเรา โดยประกันชีวิตนั้นแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้

ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา
ประกันประเภทนี้เหมาะสำหรับ ผู้มีรายได้น้อย เพราะมีเบี้ยประกันไม่สูง แต่การคุ้มครองของประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลาจะคุ้มครองให้แก่ผู้เอาประกันซึ่งเสียชีวิตภายในเวลาที่กำหนดไว้เท่านั้น เช่น 5 ปี 10 ปี  20 ปี หมายความว่าคนทำประกัน จะได้ผลประโยชน์ก็ต่อเมื่อเสียชีวิตเท่านั้น ถ้าครบกำหนดตามสัญญาแล้วยังมีชีวิตอยู่ จะไม่ได้รับเงินคืนใดๆ ทั้งสิ้น

ประกันแบบตลอดชีพ
เป็นประกันชีวิตที่เน้นคุ้มครองในระยะยาว โดยจะจ่ายเบี้ยประกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง เช่น 5 ปี 10 ปี 15 ปี หรือ 20 ปี และให้ความคุ้มครองตลอดชีพ หรือจนถึงอายุ 99 ปี ขึ้นกับแต่ละแผนประกันโดยตลอดระยะเวลาจะไม่ได้เงินคืน ประกันชีวิตประเภทนี้จึงเหมาะจะทำไว้เป็นเงินก้อนให้กับลูกหลาน เพื่อเป็นหลักประกันว่าครอบครัวจะไม่ลำบากเมื่อจากไปนั่นเอง



ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์
เป็นประกันชีวิตที่ที่ให้ความคุ้มครองพร้อมมีการออมเงินเข้ามาเกี่ยวด้วย โดยจะมีทั้งแบบระยะสั้น กลาง ยาว จุดเด่นอยู่ที่เป็นการออมเงินพร้อมกับได้ความคุ้มครองเพิ่มไปด้วยพร้อมๆ กัน

ประกันชีวิตแบบเงินได้ประจำ
ประกันชีวิตประเภทนี้ ทางบริษัทประกันจะจ่ายเงินให้กับผู้เอาประกันอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน นับแต่ผู้เอาประกันภัยเกษียณอายุ หรืออายุครบ 55 ปี หรือ 60 ปี เป็นต้นไป แล้วแต่เงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้

3. เลือกบริษัทประกันที่น่าเชื่อถือ
เลือกประกันชีวิตจากบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ ทั้งด้านชื่อเสียง และหลักความคุ้มครองต่างๆ เพื่อที่เราจะสามารถมั่นใจได้ว่าจะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า และไม่เสี่ยงต่อการถูกช่อโกงจากบริษัทที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ

4. ระยะเวลาการชำระต้องเหมาะสม
ยิ่งมีรายได้ไม่ได้สูง เรายิ่งจำเป็นต้องดูระยะเวลาการชำระเบี้ยประกันที่มีความเหมาะสมกับความสามารถในการจ่ายค่าเบี้ยประกันของเราให้มากที่สุด โดยระยะเวลาการชำระมีทั้งแบบราย 3 เดือน ราย 6 เดือน รวมถึงการจ่ายแบบรายได้

5. เลือกซื้อประกันผ่านออนไลน์
อีกข้อสำคัญในการเลือกซื้อประกันชีวิต สำหรับผู้มีรายได้น้อย คือการเลือกซื้อประกันผ่านช่องทางออนไลน์ เพราะทำให้เรามีสามารถศึกษาข้อมูลได้อย่างละเอียด ได้ข้อมูลที่หลากหลาย และยังมีเวลาให้เราได้ไตร่ตรองอย่างไม่จำกัดอีกด้วย เพื่อให้สามารถเลือกประกันที่เหมาะสมกับรายได้และตัวเรามากที่สุด

การทำประกันชีวิตนั้นสำคัญมากสำหรับทุกคน เพราะไม่รู้เลยว่าเราจะเจอกับอุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วยขึ้นมาในวันใด และไม่ว่าราจะมีรายได้มากหรือน้อยก็สามารถเลือกทำประกันได้ เพียงแค่ศึกษาข้อมูลและเลือกแผนประกันชีวิตที่เหมาะสมกับรายได้ของเราเท่านั้นเอง