ข่าว:

รับสมัครเฉพาะชาวเรือและผู้ที่สนใจที่เป็นคนไทยเท่านั้น สมัครแล้วรออนุมัติประมาณ 2-3 วัน หากต้องการด่วนโปรดแจ้ง webmaster@marinerthai.net

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - airrii

#1


ทำความรู้จักกับประเภทของสุขภัณฑ์ ที่มีให้เลือกใช้หลากหลายรูปแบบ แต่ควรเลือกอย่างไรให้ตอบโจทย์ บทความนี้ สรุปจุดเด่นมาให้แล้วแบบครบจบ

     ห้องน้ำ พื้นที่สำคัญที่บ้านและคอนโดทุกแห่งต้องมี ซึ่งหากใครเคยมีโอกาสไปเดินชมสินค้าในร้านขายสุขภัณฑ์ ก็จะรู้ว่าสุขภัณฑ์หรือ โถชักโครก มีให้เลือกหลากหลายประเภทมากกว่าที่คิด แต่ในการเลือกซื้อสุขภัณฑ์สำหรับห้องน้ำ นอกจากจะต้องเลือกจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้และมีรูปแบบที่สวยงามเหมาะกับสไตล์การตกแต่งห้องน้ำของคุณแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือต้องตอบโจทย์การใช้งานของสมาชิกในบ้านด้วย แล้วประเภทของสุขภัณฑ์มีกี่แบบ และแต่ละแบบมีคุณสมบัติเด่นอย่างไรบ้าง สำหรับคนที่กำลังพิจารณาเลือกสุขภัณฑ์ใหม่ เราได้รวบรวมเรื่องราวของสุขภัณฑ์ไว้ให้แล้วในบทความนี้
 
ประเภทของสุขภัณฑ์แบ่งตามรูปแบบการใช้งาน
     ในการแบ่งประเภทของสุขภัณฑ์นั้น เราสามารถใช้เกณฑ์การแบ่งได้หลายแบบ อย่างแรกคือการแบ่งตามรูปแบบการใช้งานซึ่งเราสามารถเห็นความแตกต่างได้ด้วยตาเปล่า นั่นก็คือสุขภัณฑ์แบบนั่งราบและสุขภัณฑ์แบบนั่งยอง โดยสุขภัณฑ์ทั้ง 2 ประเภทก็มีคุณสมบัติและจุดเด่นเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป ดังนี้

1. สุขภัณฑ์แบบนั่งยอง
     สุขภัณฑ์แบบนั่งยองหรือที่หลายคนเรียกกันติดปากว่า 'คอห่าน' เป็นสุขภัณฑ์ที่ใช้กันมาเป็นเวลานาน ในประเทศไทย สุขภัณฑ์แบบนี้มีจุดกำเนิดมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2467 และมีวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ จนเป็นสุขภัณฑ์นั่งยองที่เราพบเห็นกันในปัจจุบัน วิธีใช้งานคือผู้ใช้จะต้องย่อตัวลงนั่งยอง ๆ เพื่อขับถ่าย หลังจากนั้นจึงใช้น้ำตักราดเพื่อชำระล้าง หรือบางแห่งอาจใช้ร่วมกับฟลัชวาล์วเพื่อกดชำระล้าง ซึ่งแม้ว่าสุขภัณฑ์ประเภทนี้จะมีราคาถูกกว่าสุขภัณฑ์แบบนั่งราบ แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมนักในปัจจุบัน เนื่องจากไม่เอื้อต่อการใช้งานในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหาข้อเข่าเสื่อม เพราะไม่สามารถย่อตัวลงไปนั่งยองเพื่อขับถ่ายได้ อีกทั้งการชำระล้างด้วยการตักน้ำราดยังทำให้ห้องน้ำเปียกอยู่ตลอดเวลา พื้นลื่น เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ และพื้นห้องน้ำที่เฉอะแฉะยังเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ตลอดจนเป็นที่สะสมของแหล่งเชื้อโรคอีกด้วย


2. สุขภัณฑ์แบบนั่งราบ
     สุขภัณฑ์แบบนั่งราบ มักถูกเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า 'ชักโครก' ถือกำเนิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ ลักษณะการใช้งานจะเป็นแบบนั่งราบไปบนโถเหมือนกับการนั่งบนเก้าอี้ ด้านหลังมีถังเก็บน้ำสำหรับชำระล้างติดตั้งอยู่ ด้วยความสะดวกและความปลอดภัยในการใช้งานสำหรับทุกช่วงวัย ช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ และประหยัดน้ำได้มากกว่าสุขภัณฑ์นั่งยอง ทำให้สุขภัณฑ์ชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และถูกพัฒนาต่อยอดเรื่อยมา อาทิ การเพิ่มเทคโนโลยีช่วยประหยัดน้ำ ไปจนถึงการคิดค้นสุขภัณฑ์อัตโนมัติที่เราพบเห็นกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน ซึ่งมาพร้อมกับระบบก้านฉีดชำระในตัว


 
ประเภทของสุขภัณฑ์แบ่งตามลักษณะของโถส้วม
     อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าสุขภัณฑ์นั่งราบนั้น สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบายกว่าสุขภัณฑ์แบบนั่งยอง ทำให้ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในปัจจุบัน โถชักโครกแบบนั่งราบก็ถูกแบ่งประเภทแยกย่อยออกไปอีกหลายประเภท เราจึงสามารถแบ่งประเภทของสุขภัณฑ์นั่งราบตามลักษณะของโถได้ ดังนี้

1.สุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียว (One Piece Toilet)
     คือสุขภัณฑ์ที่รวมทั้งตัวโถและถังสำหรับเก็บน้ำเอาไว้ในชิ้นเดียว ทำให้เป็นสุขภัณฑ์ที่มีดีไซน์เรียบหรู ไร้รอยต่อ หมดปัญหาน้ำรั่วซึม มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ และอุปกรณ์น้อยชิ้น ทำให้ติดตั้งได้ง่ายกว่าสุขภัณฑ์ประเภทอื่น แต่จะมีราคาสูงกว่าสุขภัณฑ์แบบสองชิ้น หรือหากมีอุปกรณ์ใดที่ชำรุดเสียหายก็อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่แบบยกชุด จึงควรมีการดูแลรักษาตรวจสอบอุปกรณ์ของสุขภัณฑ์ชิ้นเดียว อย่างสม่ำเสมอ สำหรับการใช้งานในระยะยาว

2.สุขภัณฑ์แบบสองชิ้น (Two Piece Toilet / Close Coupled Toilet)
     โถสุขภัณฑ์สองชิ้น มีลักษณะคล้ายกับสุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียว แต่ถังเก็บน้ำกับตัวโถจะแยกออกจากกัน จึงมีรอยต่อระหว่างตัวโถและถังพักน้ำ สามารถต่อท่อน้ำทิ้งได้ทั้งแบบต่อลงพื้น (S-Trap) หรือแบบต่อออกผนัง (P-Trap) ซึ่งการติดตั้งก็ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของหน้างานนั้นๆ โถชักโครกแบบสองชิ้นเป็นสุขภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมมาก ราคาไม่แพง กรณีที่ชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์ใดชำรุด ก็สามารถเปลี่ยนเฉพาะอุปกรณ์นั้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนโถสุขภัณฑ์ทั้งชิ้น ง่ายต่อการดูแลรักษา แต่อาจมีขั้นตอนการติดตั้งที่ยุ่งยากกว่าสุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียว ทำความสะอาดยากกว่าเพราะมีหลายชิ้นส่วน โดยเฉพาะรอยต่อระหว่างตัวโถและถังพักน้ำ ซึ่งมักมีสิ่งสกปรกเข้าไปสะสมอยู่ อุปกรณ์ทำความสะอาดอาจเข้าถึงได้ยาก และเมื่อใช้งานไปนาน ๆ อาจเกิดปัญหาน้ำรั่วซึมได้



3. สุขภัณฑ์แบบแขวนผนัง (Wall Hung Toilet)
     โถสุขภัณฑ์แขวนผนังจะถูกติดตั้งด้วยการยึดติดกับหม้อน้ำซ่อนผนังพร้อมโครงเหล็กที่ทำหน้าที่ยึดโถเข้ากับกำแพงอีกชั้นหนึ่ง แล้วปิดทับด้วยการก่อปูน ปูกระเบื้องให้เรียบร้อย เป็นการซ่อนระบบท่อน้ำและถังพักน้ำเอาไว้ด้านในผนัง ทำให้เห็นแค่โถสุขภัณฑ์และปุ่มกดชำระล้างเท่านั้น อีกทั้งยังสามารถทำความสะอาดได้ง่ายทั้งตัวโถและพื้นด้านล่าง ดูหรูหรา สวยงาม แต่มีราคาสูงและต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของช่างผู้ติดตั้งเป็นพิเศษ

4. สุขภัณฑ์แบบตั้งพื้น (Wall Faced Toilet)
     อีกหนึ่งประเภทของสุขภัณฑ์ที่นิยมใช้กันในครัวเรือน ประกอบด้วยโถสุขภัณฑ์แบบตั้งพื้น ถังพักน้ำแบบซ่อนผนัง และที่กด ลักษณะคล้ายกับสุขภัณฑ์แบบแขวนผนัง แต่ระบบท่อน้ำของสุขภัณฑ์แบบตั้งพื้นสามารถต่อได้ทั้งแบบต่อลงพื้น (S-Trap) และแบบต่อออกผนัง (P-Trap) หาซื้อง่าย ราคาไม่แพง แต่หากติดตั้งไม่ดี อาจเกิดการรั่วซึมได้ อีกทั้งการที่ไม่เห็นถังพักน้ำ ช่วยให้ห้องน้ำของคุณดูโดดเด่น มีสไตล์มากยิ่งขึ้น

5. สุขภัณฑ์แบบอัตโนมัติ (Smart Toilet / Automatic Toilet)
     สุขภัณฑ์ประเภทสุดท้าย เป็นประเภทของสุขภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในระยะหลัง สุขภัณฑ์อัตโนมัติ หรือโถสุขภัณฑ์อัจฉริยะมาพร้อมฟังก์ชันการใช้งานอัตโนมัติ เช่น ระบบก้านฉีดชำระทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึง ระบบชำระล้างทรงพลัง ทำความสะอาดสิ่งสกปรกโดยใช้น้ำน้อยลง ระบบทำความสะอาดของสุขภัณฑ์โดยไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมี อีกทั้งฟังก์ชันอัตโนมัติยังช่วยลดการสัมผัสเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย สะดวกสบายและปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้สูงอายุก็ตาม แต่สุขภัณฑ์ประเภทนี้ใช้พลังงานไฟฟ้าในการทำงาน จึงควรเลือกซื้อสุขภัณฑ์อัตโนมัติจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ มีมาตรฐานด้านความปลอดภัย อีกทั้งยังต้องติดตั้งด้วยความระมัดระวัง โดยช่างผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้หากกำลังอยู่ในระหว่างการเลือกซื้อบ้านใหม่ หรือรีโนเวทห้องน้ำ และอยากใช้งานชักโครกอัตโนมัติ ควรเตรียมหน้างานให้มีการเดินสายไฟสำหรับใช้งานในห้องน้ำไว้ล่วงหน้า เนื่องจากเป็นขั้นตอนที่ซับซ้อน และมาแก้พื้นที่หน้างานภายหลังได้ลำบาก อาจทำให้ห้องน้ำของคุณไม่สวยงาม



#2


สมัยที่คุณตัวคนเดียวหรือคุณเป็นโสดวิธียื่นภาษีก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ซึ่งจะมีทางเลือกเพียงทางเดียว คือ ยื่นด้วยจำนวนรายได้ที่เรามี และหักลดหย่อนภาษี ตามสัดส่วนต่างๆ ให้ครบถ้วนก็สามารถคำนวณภาษีได้ แต่เมื่อแต่งงานมีคู่สมรสแล้วนั้น สามีภรรยาควรจะช่วยกันวางแผนภาษี เพราะการวางแผนภาษีที่ดีจะช่วยให้เสียภาษีถูกต้องและประหยัด ซึ่งวิธียื่นภาษีสำหรับคู่สมรถ จะมีด้วยกัน 3 วิธี คือ

1.แยกยื่นแบบแสดงรายการ
2.รวมยื่นแบบแสดงรายการ
3.แยกยื่นเฉพาะเงินเดือน

ส่วนเงินได้อื่นๆ นำไปยื่นรวมในนามอีกฝ่าย แล้วจะเลือกยื่นแบบไหนดี เรามีแนวทางในการพิจารณาเพื่อช่วยตัดสินใจในเรื่องนี้มาฝาก

วิธีที่ 1.แยกยื่นแบบแสดงรายการ
คู่สามีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสกัน สามารถแยกยื่นแบบการเสียภาษีได้ ต่างคนต่างยื่นแบบ จากรายได้ส่วนตัวของตนเองได้ ถ้ารายได้ของคู่สมรสอยู่ในฐานภาษีเดียวกัน ไม่ต้องนำรายได้มารวมกัน เช่น สามีมีรายได้สิทธิ 300,000 บาท ภรรยามีรายได้ 280,000 บาท ทั้งคู่จะอยู่ในฐานภาษี 5%  แต่ถ้านำรายได้มารวมกัน จะทำให้ฐานภาษีเพิ่มขึ้น จะเสียภาษีมากกว่าการแยกยื่น  การแยกยื่นการเสียภาษีสามารถใช้สิทธิหักค่าลดหย่อน และค่าใช้จ่ายแยกกันตามกฎหมายได้เลย วิธีนี้เหมาะกับกรณีที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีรายได้พอๆ กัน เสียภาษีในอัตราฐานภาษีที่ใกล้เคียงกัน และมีค่าลดหย่อนต่างๆ ใกล้เคียงกัน เมื่อแยกยื่นจะเป็นการกระจายภาษี ทำให้ต่างฝ่ายต่างเสียภาษีในอัตราที่เหมาะสม นอกจากนี้การแยกยื่นจะทำให้เกิดความสะดวกกับทั้ง 2 ฝ่าย หากไม่ต้องการให้อีกฝ่ายมายุ่งเกี่ยวในการบริหารเงินส่วนตัวของตนเอง

วิธีที่ 2.รวมยื่นแบบแสดงรายการ
คู่สามีภรรยาสามารถรวมเงินที่ได้รับทั้งหมดของทั้ง 2 ฝ่ายรวมเข้าด้วยกัน แล้วสามารถนำไปให้ฝ่ายสามีหรือฝ่ายภรรยาเป็นผู้ยื่นแบบ

วิธีที่ 3.แยกยื่นเฉพาะเงินเดือน
วิธีการแยกยื่นภาษีเฉพาะเงินเดือน สามารถทำได้ 2 แบบ คือ
1.ภรรยาแยกยื่นแบบภาษีเฉพาะเงินเดือนของตัวเอง ส่วนเงินได้อื่นๆ นำไปรวมกับเงินได้ของสามี แล้วยื่นภาษีรวมกันในนามสามี
2.สามีแยกยื่นแบบภาษีเฉพาะเงินเดือนของตัวเอง ส่วนเงินได้อื่นๆ นำไปรวมกับเงินได้ของภรรยา แล้วยื่นภาษีรวมดันในนามภรรยา
เงินได้อื่นๆ เช่น  ดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าเช่าบ้าน เงินรับจ้าง เป็นต้น วิธีนี้เหมาะกับคู่สมรสที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเงินเดือนมาก และมีรายได้จากทางอื่นด้วย แต่หักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนในส่วนของเงินเดือนเต็มสิทธิทางกฎหมายแล้ว ทำให้รายได้อื่นที่เพิ่มมา นอกจากจะหักค่าใช้จ่ายเพิ่มไม่ได้ ยังเป็นรายได้ส่วนเพิ่มที่ทำให้ฐานภาษีสูงขึ้น และต้องเสียภาษีมากขึ้น ก็สามารถยื่นแบบเฉพาะเงินเดือน และนำเงินได้อื่นๆ ไปรวมกับอีกฝ่ายที่มีรายได้น้อยกว่า และยังใช้สิทธิค่าลดหย่อน และค่าใช้จ่ายยังไม่เต็มสิทธิ ก็จะช่วยประหยัดภาษีได้มากกว่า เบี้ยประกันชีวิต ลดหย่อนภาษี



การลดหย่อนภาษีด้วยเบี้ยประกัน
นอกจากนี้เรามีวิธีที่ลงทุนแล้วคุ้มค่าอีกวิธีหนึ่งนั่นก็คือ การลดหย่อนภาษีด้วยเบี้ยประกัน สามารถทำได้หลายวิธีดังนี้
1.เบี้ยประกันชีวิตทั่วไป รวมถึงประกันแบบสะสมทรัพย์
ผู้ที่ทำประกันชีวิตทั่วไป รวมถึงประกันแบบสะสมทรัพย์ สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยประกันต้องคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป

2.เบี้ยประกันสุขภาพตนเอง
ผู้ที่ทำประกันสุขภาพให้ตนเอง เบี้ยประกันสุขภาพตนเอง รวมถึงเบี้ยประกันคุ้มครองสุขภาพของตนเองสามารถนำมาใช้สิทธิประกันสุขภาพ ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สามารถขอลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตทั่วไปต้องไม่เกิน 100,000 บาท

3.เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา
ผู้ที่ทำประกันสุขภาพให้บิดามารดา  ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 15,000 บาท และสามารถรวมประกันสุขภาพพ่อแม่ของคู่สมรสมาลดหย่อนภาษีได้ ในกรณีที่คู่สมรสไม่มีรายได้



เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ
ผู้ที่ทำประกันบำนาญ ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของรายได้รวมทั้งปี และต้องไม่เกิน 200,000 บาท หรือต้องไม่เกิน 300,000 บาท หากไม่มีการลดหย่อนภาษีด้วยเบี้ยประกันชีวิต และเมื่อรวมกับหมวดการลงุทนเพื่อการเกษียณแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท

คู่สามี-ภรรยาที่กำลังตัดสินใจว่า ควรยื่นภาษีแบบไหนที่ช่วยให้คุ้มค่าและประหยัดภาษีได้มากกว่า คงพอมีแนวทางในการพิจารณาแล้ว โดยให้ดูที่ประเภทของรายได้ และรายได้ทั้งปีของทั้งคู่เป็นหลัก ทั้งนี้การลดหย่อนภาษีด้วยเบี้ยประกันก็ถือว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถทำได้ ทางไทยประกันชีวิตของเราก็มี
#3


วิธีเลือกประกันชีวิตแบบไหนดี ถึงเหมาะกับผู้มีรายได้น้อย? แม้จะมีรายได้น้อยแต่เราก็สามารถเลือกประกันชีวิต เสียชีวิตทุกกรณี ที่เหมาะสมกับตัวเองได้ โดยการคำนวณและประเมินข้อมูลต่างๆ ดังนี้

1. ตั้งงบประมาณที่ต้องการ
อย่างแรกที่เราต้องทำก่อนการเลือกซื้อประกันชีวิตก็คือ การตั้งงบประมาณที่ต้องการเอาไว้ เพื่อให้เราจำกัดตัวเลือกของแผนประกันให้แคบลงได้ และทำให้สามารถเลือกได้ง่ายขึ้น

2. ประเภทของประกันชีวิต
หนึ่งในขั้นตอนที่ทำสำคัญที่สุดของการซื้อประกันชีวิต คือ การเลือกประเภทของประกันชีวิต ซึ่งปัจจุบันประกันชีวิตมีหลากหลายประเภท ทั้งด้านความคุ้มครองและเงื่อนไขที่แตกต่างกัน เราจึงควรเลือกประเภทประกันชีวิตที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ และรายได้หลักของเรา โดยประกันชีวิตนั้นแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้

ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา
ประกันประเภทนี้เหมาะสำหรับ ผู้มีรายได้น้อย เพราะมีเบี้ยประกันไม่สูง แต่การคุ้มครองของประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลาจะคุ้มครองให้แก่ผู้เอาประกันซึ่งเสียชีวิตภายในเวลาที่กำหนดไว้เท่านั้น เช่น 5 ปี 10 ปี  20 ปี หมายความว่าคนทำประกัน จะได้ผลประโยชน์ก็ต่อเมื่อเสียชีวิตเท่านั้น ถ้าครบกำหนดตามสัญญาแล้วยังมีชีวิตอยู่ จะไม่ได้รับเงินคืนใดๆ ทั้งสิ้น

ประกันแบบตลอดชีพ
เป็นประกันชีวิตที่เน้นคุ้มครองในระยะยาว โดยจะจ่ายเบี้ยประกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง เช่น 5 ปี 10 ปี 15 ปี หรือ 20 ปี และให้ความคุ้มครองตลอดชีพ หรือจนถึงอายุ 99 ปี ขึ้นกับแต่ละแผนประกันโดยตลอดระยะเวลาจะไม่ได้เงินคืน ประกันชีวิตประเภทนี้จึงเหมาะจะทำไว้เป็นเงินก้อนให้กับลูกหลาน เพื่อเป็นหลักประกันว่าครอบครัวจะไม่ลำบากเมื่อจากไปนั่นเอง



ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์
เป็นประกันชีวิตที่ที่ให้ความคุ้มครองพร้อมมีการออมเงินเข้ามาเกี่ยวด้วย โดยจะมีทั้งแบบระยะสั้น กลาง ยาว จุดเด่นอยู่ที่เป็นการออมเงินพร้อมกับได้ความคุ้มครองเพิ่มไปด้วยพร้อมๆ กัน

ประกันชีวิตแบบเงินได้ประจำ
ประกันชีวิตประเภทนี้ ทางบริษัทประกันจะจ่ายเงินให้กับผู้เอาประกันอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน นับแต่ผู้เอาประกันภัยเกษียณอายุ หรืออายุครบ 55 ปี หรือ 60 ปี เป็นต้นไป แล้วแต่เงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้

3. เลือกบริษัทประกันที่น่าเชื่อถือ
เลือกประกันชีวิตจากบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ ทั้งด้านชื่อเสียง และหลักความคุ้มครองต่างๆ เพื่อที่เราจะสามารถมั่นใจได้ว่าจะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า และไม่เสี่ยงต่อการถูกช่อโกงจากบริษัทที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ

4. ระยะเวลาการชำระต้องเหมาะสม
ยิ่งมีรายได้ไม่ได้สูง เรายิ่งจำเป็นต้องดูระยะเวลาการชำระเบี้ยประกันที่มีความเหมาะสมกับความสามารถในการจ่ายค่าเบี้ยประกันของเราให้มากที่สุด โดยระยะเวลาการชำระมีทั้งแบบราย 3 เดือน ราย 6 เดือน รวมถึงการจ่ายแบบรายได้

5. เลือกซื้อประกันผ่านออนไลน์
อีกข้อสำคัญในการเลือกซื้อประกันชีวิต สำหรับผู้มีรายได้น้อย คือการเลือกซื้อประกันผ่านช่องทางออนไลน์ เพราะทำให้เรามีสามารถศึกษาข้อมูลได้อย่างละเอียด ได้ข้อมูลที่หลากหลาย และยังมีเวลาให้เราได้ไตร่ตรองอย่างไม่จำกัดอีกด้วย เพื่อให้สามารถเลือกประกันที่เหมาะสมกับรายได้และตัวเรามากที่สุด

การทำประกันชีวิตนั้นสำคัญมากสำหรับทุกคน เพราะไม่รู้เลยว่าเราจะเจอกับอุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วยขึ้นมาในวันใด และไม่ว่าราจะมีรายได้มากหรือน้อยก็สามารถเลือกทำประกันได้ เพียงแค่ศึกษาข้อมูลและเลือกแผนประกันชีวิตที่เหมาะสมกับรายได้ของเราเท่านั้นเอง