ข่าว:

รับสมัครเฉพาะชาวเรือและผู้ที่สนใจที่เป็นคนไทยเท่านั้น สมัครแล้วรออนุมัติประมาณ 2-3 วัน หากต้องการด่วนโปรดแจ้ง webmaster@marinerthai.net

Main Menu

มีจุลินทรีย์คับคั่งใน “มาเรียนา เทรนช์” จุดลึกสุดของโลก

เริ่มโดย mrtnews, พ.ค 14, 13, 18:24:33 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

mrtnews

งานวิจัยจากทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ เผยจุดลึกสุดของโลกที่ "มาเรียนา เทรนช์" ในมหาสมุทรแปซิฟิกนั้นมีจุลินทรีย์อาศัยอยู่คับคั่ง แย้งความเชื่อเดิมว่าสภาพแวดล้อมในหุบผาลึกใต้น้ำแห่งนี้ไม่เอื้อให้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ และยังน่าจะมีบทบาทต่อวัฏจักคาร์บอนและภูมิอากาศโลกมากกว่าที่คิด


งานวิจัยดังกล่าวตีพิมพ์ลงวารสารเนเจอร์จีโอไซน์ (Nature Geoscience) โดยบีบีซีนิวส์รายงานว่าเป็นผลงานของทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ ที่พบว่าจุดลึกสุดของ "มาเรียนา เทรนช์" (Mariana Trench) ใต้มหาสมุทรแปซิฟิกลงไปถึง 11 กิโลเมตรนั้นมีการดำรงชีพของจุลินทรีย์อยู่หนาแน่น

เดิมเชื่อว่าสภาพแวดล้อมในหุบผาลึกใต้มหาสมุทรนี้ไม่น่าจะเอื้อต่อการดำรงชีพของสิ่งมีชีวิต แต่การศึกษานี้ได้เพิ่มหลักฐานที่จับต้องได้ว่า มีสิ่งมีชีวิตหลากหลายที่สามารถรับมือกับสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิเกือบแช่แข็ง มีความดันมหาศาลและยังมืดสนิท

ดร.โรเบิร์ต เทอร์เนวิทส์ช (Dr.Robert Turnewitsch) หนึ่งในทีมวิจัยจากสมาคมวิทยาศาสตร์ทางทะเลสก็อต (Scottish Association for Marine Science) กล่าวว่า ส่วนที่ลึกที่สุดของทะเลลึกนั้นไม่ได้เป็น "แดนมรณะ" อย่างแน่นอน

เมื่อปี 2010 นักวิทยาศาสตร์ได้ส่งเรือดำน้ำไร้คนบังคับลงไปยังหุบผาลึกขนาดยักษ์ใต้มหาสมุทร เพื่อเก็บตัวอย่างจากตะกอนโคลนที่เกาะกรังอยู่ก้นทะเล และผลการวิเคราะห์พบระดับออกซิเจนในตัวอย่างที่เก็บ ซึ่งเผยถึงการมีจุลินทรีย์จำนวนมหาศาลอาศัยอยู่

ดร.เทอร์เนวิทส์ชอธิบายว่า จุลินทรีย์เหล่านี้หายใจเช่นเดียวกับคนเรา และการใช้ออกซิเจนของจุลินทรีย์เหล่านี้ก็เป็นวิธีทางอ้อมในการวัดกิจกรรมการดำรงชีพของกลุ่มจุลินทรีย์เหล่านั้น นักวิทยาศาสตร์ประหลาดใจที่พบว่า สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวเหล่านั้นมีกิจกรรมที่บริเวณก้นหุบผามากเป็น 2 เท่าของกิจกรรมบริเวณใกล้ๆ ที่อยู่ในระดับความลึก6 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ถัดขึ้นมาจากพื้นมหาสมุทรดังกล่าว

สิ่งที่เลี้ยงจุลินทรีย์เหล่านั้นให้อุดมสมบูรณ์คือซากพืชและสัตว์จำนวนมากที่ตายลง แล้วจมจากผิวน้ำทะเลสู่ก้นมหาสมุทร วัตถุที่ย่อยสลายเหล่านั้นตัดกับผนังอันสูงชันของหุบผา แล้วจมลงกลายเป็นอาหารสำหรับจุลินทรีย์จำนวนมาก และยังพบว่ามีซากที่สดใหม่จมอยู่ก้นมหาสมุทรในระดับสูงจนน่าแปลกใจด้วย


ระดับสสารในก้นหุบผาใต้มหาสมุทรที่สูงมากนี้ชี้ว่ามาเรียนา เทรนช์ ซึ่งเป็นเขตน้ำลึกในระบบนิเวศทะเล หรือ "ฮาดัลโซน" (Hadal zone) นั้นอาจจะมีบทบาทสำคัญต่อวัฏจักรคาร์บอน ดังนั้น จึงน่าจะมีส่วนในการควบคุมภูมิอากาศโลก ด้วย

ด้าน ดร.ริชาร์ด เทอร์เนวิทส์ช กล่าวว่า ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสสารอินทรีย์ปริมาณมากสะสมคาร์บอนและไปกองกันที่หุบผาลึกนี้ แสดงว่ามาเรียนาเทรนช์นั้นมีบทบาทสำคัญต่อการเคลื่อนย้ายคาร์บอนจากมหาสมุทรและการมีคาร์บอนมากเกินในชั้นบรรยากาศ และอาจจะมีบทบาทสำคัญต่อวัฏจักรคาร์บอนในมหาสมุทรทั่วโลกมากกว่าที่เราเคยคาดไว้

ส่วนการลงสำรวจ มาเรียนา เทรนช์ ด้วยตาของมนุาย์นั้น เพิ่งมีล่าสุด โดยการดำเดียวของ เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) ผู้กำกับชื่อดังจากฮอลลิวูด เมื่อปี 2012 ที่ผ่านมา โดยเขาได้ขับเรือดำน้ำดำดิ่งเพียงลำพังลงไปสำรวจเทรนช์ถึงก้นมหาสมุทร ซึ่งนับเป็นมนุษย์คนแรกที่ลงไปเยือนหุบผายักษ์ใต้น้ำแห่งนี้ในรอบ 50 ปี โดยดำลงไปลึกถึง 10,898 เมตร

สำหรับมนุษย์ที่ทำสถิติดำดิ่งลึกที่สุดคือ ดอน วอลช์ (Don Walsh) ที่ลงสำรวจมาเรียนา เทรนช์ ร่วมกับ ฌาคส์ ปิคคาร์ด (Jacques Piccard) วิศวกรชาวสวิส เมื่อปี 1960 โดยลงไปลึกถึง 10,994 เมตร

คาเมรอนบอกทางบีบีซีว่าที่ใต้เทรนช์นั้นเหมือนโลกหนึ่ง และไม่มีความอุดมสมบูรณ์ โดยเขาเพิ่งเผยผลทางวิทยาศาสตร์บางส่วนที่ได้จากดำดิ่งลงก้นสมุทรในภายในการประชุมของสหพันธ์ธรณีฟิสิกส์อเมริกัน (American Geophysical Union) ประจำฤดูใบไม้ร่วง เมื่อปี 2012

จากการทำงานร่วมกับนักวิทยาศาสตร์สถาบันสคริปปส์ (Scripps Institute) ทีมของคาเมรอนได้พบอะมีบายักษ์และสิ่งมีชีวิตคล้ายกุ้งที่เรียกว่าแอมฟิพอดส์ (amphipods) ส่วนวิดีโอจากการดำดิ่งของเขาจะเผยแพร่ผ่านสารคดี 3 มิติของเนชันนัลจีโอกราฟิก

ที่มา -




พบ "จุลชีพ" อาศัยอยู่ใน "มาเรียนาเทรนช์" ร่องลึกก้นสมุทรลึกที่สุดในโลก

ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติประกาศการค้นพบ"จุลชีพขนาดเล็ก" บริเวณร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา หรือมาเรียนา เทรนช์ กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเป็นจุดที่ลึกที่สุดในโลก


ผลการวิจัยดังกล่าว ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Geoscience ระบุว่า ในจุดที่ลึกสุดของมาเรียนา เทรนช์ ที่มีความลึกถึง 10.911 กิโลเมตร พบกลุ่มสิ่งมีชีวิตเซลส์เดียวจำนวนมาก จากเดิมที่เชื่อกันว่าในสภาพแวดล้อมในระดับความลึกดังกล่าวไม่เหมาะสมต่อการเติบโตของสิ่งมีชีวิต  แต่ผลการศึกษาชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่า สิ่งมีชีวิตดังกล่าวสามารถอาศัยในน้ำทะเลที่มีอุณหภูมิใกล้จุดเยือกแข็ง มีแรงกดมหาศาล  และไร้แสงสว่างได้

ดร.โรเบิร์ต เทิร์นวิตช์ หนึ่งในผู้ร่วมเขียนรายงาน จากสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลของสก็อตแลนด์ แม้ในจุดที่ลึกที่สุดของมหาสมุทรก็สามารถมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้

โดยเมื่อปี 2010 นักวิทยาศาสตร์ได้ส่งเรือดำน้ำที่ไร้คนขับลงไปบริเวณร่องลึกดังกล่าว เพื่อเก็บตัวอย่างหินตะกอนบริเวณก้น ผลการวิเคราะห์ระดับอ็อกซิเจนในหินพบว่ามีการพบตัวอย่างจุลชีพอาศัยอยู่จำนวนมาก

ดร.เทิร์นวิตช์อธิบายว่า จุลชีพดังกล่าว มีระบบการหายใจเช่นเดียวกับมนุษย์ และการใช้อ็อกซิเจนในการบริโภคถือเป็นการวัดผลทางอ้อมของกิจกรรมที่ทำร่วมกันของสิ่งมีชีวิตดังกล่าว และที่น่าประหลาดใจก็คือ สิ่งมีชีวิตเซลส์เดียว มีความแอคทีฟมากกว่าสิ่งมีชีวิตเดียวกันนี้ที่อาศัยในดับความลึก 6 กม.

พบว่าพวกมันกินซากพืชซากสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้วที่ลอยลงสู่ก้นทะเล และลอยติดอยู่ตามขอบของร่องลึกเป็นอาหาร ซึ่งมีจำนวนมหาศาล ซึ่งดร.เทิร์นวิตช์ กล่าวว่า ส่งผลกระทบที่สำคัญต่อระบบการหมุนเวียนคาร์บอนในท้องทะเลของโลกมากกว่าที่เราทราบ

ทั้งนี้ ทีมงานรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เมื่อพบว่า มีเชื้อจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิตจำนวนหนึ่งเกาะอยู่บนหินตะกอน ซึ่งเกิดจาการรวมตัวของซากสิ่งมีชีวิตในทะเล และที่น่าพิศวงยิ่งกว่า คือผู้เชี่ยวชาญค้นพบการอาศัยของกลุ่มแบคทีเรียในบริเวณร่องสมุทรมาเรียนามากกว่าพื้นสมุทรบริเวณใกล้เคียง ที่มีความลึกราว 6 กิโลเมตร ทั้งที่ความกดดันของน้ำในบริเวณร่องสมุทรมาเรียนานั้นสูงถึง 16,000 ปอนด์ ต่อตารางนิ้ว ( ราว 11,250,000 กิโลกรัม ต่อตารางเมตร ) และแทบไม่มีแสงสว่าง บวกกับอุณหภูมิที่สูงกว่าจุดเยือกแข็งเพียงไม่กี่องศาเซลเซียส

ก่อนหน้านี้เมื่อ 3 ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์ทีมนี้ใช้หุ่นยนต์ที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษลงไปวัดปริมาณออกซิเจนบริเวณร่องสมุทรมาเรียนา แต่ไม่ใช่ส่วนที่ลึกที่สุด ซึ่งผลการวิเคราะห์บ่งชี้ว่า พบสัญญาณการมีชีวิตของจุลินทรีย์เช่นกัน

ปีที่แล้ว เจมส์ คาเมรอน ผู้กำกับภาพยนตร์รางวัลออสการ์ สร้างประวัติศาสตร์เป็นมนุษย์คนแรกในรอบ 50 ปี ที่ประสบความสำเร็จในการดำเดี่ยวลงสู่มาเรียนาเทรนช์ ด้วยยานสำรวจดีพซี ชาเลนเจอร์

ที่มา -