ข่าว:

รับสมัครเฉพาะชาวเรือและผู้ที่สนใจที่เป็นคนไทยเท่านั้น สมัครแล้วรออนุมัติประมาณ 2-3 วัน หากต้องการด่วนโปรดแจ้ง webmaster@marinerthai.net

Main Menu

ฟิทช์ปรับเพิ่มอันดับบริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) เป็น A- จาก BBB+

เริ่มโดย mrtnews, ก.ย 10, 15, 06:50:02 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

mrtnews

ThaiPR.net -- พุธที่ 9 กันยายน 2558 - กรุงเทพฯ - บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศปรับเพิ่มอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวของบริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO เป็น 'A-(tha)' จาก 'BBB+(tha)' และคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ระดับ 'F2(tha)' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ


การปรับอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการเงินของ TASCO ที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการลดลงของหนี้สิน และความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น อัตราส่วนหนี้สินของ TASCO ลดลงเร็วกว่าที่คาดไว้เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ลดลง ซึ่งส่งผลให้มีความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนลดลงและมีอัตราส่วนกำไรที่สูงขึ้น

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
อัตราส่วนทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น: ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนทางการเงินที่ใช้ในการพิจารณาอันดับเครดิตของ TASCO จะแข็งแกร่งขึ้นในระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบที่สูงจากราคาขายของยางมะตอยที่ปรับลดลงช้ากว่าต้นทุนน้ำมันดิบ, ราคาน้ำมันดิบที่ลดลง, และความต้องการสินค้าที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้ TASCO ลดอัตราส่วนหนี้สินได้เร็วกว่าที่คาดไว้ ฟิทช์ได้ปรับประมาณการกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงานเป็นประมาณ 3.0-4.0 พันล้านบาทต่อปี จากก่อนหน้านี้ที่ประมาณการไว้ที่ 1.0-1.5 พันล้านบาทต่อปี และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงานเป็นต่ำกว่า 3.1 เท่า จากระดับ 5-6 เท่า ในปี 2558-2560

ตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งภายในประเทศ: อันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำทางการตลาดของ TASCO ในธุรกิจยางมะตอยในประเทศไทย โดย TASCO มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 40 ในธุรกิจแอสฟัลต์ซีเมนต์ และมากกว่าร้อยละ 60 ในสินค้ายางมะตอยชนิดพิเศษ เนื่องจากบริษัทฯ มีเครือข่ายทางการตลาดที่แข็งแกร่ง มีการส่งมอบสินค้าที่ตรงเวลาและหน่วยงานสนับสนุนด้านเทคนิคที่ดี ความเชี่ยวชาญในสินค้ายางมะตอยและการบริการทางเทคนิคถือเป็นจุดแข็งที่สำคัญของบริษัทฯ โดยการที่ TASCO มีประวัติการดำเนินธุรกิจยางมะตอยที่ยาวนาน และการได้รับการสนับสนุนด้านเทคนิคจากบริษัท Colas SA ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ โดยถือหุ้น TASCO อยู่ร้อยละ 32 เป็นปัจจัยสนับสนุนความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่งทั้งในประเทศและในภูมิภาคนี้

การกระจายความเสี่ยงด้านภูมิศาสตร์: TASCO มีโรงงานผลิตจำนวน 18 โรงงานตั้งอยู่ใน 5 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกซึ่งรวมถึงโรงกลั่นยางมะตอยที่ตั้งอยู่ในประเทศมาเลเซียด้วย ประมาณร้อยละ 66 ของยอดขายของ TASCO เป็นการขายที่เกิดขึ้นภายนอกประเทศไทย โดยมีการขายกระจายอยู่ใน 5 ประเทศหลัก ประกอบด้วย อินโดนีเซีย จีน ออสเตรเลีย มาเลเซีย และเวียดนาม และยังมีการขายในประเทศอื่นอีกกว่า 10 ประเทศ นอกจากนี้การขายระหว่างประเทศยังได้รับการสนับสนุนจากการที่บริษัทฯ มีกองเรือขนส่งยางมะตอย 9 ลำ ซึ่งทำให้มีความได้เปรียบด้านต้นทุนค่าขนส่งและความยืดหยุ่นในการจัดตารางการส่งมอบ

ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน: TASCO ต้องเผชิญกับความผันผวนของราคาวัตถุดิบซึ่งได้แก่น้ำมันดิบเป็นหลัก แม้ว่าราคาผลิตภัณฑ์ยางมะตอยมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นไม่มากนัก นอกจากนี้ระยะเวลาที่ต้องใช้ในการขนส่งน้ำมันดิบจากอเมริกาใต้มายังโรงกลั่นในประเทศมาเลเซียยังทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างราคาสินค้าผลิตภัณฑ์จากโรงกลั่นกับราคาน้ำมันดิบที่ซื้อมาอีกด้วย อย่างไรก็ตาม บริษัทฯได้ใช้เครื่องมือทางการเงินในการประกันความเสี่ยงเพื่อบรรเทาความเสี่ยงดังกล่าว โดยการเข้าทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อรักษาอัตราส่วนกำไรให้อยู่ในระดับเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ในระดับหนึ่ง

สมมุติฐานที่สำคัญ
สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ:

- ราคาน้ำมันดิบที่ 55 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในปี 2558, 65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในปี 2559, และ 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในปี 2560 เป็นต้นไป;

- สัดส่วนของการขาย Asphalt Cement ต่อ Premium Asphalt ที่ 90:10;
- ส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ยางมะตอยสูงขึ้นในปี 2558 และค่อยๆ ลดลงเป็นระดับปกติในปี 2560;

- สัดส่วนเงินปันผลที่ 35%-40% ของกำไรสุทธิ เทียบกับระดับการจ่ายในอดีต;
- ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่ 1.0-2.0 พันล้านบาทต่อปีในปี 2558-2560


ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต

ปัจจัยลบ:
- การลงทุนที่สูงขึ้นโดยมีแหล่งเงินทุนจากการกู้ยืม, ส่วนต่างราคาขายและวัตถุดิบของอุตสาหกรรมที่ต่ำ หรือราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับสูงกว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงานที่สูงกว่า 4.0 เท่าอย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยบวก:
- การขยายตัวของขนาดการดำเนินกิจการ หรือ การกระจายตัวของรายได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่งผลดีต่อโครงสร้างทางธุรกิจของบริษัทฯ

- อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงานที่ต่ำกว่า 2.0 เท่าอย่างต่อเนื่อง



ที่มา Data & Images -