ครั้งแรกกับบัตร Seabook เพื่อแรงงานข้ามชาติจัดระเบียบแรงงานประมงสู่มาตรฐานสากล

[mrtnews]

หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -อังคารที่ 4 ตุลาคม 2559 - เป็นจุดเริ่มการทำงานที่สำคัญเลยทีเดียวกับรองอธิบดีกรมประมงป้ายแดง อย่าง "อุมาพร พิมลบุตร" ที่เข้ามาบริหารกรมประมง พร้อมกับนโยบายใหม่ในการควบคุมเอกสารสถานะและประวัติคนประจำเรือสำหรับแรงงานข้ามชาติ (พม่า เขมร ลาว) ด้วยเปิดบริการรับคำขอทำหนังสือคนประจำเรือ หรือ ซีบุ๊ค (Seabook) เพื่อจำแนกแรงงานประมงออกมาจากแรงงานทั่วไป

ล่าสุดเมื่อ วันที่ 15 กันยายน 2559 ที่ผ่านมา กรมประมง ได้ออกประกาศแจ้งให้เจ้าของเรือประมงพาณิชย์ ที่มีขนาดตั้งแต่ 30 ตันกรอสขึ้นไป หรือเจ้าของเรือประมงพาณิชย์ ที่มีขนาดตั้งแต่ 10 ตันกรอสขึ้นไป ที่ใช้เครื่องมือทำการประมงประเภทอวนลาก อวนล้อมจับ และอวนครอบปลากะตัก ที่มีคนข้ามชาติทำงานในเรือประมง ต้องมายื่นคำขอรับหนังสือคนประจำเรือสำหรับคนต่างด้าว ณ ศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออกเรือประมง (PIPO) ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายนนี้ เป็นต้นไป เพื่อให้เป็นไปตามพระราชกำหนด (พรก.) การประมง พ.ศ. 2558

โดยสิทธิพิเศษในหนึ่งเดือนแรกสำหรับนายจ้างและผู้ประกอบการที่มายื่นคำขอระหว่างวันที่ 15 กันยายนถึง 14 ตุลาคม 2559 จะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม หลังจากนั้นจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 100 บาท ต่อแรงงาน 1 คน

นิยามของคำว่าซีบุ๊คคืออะไรและจัดทำขึ้นเพื่อจุดประสงค์ใด

"อุมาพร พิมลบุตร" รองอธิบดีกรมประมง ระบุว่า ซีบุ๊คที่ออกโดยกรมประมงยังไม่มีการออกแบบเป็นรูปธรรมแต่เบื้องต้นทางกรมจะออกหนังสือชั่วคราวให้กับผู้มายื่นคำขอก่อน โดยจัดเป็นเอกสารเล่มคล้ายกับ ซีแมนบุ๊ค (Sea man book) ที่ออกโดยกรมเจ้าท่า แต่ซีแมนบุ๊คเป็นเอกสารสำหรับแรงงานประมงไทย ส่วนซีบุ๊คเป็นเอกสารเฉพาะสำหรับแรงงานข้ามชาติที่ได้รับใบอนุญาตการทำงานในประเทศไทย (บัตรสีชมพู) ซึ่งประสงค์จะทำงานในเรือประมงที่ดำเนินการโดยผู้ประกอบการคนไทย โดยจะบันทึกชื่อ สกุล ประเทศต้นทางภูมิลำเนาและระบุชื่อเรือหรือบริษัทที่แรงงานนั้นๆ ได้ทำงานด้วย โดยคาดว่าระยะแรกของการดำเนินการจะสามารถจัดทำเอกสารแก่แรงงานประมงข้ามชาติราว 100,000 ราย (อ้างอิงตามข้อมูลของกระทรวงแรงงาน) จากนั้นจะมีรูปถ่าย พร้อมพิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ

กรรมสิทธิ์พิเศษและความสำคัญของซีบุ๊คเป็นอย่างไร

เจตนารมณ์ของการทำซีบุ๊ค คือเป็นการอำนวยความสะดวกต่อลูกจ้างและนายจ้าง โดยฝ่ายลูกจ้างจะมีหลักบานยืนยันในอาชีพเฉพาะ และหากผู้ใดมาสวมรอยก็จะสามารถตรวจสอบได้ เช่น แรงงานก่อสร้างที่อาจจะแอบมาทำประมงระหว่างว่างงานในระยะสั้นเพื่อสร้างรายได้เสริม อาจจะทำให้แย่งงานแรงงานประมงได้ เพราะปัจจุบันแรงงานประมงกำลังขาดแคลน แต่แรงงานด้านอื่นเข้ามาทำจะไม่มีความยั่งยืน

ทั้งนี้การทำเอกสารดังกล่าวเป็นไปตามพระราชกำหนด (พรก.) การประมง พ.ศ.2558 มาตรา 83 ได้กำหนดให้คนประจำเรือต้องมีหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่าน้ำไทย และในกรณีคนประจำเรือเป็นคนต่างชาติ ต้องได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และต้องได้รับใบอนุญาตให้ทำงานตามกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าวโดยนายกรัฐมนตรีได้ลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการออกหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมง พ.ศ.2559 ลงวันที่ 13 กันยายน 2559 และได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2559

คุณสมบัติผู้มีสิทธิทำหนังสือซีบุ๊คและรายละเอียดการยื่นคำขอเป็นอย่างไร

ผู้มีสิทธิยื่นขอเอกสาร คือนายจ้างที่ว่าจ้างแรงงานข้ามชาติ (ลาว กัมพูชา พม่า) ที่เป็นมิอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ทำงานบนเรือประมง ต้องจัดให้แรงงานผู้นั้นยื่นคำขอรับหนังสือคนประจำเรือ โดยนายจ้างที่ว่าหมายรวมถึงเจ้าของเรือประมงพาณิชย์ ที่มีขนาดตั้งแต่ 30 ตันกรอสขึ้นไป และเจ้าของหรือประมงพาณิชย์ ที่มีขนาด 10 ตันกรอส ขึ้นไป ที่ใช้เครื่องมือทำการประมงประเภทอวนลาก อวนล้อมจับ และอวนครอบปลากะตัก ที่ได้รับใบอนุญาตอกไปทำการประมงพาณิชย์ และหากลูกจ้างทราบข่าวแล้วแต่นายจ้างไม่ดำเนินการให้ก็สามารถแจ้งร้องเรียนมายังกรมได้ ทั้งนี้สำหรับขั้นตอนคือสามารถดำเนินการได้ทุกวันระหว่างวันที่วันที่ 15 กันยายน - 14 ตุลาคม 2559 เวลา 08.30 - 16.30 น. (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม โดยยื่นคำขอ ณ ศูนย์แจ้งเข้า-แจ้งออกของเรือประมง (PIPO) สำหรับผู้ยื่นตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม เป็นต้นไป ดำเนินการได้ระหว่างเวลา 08.30 - 15.00 น. (เว้นวันหยุดราชการ) เสียค่าธรรมเสียมตามปกติ

สำหรับเอกสารในยื่นคำร้องต้องประกอบด้วย สำเนาใบอนุญาตให้ทำงานตามกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าว สำเนาใบอนุยาตทำการประมงของเจ้าของเรือ สำเนาหนังสือสัญญาจ้างให้ทำงานในเรือประมง หนังสือมอบอำนาจของผู้ได้รับใบอนญาต โดยเจ้าของเรือที่มีลูกจ้างข้ามชาติและตรงตามเงื่อนไขที่กรมประมงประกาศให้มาทำซีบุ๊ค ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน นับแต่วันที่ประกาศมีผลบังคับใช้



ที่มา Data & Images -