ข่าว:

รับสมัครเฉพาะชาวเรือและผู้ที่สนใจที่เป็นคนไทยเท่านั้น สมัครแล้วรออนุมัติประมาณ 2-3 วัน หากต้องการด่วนโปรดแจ้ง webmaster@marinerthai.net

Main Menu

TTA ผลประกอบการปี 59- เงินลงทุนรวม 10.7 พันล้านบาท - กำไรสุทธิ 32.6 ล้านบาท

เริ่มโดย mrtnews, มี.ค 03, 17, 06:09:04 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

mrtnews

TTA รายงานผลประกอบการ ปี 2559- เงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นรวม 10.7 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2559- กำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติในส่วนของ TTA เท่ากับ 32.6 ล้านบาท


สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(1มีนาคม 2560) - บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA เผยผลประกอบการปี 59 (ระหว่าง 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม 2559) มีผลขาดทุนสุทธิ 418.3 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ จากการดำเนินงานปกติในส่วนที่เป็นของบริษัทฯเท่ากับ 32.6 ล้านบาท โดยมี EBITDA เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากปี 2558 มาอยู่ที่ 2,053.3 ล้านบาท แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากการที่ราคานํ้ามัน ถ่านหิน และอัตราค่าระวางเรือปรับลดลงอย่างมาก ในขณะที่ PMTA ยังคงมีแนวโน้มดีและมีส่วนแบ่งกำไรที่ดีให้ TTA อย่างต่อเนื่อง โดย TTA ยังคงมีกระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน 1,894 ล้านบาทและมีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 10.7 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2559 หรือ คิดเป็นมูลค่า 5.86 ต่อหุ้น อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นไปตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังรอบคอบในการจัดทำรายงานทางบัญชี และมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ดังนั้น ณ ปีสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2559 โทรีเซน ชิปปิ้ง กรุ๊ป บันทึกการด้อยค่าของเรือที่ขายไปในปี 2559 และที่จะขายในปี 2560 เป็นจำนวน 308 ล้านบาท เนื่องจากมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนตํ่ากว่ามูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์ และยังมีผลขาดทุนจากรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำประมาณ 203.2 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการตั้งสำรองสำหรับภาษีที่ไม่สามารถเรียกคืนได้และการขาดทุนจากการจำหน่ายสินทรัพย์ถาวร

นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TTA เปิดเผยว่า "เราได้เผชิญกับความท้าทายที่เกิดขึ้นจากความผันผวนของอุตสาหกรรมนํ้ามัน ปริมาณงานสำรวจก๊าซธรรมชาติและนํ้ามันของบริษัทนํ้ามันชั้นนำลดลง ผนวกกับรูปแบบการค้าทั่วโลกเปลี่ยนไป และปัญหาเรือขนส่งสินค้ามีมากกว่าความต้องการใช้บริการขนส่งสินค้าทางเรือของลูกค้า จะเห็นได้ว่า ในปี 2559 อุตสาหกรรมขนส่งสินค้าทางเรืออยู่ท่ามกลางสภาวะที่อัตราค่าระวางเรือปรับตัวตํ่าสุดในรอบเกือบ 30 ปี ดัชนีบอลติค (BDI) ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับตํ่าสุดที่ 290 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 แต่เริ่มคลี่คลายและส่งผลให้ BDI เริ่มปรับตัวขึ้นอย่างช้าๆ ในช่วงปลายปี ทำให้ค่าเฉลี่ยดัชนี BDI ในปี 2559 อยู่ที่ 673 ลดลงร้อยละ 6 จาก 718 ในปี 2558 สำหรับธุรกิจนํ้ามันและก๊าซธรรมชาติยังคงผันผวนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ค่าเฉลี่ยราคานํ้ามันดิบในปี 2559 อยู่ที่ 41 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงจากปี 2558 ที่ 51 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากอุปทานที่ล้นตลาดในตลาดนํ้ามันดิบ

ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจหลักของ TTA ค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม TTA ยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาความเชื่อมั่นของลูกค้าและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งในสถานการณ์ตลาดที่ยากลำบากด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ การให้บริการอย่างดีเพื่อรักษาสัญญาระยะยาวกับลูกค้ารายใหญ่ และการปรับแผนกลยุทธ์ธุรกิจอย่างทันการณ์ และจากการดำเนินกลยุทธ์การลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงของบริษัทฯ ปรากฎว่า ธุรกิจปุ๋ย ยังคงมีส่วนแบ่งกำไรที่ดีให้ TTA ซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่า เป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว" ผลการดำเนินงานของแต่ละธุรกิจ โทรีเซน ชิปปิ้ง : ในปี 2559 โทรีเซน ชิปปิ้ง กรุ๊ป มีอัตราการใช้ประโยชน์ของเรือที่เป็นเจ้าของยังคงอยู่ในระดับสูงถึงร้อยละ 99.4 โดยมีอัตราค่าระวางเรือเฉลี่ย อยู่ที่ 5,155 เหรียญสหรัฐต่อวัน ซึ่งตํ่ากว่าอัตราค่าระวางเรือเฉลี่ยของตลาด Supramax ที่ปรับฐานแล้วที่ 5,746 เหรียญสหรัฐต่อวันร้อยละ 10 และลดลง ร้อยละ 31 จาก 7,507 เหรียญสหรัฐต่อวัน ในปี 2558 อย่างไรก็ตาม EBITDA ยังคงเป็นบวกที่ 87.1 ล้านบาท (ลดลง 85% YoY) และมี EBITDA margin ที่ 3% ถึงแม้ว่าดัชนีบอลติก (BDI) ได้ ลงไปตํ่าสุดตั้งแต่มีการทำดัชนีมาก็ตาม โดยสรุป โทรีเซน ชิปปิ้ง กรุ๊ป รายงานผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 874.4 ล้านบาท และ ผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานปกติที่ 509.9 ล้านบาท

เมอร์เมด มาริไทม์ : กลุ่มเมอร์เมด มี EBITDA จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 107 จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 952.9 ล้านบาท อัตราค่าเช่ารายวันของเรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.1 ถึงแม้ว่าอัตราการใช้ประโยชน์ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 45 และรายได้รวมที่ 6,533.4 ล้านบาท ซึ่งลดลงร้อยละ 43 จากปีก่อนหน้า ที่ 11,527.3 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณงานที่ลดลง โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจวางสายเคเบิ้ลใต้ทะเล โดยสรุปกลุ่มเมอร์เมด มีกำไรสุทธิ 605 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิในส่วนของ TTA เท่ากับ 349.8 ล้านบาท

PMTA : บมจ. พีเอ็ม โทรีเซนเอเชีย โฮลดิ้งส์ ยังคงทำกำไรให้กับ TTA ได้ดีอย่างต่อเนื่องในปี 2559 แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายจากภาวะขาดนํ้าต่อเนื่องและภาวะนํ้าเค็มหนุนในเวียดนาม โดยมีปริมาณการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เป็น 209,329 ตันต่อปี มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 897.2 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 28 ปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากปริมาณการส่งออกไปยังประเทศฟิลิปปินส์และประเทศต่างๆในแอฟริกา และความสำเร็จจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ N-Protect ร่วมกับ Solvay ในปี 2558 ส่งผลให้ปริมาณการขายของปุ๋ยเชิงเดี่ยวเพิ่มขึ้นร้อยละ 34 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเพิ่มขึ้นจาก 3,224 ตัน เป็น 4,332 ตัน ในปี 2559


อุปสงค์การเช่าพื้นที่โรงงานยังคงอยู่ในระดับสูง PMTA จึงขยายพื้นที่โรงงานให้เช่าอีก 8,200 ตร.ม.ในปี 2559 ทำให้มีพื้นที่ให้เช่ารวมทั้งหมดในปัจจุบันเท่ากับ 50,500 ตร.ม. นอกจากนี้ PMTA อยู่ระหว่างการสร้างบาคองโค 5-C (พื้นที่ 10,000 ตร.ม.) เพื่อมารองรับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นด้วย อัตราการใช้ประโยชน์ของพื้นที่โรงงานให้เช่าอยู่ในระดับร้อยละ 100 รายได้จากการให้บริการให้เช่าพื้นที่โรงงานเพิ่มขึ้นจาก 49.1 ล้านบาท มาที่ 55.1 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยสรุป ในปี 2559 PMTA มีผลกำไรสุทธิ 277 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิในส่วนของ TTA 188 ล้านบาท

UMS : บมจ. ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส ถึงแม้ว่าปริมาณการขายและรายได้ในปี 2559 มีการปรับตัวลดลง แต่จากแผนการลดต้นทุนทำให้ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารลดลง ร้อยละ 31 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ EBITDA เพิ่มขึ้นร้อยละ 83 ในขณะที่ปริมาณการขายถ่านหินของ UMS ลดลงร้อยละ 14 จาก 259,000 ตัน ในปี 2558 มาอยู่ที่ 223,000 ตันในปี 2559 ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากปริมาณการขายถ่านหิน 0-5 มิลลิเมตรในปี 2559 ที่ลดลง โดยสรุป UMS มีผลขาดทุนสุทธิ ลดลงเหลือ 57.6 ล้านบาท เป็นผลขาดทุนสุทธิในส่วนของ TTA 51.8 ล้านบาท

นายเฉลิมชัย กล่าวเสริมว่า "TTA นอกจากจะมุ่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจที่มีอยู่แล้ว ยังมองหาโอกาสในการลงทุนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของการซื้อกิจการบริษัทชั้นนำ การร่วมทุนกับบริษัทสตาร์ทอัพ หรือการต่อยอดจากธุรกิจเดิม จะเห็นว่าในปี 2559 TTA ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุน TTA SUEZ เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสการลงทุนในธุรกิจนํ้าดื่มและการให้บริการบำบัดนํ้าเสียแก่ภาครัฐและเอกชนในประเทศไทย นอกจากนี้ TTA ยังคงสนใจลงทุนในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เพราะว่าเป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูงแต่อัตราความผันผวนตํ่ามาก ล่าสุด TTA ได้ตัดสินใจเข้าไปลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์ พิซซ่า ฮัท ในประเทศไทย ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก และ TTA มั่นใจว่าการลงทุนในธุรกิจพิซซ่าครั้งนี้จะนำผลกำไรที่ดีมาสู่ TTA ในอนาคต"

แนวโน้มธุรกิจ ในปี 2560 มีการคาดการณ์ว่าธุรกิจเดินเรือขนส่งสินค้าจะดีขึ้น เนื่องจากปริมาณเรือที่มีในตลาดกับปริมาณความต้องการใช้บริการขนส่งสินค้า จะเริ่มมีความสมดุลมากขึ้น แต่ก็ยังบอกไม่ได้ชัดเจนว่าความสมดุลนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และตราบใดที่ยังมีความไม่แน่นอน TTA จะลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ อย่างระมัดระวัง โดยจะพิจารณาเรื่องความเสี่ยงจากการลงทุนเป็นสำคัญ

อย่างไรก็ตาม TTA มีความพร้อมที่จะเติบโตต่อไปท่ามกลางสภาวะธุรกิจที่จะกำลังจะกลับมาดีขึ้นอย่างช้าๆ ในปี 2560 ด้วยกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลายทำให้ TTA สามารถยืนหยัดเพื่อรับมือกับสภาวะที่ตลาดมีความผันผวนได้อย่างเข้มแข็ง สถานะทางการเงินยังคงแข็งแกร่ง และปัจจุบัน TTA ยังมีกระแสเงินสดในมือที่สามารถจะเข้าไปลงทุนในธุรกิจที่น่าสนใจได้ทันที
   
สุกัญญา ศิริรวง รายงาน เรียบเรียง

ที่มา: หุ้นอินไซด์ | hooninside.com