ข่าว:

รับสมัครเฉพาะชาวเรือและผู้ที่สนใจที่เป็นคนไทยเท่านั้น สมัครแล้วรออนุมัติประมาณ 2-3 วัน หากต้องการด่วนโปรดแจ้ง webmaster@marinerthai.net

Main Menu

ก. พลังงาน โอดหาแอลเอ็นจียาก ใช้ทุนยิ่งกว่า 2 ล้านล้าน

เริ่มโดย mrtnews, ธ.ค 20, 13, 19:29:23 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

mrtnews

กระทรวงพลังงานห่วง อนาคตจัดหาแอลเอ็นจีลำบาก แถมต้องลงทุนมหาศาลกว่าโครงการ 2 ล้านล้านบาท เตรียมลดการพึ่งพิงก๊าซธรรมชาติในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่...


นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวในการสัมมนา 10 ปี พลังงานทดแทน ทางรอดก่อนก๊าซหมดอ่าวไทย โดยระบุว่า ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (พีดีพี) 2010 ปรับปรุงครั้งที่ 3 ประเมินว่า ในปี 2573 ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศจะอยู่ที่ 26,000 เมกะวัตต์ แต่ในการคำนวณใหม่ของคณะกรรมการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศ พบว่า ในปี 2573 ความต้องการจะสูงขึ้นเป็น 53,000 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นจากเดิมกว่า 2 เท่า จึงจำเป็นต้องลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มประมาณ 30,000 เมกะวัตต์ ซึ่งเกิดจากการใช้ไฟฟ้าอย่างไม่มีประสิทธิภาพ

ส่วนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ ซึ่งคิดเป็น 70% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด กำลังเกิดปัญหา โดยก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยกำลังจะหมดลงในอีกประมาณ 10 ปีข้างหน้า ขณะที่การจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) จากต่างประเทศเข้ามาทดแทนยังไม่สามารถทำได้ เพราะเป็นที่ต้องการจากหลายประเทศ และไทยมีเงินทุนไม่พอในการเข้าไปร่วมลงทุนเพื่อผลิต และขนส่งกลับมาใช้

หลังสหรัฐอเมริกาสามารถผลิตเชลล์แก๊สได้ และไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงก๊าซธรรมชาติจากแคนาดา กระทรวงพลังงาน โดย ปตท.ได้พยายามที่จะเข้าไปซื้อก๊าซจากแคนาดา แต่พบว่าประเทศผู้นำด้านเศรษฐกิจของเอเชีย ทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ได้เข้าไปทำสัญญาหมดแล้ว ส่วนแหล่งอื่นๆ ก็จำเป็นต้องเข้าไปร่วมลงทุนตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต เช่น ที่โมซัมบิก ในแอฟริกา ปตท.สผ. ได้เข้าไปลงทุนถึง 2 แสนล้านบาท แต่ยังไม่รู้ว่าจะได้ก๊าซหรือไม่ จึงมีเพียงสัญญาที่ทำไว้กับการ์ตา ที่จะขายแอลเอ็นจีให้ไทย 2 ล้านตันต่อปี เป็นเวลา 20 ปี

นอกจากนี้ ในการขนส่งแอลเอ็นจีกลับมาให้ได้ 20 ล้านตันต่อปี ตามแผนพีดีพี จำเป็นต้องลงทุนเรือขนส่งเฉพาะ เพราะต้องเป็นเรือที่ต้องควบคุมอุณหภูมิก๊าซให้เป็นของเหลว ซึ่งมีราคา 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือลำละเกือบ 10,000 ล้านบาท หากต้องขนส่งระยะยาวอาจต้องใช้เรือ 40 ลำ ซึ่งเม็ดเงินลงทุนจะสูงกว่าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท และในการจ้างต่อเรือต้องใช้เวลาว่าจ้าง 4-5 ปี ซึ่งในการปรับปรุงแผนพีดีพีรอบใหม่ กระทรวงพลังงานจะพยายามลดการพึ่งพิงก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้า โดยหันไปพึ่งพิงพลังงานทดแทน ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานชีวมวล และก๊าซชีวภาพ ขณะเดียวกัน ก็จะต้องส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานของประชาชนด้วย.

ประเทศส่อเกิดวิกฤติ 'LNG'  หวั่น 6 ปีก๊าซหมดเร่งลดใช้ด่วน

พฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2556 - แจ้งวัฒนะ * กระทรวงพลังงานเตือนไทยส่อวิกฤติก๊าซในอนาคตอันใกล้ หลังพบก๊าซหมดอ่าวไทยในอีก 6-7 ปี เคราะห์ซ้ำ ปตท.หืดจับแย่งซื้อแอลเอ็นจีต่างประเทศยากขึ้นทุกที คาดปี 2562 ความต้องการใช้สูงกว่า 10 ล้านตัน เกินกำลังคลังที่มีในประเทศจะรองรับได้ เร่งปรับแผนพีดีพีเน้นลดใช้ก๊าซด่วนโดยเฉพาะภาคขนส่ง พร้อมสั่ง ปตท.สร้างคลังเฟส 3 ต้องย้ายออกจาก จ.ระยอง เพื่อกระจายความเสี่ยงด้านพลังงานไทย


นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยในงานสัมมนา "10 ปี พลังงานทดแทนทางรอดก่อนก๊าซหมดอ่าวไทย" ว่า ประเทศไทยอาจประสบปัญหาวิกฤติก๊าซธรรมชาติในอีก 6-7 ปีข้างหน้า เนื่องจากก๊าซจะหมดจากอ่าวไทยหากไม่มีการสำรวจแหล่งใหม่เพื่อผลิตเพิ่มเติม นอกจากนี้ความต้องการใช้แอลเอ็นจีของไทยเริ่มปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าปี 2562 ไทยจะเกิดวิกฤติขาดแคลนแอลเอ็นจีได้ เพราะตามแผนพัฒนาไฟฟ้าระยะยาวของประเทศ หรือ พีดีพี 2010 ฉบับปัจจุบันพบว่า ความต้องการใช้แอลเอ็นจีจะพุ่งขึ้นเกิน 10 ล้านตันต่อปี ขณะที่คลังเก็บแอลเอ็นจีของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จะมีรองรับได้เพียง 10 ล้านตันเท่านั้น

ทั้งนี้ ปัจจุบัน ปตท.มีคลังเก็บแอลเอ็นจีอยู่ที่จังหวัดระยอง 1 คลัง รองรับแอลเอ็นจีได้ 5 ล้านตัน โดยขณะนี้ความต้องการใช้ยังอยู่ที่ 2 ล้านตันต่อปี แต่คาดว่าในปี 2558 ความต้องการใช้เพิ่มถึง 5 ล้านตันต่อปี และ ปตท.เตรียมสร้างคลังเฟส 2 เสร็จในปี 2561 รองรับแอลเอ็นจีได้อีก 5 ล้านตัน รวมเป็นปริมาณที่จะรองรับแอลเอ็นจีได้ 10 ล้านตัน แต่ในปี 2562 เป็นต้นไป ความต้องการใช้จะเกิน 10 ล้านตัน ซึ่งหากไม่เร่งลงทุนสร้างคลังเก็บแอลเอ็นจีเพิ่ม จะทำให้แอลเอ็นจีไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้

นอกจากนี้ การแสวงหาแหล่งลงทุนผลิตแอลเอ็นจีใน อนาคตของไทยเป็นไปได้ยาก เนื่องจากประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น จีน ยุโรป เกิดความต้องการใช้แอลเอ็นจีสูงและเข้าไปลงทุนจองซื้อแอลเอ็นจีกันเกือบหมดในแหล่งก๊าซสำคัญของโลก และไม่สนใจจะร่วมลงทุนกับ ปตท. เนื่องจากเป็นผู้ใช้รายเล็กและไม่มีความชำนาญในธุรกิจแอลเอ็นจี รวมทั้งปัจจุบัน ปตท. มีสัญญาซื้อแอลเอ็นจีระยะยาว 20 ปี จากประเทศกาตาร์เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ในปริมาณ 2 ล้านตันต่อปี โดยเริ่มนำเข้ามาแล้วตั้งแต่ปี 2555 และยังอยู่ระหว่างการแสวงหาซื้อแอลเอ็นจีเพิ่มเติมซึ่งยังอยู่ในขั้นเจรจาเท่านั้น ดังนั้น ปัญหาทั้งหมดจะกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความมั่นคงด้านก๊าซของประเทศไทย

นายสุเทพกล่าวว่า จาก อุปสรรคดังกล่าว ทำให้กระ ทรวงพลังงานต้องเร่งปรับแผนพีดีพีฉบับใหม่โดยเร็ว เพื่อลดการใช้ก๊าซลง โดยเฉพาะในภาคขนส่งที่มีการใช้ก๊าซอย่างสิ้นเปลือง ซึ่งต้องพยายามผลักดันให้ภาคขนส่งหันไปใช้พลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้ง เตรียมสนับสนุนพลังงานทด แทนใน 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1.การผลิตไฟฟ้าบนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) 2.การส่งเสริม การใช้พืชพลังงาน เช่น เอทา นอล 3.การส่งเสริมการใช้น้ำมันปาล์มผสมในน้ำมันดีเซล เพิ่ม จากปัจจุบันกำหนดให้ผสมในอัตรา 5% หรือ บี 5 ให้เพิ่มเป็นการผสม 7% หรือ บี 7 ในปี 2557 และ 4.สนับสนุนการใช หญ้าเนเปียร์ในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น

แหล่งข่าวพลังงานกล่าวว่า กระทรวงพลังงานได้มีแนว ทางให้ ปตท.สร้างคลังเก็บแอลเอ็นจี เฟส 3 แต่ให้ย้ายจากจังหวัดระยองไปยังจังหวัดอื่นที่ติดกับทะเลอ่าวไทย ซึ่งอาจเป็นภาคใต้ เนื่องจากต้องการกระจายความเสี่ยงด้านความมั่นคงของพลังงานประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับ ปตท.

ที่มา -