ข่าว:

รับสมัครเฉพาะชาวเรือและผู้ที่สนใจที่เป็นคนไทยเท่านั้น สมัครแล้วรออนุมัติประมาณ 2-3 วัน หากต้องการด่วนโปรดแจ้ง webmaster@marinerthai.net

Main Menu

TASCO ก้าวแรกสู่การเป็น Global Company ผลมาจากการมี กองเรือ โรงกลั่น ท่าเรือ

เริ่มโดย mrtnews, พ.ย 20, 15, 19:12:27 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

mrtnews

ประกาศซื้อบริษัท 5 แห่ง มูลค่า 2,213 ล้านบาท คิดเป็น P/BV ที่ 1.37 เท่า


โดยแบ่งเป็นการซื้อหุ้นสามัญมูลค่า 1,766.76 ล้านบาท และโอนสิทธิการเป็นเจ้าหนี้ 477.96 ล้านบาท โดยเราคาดว่าดีลนี้จะสร้างกำไรให้ TASCO ประมาณ 300 ล้านบาท/ปี โดยอิงจากปริมาณการขายยางมะตอยในปี 2558 ที่ 2.9 แสนตัน และอัตรากำไรสุทธิที่ 5% นอกจากนี้ดีลนี้ยังส่งผลให้ TASCO 1. ก้าวเป็นผู้นำการขายยางมะตอยในประเทศเวียดนาม (market share 31%) และอินโดนีเซีย (market share 36%) 2. เพิ่ม utilization rate ของโรงกลั่นในปี 2559 ที่ 95% จากปี 2558 ที่ประมาณ 80% ซึ่งเป็นผลมาจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นประกอบกับการบริหารกองเรือและเส้นทางการเดินเรือที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น 3. มีโอกาสนำเสนอผลิตภัณฑ์ value added product ซึ่งยังไม่มีในทั้ง 2 ประเทศ 4. ต้นทุนลดลงจากประสิทธิภาพในการขนส่งซึ่งเป็นผลมาจากการมี กองเรือ โรงกลั่น ท่าเรือ ที่เพิ่มขึ้น

แนวโน้มผลประกอบการ เราคาดว่ากำไรในช่วง 4Q58 จะทำสถิติสูงสุดของปี 2558 ที่ประมาณ 1,500-1,600 ล้านบาท จากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ และความต้องการยางมะตอยที่สูงแบ่งเป็น ในประเทศจากการเบิกงบทำถนนปกติและงบเร่งด่วนของกรมหลวงที่ต่อเนื่องมาจาก 3Q58 ประกอบกับงบของกรมทางหลวงชนบทที่จะเริ่มเบิกจ่ายใน 4Q58 นี้และในต่างประเทศโดยเฉพาะในประเทศออสเตรเลียที่เป็น high season และประเทศอินโดนีเซียที่รัฐบาลมีนโยบายลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระยะยาวถึงปี 62 มูลค่ารวมกว่า 5 ล้านล้านบาท

ปี 2559 โตต่อเนื่อง เรามองว่า TASCO มีโอกาสโตต่อเนื่องจาก 1. ปริมาณการขายยางมะตอยที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2.9 แสนตันหรือ 12% yoy จากการเพิ่มกำลังการผลิตโรงกลั่นและการซื้อบริษัท 2. Margin ที่อยู่ในระดับสูงจาก spread ที่คาดว่ายังอยู่ในระดับสูงจากราคาน้ำมันดิบที่ต่ำและราคายางมะตอยที่สูงจากความต้องการยางมะตอยในทวีปเอเชีย ซึ่งหลายประเทศมีแผนพัฒนาถนนในระยะยาว การเพิ่มปริมาณการขาย value added products โดยเฉพาะจากนโยบายของรัฐบาล 3. SUPPLY ของยางมะตอยในตลาดที่ต่ำในขณะที่เรือขนส่งยังคงขาดแคลน และ 4. การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานจากทั้งการซื้อกิจการ (เพิ่ม ship utilization and routing) และการลงทุนร่วมกับ SK energy

ตั้งเป้าโต 3 เท่าภายในปี 2563 ในช่วง 3Q58 TASCO มีปริมาณการขายยางมะตอยเพิ่มขึ้น 20.3% ที่ 6 แสนตัน ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการยางมะตอยทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้สำหรับ vision ในปี 2563 TASCO ได้ตั้งเป้าหมายปริมาณการขายยางมะตอยเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าที่ 6 ล้านตัน ภายในปี 2563 (2.03 ล้านตันในปี 2557)

ปรับกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น: เราปรับกำไรสุทธิปี 2558 และ 2559 เป็น 5,401 ล้านบาท (eps 3.5 บาท/หุ้น) และ 5,717 ล้านบาท (eps 3.7 บาท/หุ้น) ตามลำดับจากปริมาณยางมะตอยที่เพิ่มขึ้นจากการควบรวมกิจการและการ maximize กำลังการผลิตของโรงกลั่นและอัตรากำไรขึ้นต้นที่ดีจาก spread ที่ยังคงทรงตัวในระดับสูง
คงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยเป้าหมายปี 2559 ที่ 52 บาท upside 32% อิงจาก FORWARD PE ที่ 14 เท่า โดยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างที่ PER 16 เท่า นอกจากนี้เราคาดว่า TASCO มีโอกาสจ่ายปันผลในงวดปี 2559 ที่ 1-2 บาท/หุ้น คิดเป็น dividend yield ที่ 2.5-5%



ที่มา Data & Images -




TASCO พุงกางขายยางมะตอย ลุยซื้อกิจการอินโดฯ-เวียดนาม

ทิปโก้แอสฟัลท์ เปิดวิชัน เป้าปี 2563 เป็นผู้นำผลิตภัณฑ์ยางมะตอย-ปิโตรเลียมครบวงจร เป้ายอดขาย 6 ล้านตันใน 5 ทวีป โต 3 เท่า ลุยซื้อกิจการในอินโดฯ-เวียดนาม ราคาน้ำมันลงโอกาสทองธุรกิจ คาดกำไรนิวไฮต่อเนื่องอีก 2-3 ปี งวด 9 เดือนพุงกาง กำไร 3.9 พันล้านบาท พุ่ง 473 %


นายชัยวัฒน์ ศรีวรรณวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด(มหาชน) (TASCO) เปิดเผยแผนธุรกิจว่า ภายในปี 2563 บริษัทตั้งเป้าเป็นผู้นำระดับโลกสำหรับการผลิตและจำหน่ายสินค้าและบริการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยางมะตอยและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับปิโตรเลียมอย่างครบวงจร และเป็นตัวเลือกหลักของคู่ค้าต่างๆจากทั่วโลก

โดยตั้งเป้า 5 ปีข้างหน้า (ปี 2559-2563) TASCO ปริมาณการขายผลิตภัณฑ์ยางมะตอยและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม 6 ล้านตันใน 5 ทวีปหลัก แบ่งเป็นยางมะตอย 4 ล้านตัน และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม 2 ล้านตัน หรือเติบโตประมาณ 3 เท่าจากปี 2558 ที่มียอดขาย 2.2-2.3 ล้านตัน

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการเข้าซื้อกิจการยางมะตอยจากบริษัทในประเทศอินโดนีเซียและเวียดนาม ซึ่งถือเป็นก้าวแรกตามแผนงาน 5 ปี จะช่วยหนุนยอดขายรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นทันทีประมาณ 15% และจะเสนอให้ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติในวันที่ 5 มกราคม ปีหน้า

ขณะที่มั่นใจกำไรปีนี้ทำสถิติสูงสุดใหม่ หรือนิวไฮและจะต่อเนื่องอีก 2-3 ปีข้างหน้า สำหรับงวด 9 เดือนมีรายได้รวม 2.8 หมื่นล้านบาท ลดลง 24 % จากช่วงเดียวกันปีก่อน มีกำไรสุทธิ 3.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 473 % เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทตั้งงบลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้าที่ 8.5 พันล้านบาท หรือปีละ 1.7 พันล้านบาท โดยเป็นงบลงทุนปกติปีละ 800 ล้านบาท ใช้สำหรับการขยายกำลังการผลิตโรงกลั่นยางมะตอยในประเทศมาเลเซีย เพิ่มเป็น 5 หมื่นบาร์เรลต่อวันในปี 2562 จาก 2.5 หมื่นบาร์เรลต่อวันในปัจจุบัน โดยใช้เงินลงทุนในการขยายกำลังการผลิต 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซื้อเรือเพิ่มอีก 2 ลำ ลำละ 15-20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และใช้ในการซื้อและควบรวมกิจการ(M&A) บริษัทยางมะตอยในเวียดนามและอินโดนีเซีย

สำหรับปี 2559 ตั้งเป้ายอดขายยางมะตอย 2.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 15% จากปีนี้ ปัจจัยหนุนจากการเข้าซื้อกิจการบริษัทขายยางมะตอยในเวียดนามและอินโดนีเซีย ที่จะช่วยให้ปริมาณการขายเข้ามาเพิ่มอีก 2.9 แสนตันต่อปี ซึ่งปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจะผลักดันให้รายได้เติบโต 10-15% และจะช่วยหนุนกำไรสุทธิปี 2559 ให้ทำนิวไฮต่อเนื่อง โดยบริษัทมีแผนเข้าไปรุกตลาดในอีก 2 ทวีป ได้แก่ ทวีปยุโรป และอเมริกา จากปัจจุบันขายอยู่ใน 3 ทวีป คือ เอเชียออสเตรเลีย และแอฟริกา

ส่วนมุมมองราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ช่วง 2-3 ปีข้างหน้า (ปี 2559-2561) TASCO คาดว่าจะอยู่ระดับไม่เกิน 60 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ซึ่งส่งผลดีต่อต้นทุนของบริษัท และความสามารถในการทำกำไร ประกอบความต้องการยางมะตอยในตลาดโลกยังมีอีกมาก โดยเฉพาะจีน อินเดีย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทใน 2-3 ปีข้างหน้ายังคงทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องทุกปี และมีอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี



ที่มา Data & Images -