ข่าว:

ห้ามโพสโฆษณา หาเงินทางเน็ต งาน Part-time MLM ทุกรูปแบบ ธุรกิจที่มี downline ปั่นลิก์ SEOเด็ดขาด หากพบจะแบนสมาชิกนั้นออกจากบอร์ดทันที

Main Menu

แห่ปิดแท่นขุดเจาะรับน้ำมันดิ่ง กรมเชื้อเพลิงฯ ห่วงกระทบสำรองก๊าซเหลือแค่ 5 ปี

เริ่มโดย mrtnews, มี.ค 04, 16, 06:28:26 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

mrtnews

หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- พฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2559 -  วิภาวดีรังสิต * จับตาแท่นขุดเจาะน้ำมันอ่าวไทย แห่ปิดรับน้ำมันโลกดิ่ง ล่าสุดบริษัท ซี อี ซี อินเตอร์เนชั่นแนล ปิดเพิ่มอีกแห่ง หลังหยุดมาแล้ว 2 แห่ง ด้านพลังงานชี้กระทบปริมาณสำรองคาดว่าเหลือก๊าซไว้ใช้เพียง 5 ปีเท่านั้น เผยคาดประชุมบอร์ด กพช.เดือน พ.ค.จะสรุปแนวทางบริหาร 2 แหล่งก๊าซ เอราวัณ-บงกช ที่จะหมดอายุในปี 2565-66


นายวีระศักดิ์ พึ่งรัศมี อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ตกต่ำลง ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตปิโตรเลียมในไทย ซึ่งล่าสุดบริษัท ซี อี ซี อินเตอร์เนชั่นแนล  (สาขาประเทศไทย) ผู้รับสัมปทานผลิตปิโตรเลียมแหล่งน้ำมันสงขลา ได้แจ้งหยุดการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 1 แท่น หลังจากที่ก่อนหน้าได้หยุดดำเนินการชั่วคราวไปแล้ว 2 แท่นผลิตจากทั้งหมด 5 แท่นที่มี

ทำให้กำลังการผลิตจาก แหล่งดังกล่าวลดลงเหลือ 6,000 บาร์เรล/วัน จากเดิมอยู่ที่ 12,000 บาร์เรล/วัน เนื่องจากแหล่งดังกล่าวใช้เรือเช่าทั้งหมด เมื่อผลิตแล้วขาดทุนก็จำเป็นต้องหยุดการผลิต

"ราคาน้ำมันที่ลดลงยังส่ง ผลกระทบกับการเจาะหลุมผลิตเพิ่มขึ้น ในปริมาณที่ลดลง ซึ่งจะกระทบต่อปริมาณสำรองปิ โตรเลียมในปี 2561 ลดต่ำลง ได้ และคาดว่าปริมาณสำรอง ก๊าซฯ ในอ่าวไทยจะใช้ได้ต่ออีกเพียง 5 ปีเท่านั้น" นายวีระศักดิ์กล่าว

นายวีระศักดิ์กล่าวถึงความคืบหน้าการเปิดสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบ 21 ว่าขณะนี้ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ถึงรูปแบบที่จะใช้ในแหล่งสัมปทาน โดยจะมีการกำหนดรูปแบบแต่ละแปลงอย่างชัดเจน ว่าแปลงใดเปิดใช้ระบบสัมปทาน หรือแปลงใดใช้ระบบแบ่งปันผลผลิต (PSC) และคาดว่าภายในปี 2559 นี้ จะประกาศเปิดสำรวจได้

ส่วนแผนบริหารจัดการแหล่งปิโตรเลียม 2 แหล่ง คือแหล่งเอราวัณ ที่มีบริษัท เชฟรอน ประเทศไทยสำรวจ และผลิต จำกัด เป็นผู้รับสัมปทาน และแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกช มี บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) เป็นผู้รับสัมปทาน ซึ่งจะครบอายุสัญญาในปี 2565-2566 คาดว่าภายในเดือน พ.ค.นี้ จะมีข้อสรุปว่าจะเลือกใช้รูปแบบใด จากนั้นจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และหารือกับผู้ประกอบการ เพื่อทำอย่างไรให้ยังคงรักษาระดับการผลิตต่อเนื่อง

"ทาง กพช. คงจะต้องให้นโยบายมาก่อนกรมจึงจะไปดำเนินงานในขั้นปฏิบัติได้ ซึ่งภายใต้กฎหมายที่มีการหารือก็จะมีระบบที่มาจัดการ 3 รูปแบบ คือระบบสัมปทาน แบ่งปันผลผลิต (PSC) และรับจ้างผลิต ซึ่งการเสนอก็จะมีการชี้ให้เห็นว่าแต่ละระบบมีข้อดี ข้อเสียอย่างไรเช่น PSC จะต้องมีการเจรจาให้ชัดเจนถึงผลประโยชน์ระหว่างรัฐกับเอกชนให้ชัดเจนก่อนที่จะลงทุน แต่ระบบสัมปทานจะเขียนกำหนดไว้เลยเอกชนจะตัดสินใจได้ง่ายกว่า เป็นต้น" นายวีระศักดิ์กล่าว

นายวีระศักดิ์กล่าวว่า การเปิดสำรวจ และผลิตปิโตรเลียมรอบที่ 21 ในช่วงที่ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ลดต่ำ เป็นช่วงที่เหมาะสม เนื่องจากค่าเช่าชุดขุดเจาะถูกลงค่อนข้างมาก จากเดิมที่เคยสูงถึง 1.2 แสนเหรียญสหรัฐต่อวันเหลือเพียง 6-7 หมื่นเหรียญฯ ต่อวัน  อย่างไรก็ตามการสำรวจและผลิตนั้นจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 4-5 ปี เมื่อถึงเวลานั้น เชื่อว่า ราคาน้ำมันตลาดโลกก็ได้เปลี่ยน แปลงไปแล้ว.



ที่มา Data & Images -




ชี้ชะตา 2 แหล่งก๊าซ

ลุ้น กพช. เคาะแนวทางบริหาร 2 แหล่งสัมปทานปิโตรเลียมหมดอายุเดือน พ.ค. 59 นี้ แหล่งสงขลาหยุดผลิต 3 แท่น


นายวีระศักดิ์ พึ่งรัศมี อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่า กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติกำลังจะเสนอแนวทางบริหารจัดการแปลงสัมปทานปิโตรเลียมที่จะหมดอายุสัญญาลงในปี 2565-2566 ได้แก่ แหล่งบงกช ของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) ซึ่งผลิตได้ถึง 320 ล้านลูกบาศก์ฟุต (ลบ.ฟุต)/วัน และแหล่งเอราวัณ ของบริษัท เชฟรอน ประเทศไทยสำรวจและผลิต ที่ผลิตก๊าซรวมกันได้ประมาณ 885 ล้าน ลบ.ฟุต/วัน ผลิตก๊าซธรรมชาติเหลวได้ 32,480 บาร์เรล/วัน ซึ่งต้องใช้หลุมผลิตกว่า 440 หลุม จากแท่นหลุมผลิต 32 แท่น ให้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาตัดสินใจในเดือน พ.ค. 2559

นายวีระศักดิ์ ชี้แจงว่า ในหลักการจะเสนอรูปแบบการบริหารแหล่งสัมปทานที่หมดอายุลงให้พิจารณาใน 3 รูปแบบ คือ 1.ระบบสัมปทาน 2.ระบบแบ่งปันผลผลิต (พีเอสซี) และ 3.ระบบจ้างผลิต

ทั้งนี้ การนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม กพช.เพื่อต้องการทราบนโยบายที่ชัดเจนในการเลือกแนวทางการบริหารแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมที่หมดอายุลง หลังจากนั้นกรมเชื้อเพลิงจึงจะไปดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อให้ทันกับระยะเวลาที่เหลืออยู่ ซึ่งอย่างน้อยจะต้องได้ข้อสรุปก่อน 5 ปี ที่สัมปทานจะหมดอายุลง เพื่อให้มีเวลาในการ เตรียมพร้อมสำหรับการลงทุน

"ขณะนี้ทางกรมเชื้อเพลิงฯ อยู่ระหว่างการศึกษาข้อดีข้อเสียของรูปแบบการบริหารทั้ง 3 แนวทาง ซึ่งหากเป็นระบบพีเอสซีจะต้องมีขั้นตอนการเจรจาเรื่องผลประโยชน์ที่รัฐจะได้รับเข้ามาเกี่ยวข้อง ก่อนที่จะกำหนดเป็นเงื่อนไข ขณะที่ระบบสัมปทาน ภาครัฐจะเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขให้เอกชนปฏิบัติตาม ส่วนระยะเวลานั้น ก็ต้องรอ นโยบายว่าจะให้เวลากี่ปีจึงจะเหมาะสม ซึ่งส่วนใหญ่จะกำหนดไว้ 10 ปี และเปิดให้ต่ออายุได้อีก หรือจะเปิดให้บริหารแหล่งปิโตรเลียมจนกว่าปริมาณสำรองจะหมด" นายวีระศักดิ์ กล่าว

นายวีระศักดิ์ กล่าวอีกว่า ผลจากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้ธุรกิจขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมได้รับผลกระทบแล้ว โดยขณะนี้ บริษัท ซีอีซี อินเตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด ผู้บริหารสัมปทานแหล่งสงขลา ได้หยุดการผลิตน้ำมันชั่วคราวไปแล้ว 2 แท่นผลิต จากทั้งหมด 5 แท่นผลิต และมีแผนที่จะหยุดเพิ่มอีก 1 แท่น ส่งผลให้กำลังการผลิตหายไปกว่า 2,000 บาร์เรล/วัน เหลือแค่ 6,000 บาร์เรล/วัน จากที่เคยมีกำลังผลิตสูงสุด 1.2 หมื่นบาร์เรล/วัน ทำให้ปริมาณสำรองลดลง โดยขณะนี้ประเมินว่าปริมาณสำรองก๊าซในอ่าวไทยจะใช้ได้ต่ออีกเพียง 5 ปีเท่านั้น

สำหรับแหล่งสงขลานั้น ในแต่ละปี ผู้ผลิตและสำรวจมีการจ่ายค่าภาคหลวงแร่ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกว่า 28 แห่ง ปีละประมาณ 250 ล้านบาท

นายวีระศักดิ์ กล่าวถึงแผนการบริหารจัดก๊าซธรรมชาติในระยะยาว ว่า มีอยู่ 4 แนวทาง คือ 1.การชะลอการเติบโตของความต้องการใช้ก๊าซให้สอดคล้องกับ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (พีดีพี 2015) 2.รักษาระดับการผลิตก๊าซเพื่อให้การผลิตก๊าซจากอ่าวไทยมีอายุการใช้งานนานขึ้น โดยมีแผนลดปริมาณการผลิตก๊าซจากแหล่งอ่าวไทย ที่ไม่ผ่าน โรงแยกก๊าซเพื่อส่งเสริมการใช้ก๊าซฯ อ่าวไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด และอีกส่วนจะมีการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) เข้ามาแทน

ทั้งนี้ ตามเป้าหมายในระยะ 5 ปีข้างหน้า จะลดก๊าซจากอ่าวไทยลง 300 ล้าน ลบ.ฟุต/วัน โดยจะเป็นก๊าซส่วนที่เรียกเกินจากสัญญาซื้อขายไว้ โดยจะเริ่มลดการใช้ก๊าซจากอ่าวไทย ปี 2560 ลง 60-80 ล้าน ลบ.ฟุต/วัน ซึ่งในระยะยาวอาจมีผลต่อค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (เอฟที) ประมาณ 3 สตางค์/หน่วย

ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) เสนอให้รัฐบาลปรับเปลี่ยนสัมปทาน 2 แหล่งที่หมดอายุลง มาใช้ระบบแบ่งปันผลผลิตโดยทำสัญญากับเจ้าเดิม 5 ปีหลังหมดสัมปทาน เพื่อให้รัฐสามารถส่งบริษัทพลังงานแห่งชาติที่เป็นของรัฐ 100% เข้าไปควบคุมดูแลในฐานะเจ้าของในระบบแบ่งปันผลผลิต



ที่มา Data & Images -