ข่าว:

ห้ามโพสโฆษณา หาเงินทางเน็ต งาน Part-time MLM ทุกรูปแบบ ธุรกิจที่มี downline ปั่นลิก์ SEOเด็ดขาด หากพบจะแบนสมาชิกนั้นออกจากบอร์ดทันที

Main Menu

จีนเผยความลับเปิดโฉม เรือดำน้ำ"พลังนิวเคลียร์" รุ่นเก่า เป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี

เริ่มโดย mrtnews, ต.ค 30, 13, 20:06:07 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

mrtnews

จีนเปิดเผยกองเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์รุ่นเก่า ครั้งแรกในรอบ 40 ปี เผยศักยภาพมาตรฐานยิงจรวดจากใต้ทะเลได้ ในพิธีซ้อมรบอย่างสุดคึกคัก โชว์ศักยภาพเขี้ยวเล็บด้านกองทัพเรือต่อนานาชาติ


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 56 ว่า ทางการจีนได้เปิดเผยโฉมกองเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์เป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี หลังจากได้ปกปิดศักยภาพดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมา เพื่อแสดงแสนยานุภาพทางทหารของประเทศที่กำลังขยายตัวแข็งแกร่งและเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น

โดยกองเรือดำน้ำดังกล่าวเป็นกองเรือดำน้ำรุ่นเก่ากว่ารุ่นปัจจุบัน จำนวน 5 ลำ ซึ่งสามารถยิงจรวดจากใต้ท้องทะเลได้  และสามารถใช้เป็นกองกำลังสนับสนุนและปกป้องผลประโยชน์ด้านท้องทะเลให้แก่ประเทศ รวมทั้งการอ้างกรรมสิทธิ์หมู่เกาะต่างๆ โดยในพิธีเปิดเผยโฉมดังกล่าว ยังมีเรือกองทัพ และเฮลิคอปเตอร์ และยังมีการฝึกการซ้อมรบ การต่อสู้เลียนสถานการณ์จริง และการฝึกรบอีกหลายประเภท

ทั้งนี้ การเปิดโฉมนี้มีขึ้นหลังจากสหรัฐได้แสดงความวิตกต่อการพัฒนาด้านการทหารของจีน โดยเมื่อช่วงต้นปี จีนได้ส่งกองเรือผ่านช่องแคบโซยุซ ซึ่งเป็นช่องแคบนานาชาติระหว่างญี่ปุ่นและรัสเซีย ประกอบด้วยเรือพิฆาต 3 ลำ และเรืออื่นๆ อีก 3 ลำ ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าว สื่อมวลชนรายงานว่า ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าเพราะเหตุใด กองเรือดำน้ำชุดนี้้จึงได้เดินทางผ่านเส้นทางพิเศษเฉพาะด้วย

ที่มา -




จีนประโคมข่าวกองเรือดำน้ำนิวเคลียร์ รมว.กลาโหมญี่ปุ่นอัดมังกร "ก่อกวนความสงบสุข"

เอเจนซีส์ – รัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่นตำหนิจีนในวันอังคาร (29 ต.ค. 56) ว่า ก่อกวนความสงบสุขในภูมิภาค จากการทะเลาะกับโตเกียวในเรื่องหมู่เกาะที่สองฝ่ายพิพาทกันอยู่ โดยที่ในวันเดียวกันนี้เอง ปักกิ่งได้เปิดตัวกองเรือดำน้ำนิวเคลียร์ที่สื่อแดนมังกรป่าวประกาศว่า เป็นความเคลื่อนไหวที่ไม่เคยกระทำกันมาก่อน แต่มีความจำเป็นเพื่อให้ชาติอื่นๆ ตระหนักถึงสมรรถนะในการโจมตีของจีน

   
ในการโอ่อวดแสนยานุภาพในทะเลหลวงของจีนอย่างเปิดเผย หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์หลายๆ ฉบับของทางการจีนเมื่อวันอังคาร พากันประโคมข่าวกองเรือดำน้ำที่มีอายุยาวนาน 40 ปีของแดนมังกร ขณะที่สถานีโทรทัศน์ส่วนกลาง ซีซีทีวี ของรัฐบาล ก็ได้แพร่ภาพการฝึกซ้อมของกองเรือนี้ซ้ำหลายรอบในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
   
บทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์โกลบัล ไทมส์ ระบุว่า เรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ลำแรกของจีนถูกปล่อยลงน้ำตั้งแต่ปี 1970 ทว่าชาติอื่นๆ ดูเหมือนกับไม่ให้ความสำคัญ
   
โกลบัล ไทมส์ ซึ่งอยู่ในเครือของเหรินหมินรึเป้า กระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน มักมีน้ำเสียงในทางชาตินิยมจัด และในบทบรรณาธิการคราวนี้ก็เขียนบอกว่า จีนนั้นทรงอำนาจยิ่งจึง "กำลังครอบครองสมรรถนะการโจมตีตอบโต้ทางนิวเคลียร์ที่เชื่อถือได้" พร้อมกับกล่าวต่อไปว่า "บางประเทศไม่ได้นำเรื่องนี้มาพิจารณาอย่างจริงจังในเวลาที่พวกเขากำหนดนโยบายว่าด้วยจีนของพวกเขา ดังนั้น จึงกำลังทำให้มติมหาชนแสดงท่าทีที่ดูเบาจีน"
   
"จีนจำเป็นต้องประกาศอย่างชัดเจนว่า ทางเลือกเดียวที่มีอยู่ก็คือ อย่าท้าทายผลประโยชน์แกนหลักของจีน" โกลบัล ไทมส์ ระบุและย้ำว่า การพัฒนากองนาวีพลังนิวเคลียร์ของแดนมังกรเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายนี้

   
ทางด้านนักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่า การเสนอข่าวเช่นนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะเตือนชาติอื่นๆ ว่า จีนซึ่งกำลังใช้จ่ายด้านการทหารมากที่สุดอันดับ 2 ของโลก มีความมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ และกำลังสร้างกองเรือทรงอานุภาพมากขึ้นที่พรั่งพร้อมด้วยศักยภาพนิวเคลียร์
   
ข่าวประชาสัมพันธ์กองเรือดำน้ำนิวเคลียร์ครั้งนี้มีขึ้นขณะที่ความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่นสั่นคลอนอย่างมาก จากสงครามวาจาเกี่ยวกับหมู่เกาะที่เป็นข้อพิพาทซึ่งญี่ปุ่นควบคุมอยู่และใช้ชื่อว่าเซงกากุ แต่จีนอ้างสิทธิ์เช่นเดียวกันและเรียกขานว่าเตี้ยวอี๋ว์

ทั้งนี้ ในวันอังคาร อิสึโนริ โอโนเดระ รัฐมนตรีกลาโหมแดนอาทิตย์อุทัยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวในโตเกียวว่า จีนกำลังทำตัวเป็นอันตรายต่อสันติภาพจากการทะเลาะกับญี่ปุ่นในเรื่องหมู่เกาะที่พิพาทกันนี้ พร้อมกับระบุว่า "การรุกล้ำ"น่านน้ำรอบหมู่เกาะเซงกากุของจีนเข้าข่าย "ก้ำกึ่ง" ระหว่างช่วงเวลาแห่งสันติภาพกับช่วงเวลาแห่งสถานการณ์ฉุกเฉิน
   
ในวันเดียวกันนั้นเอง สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า กองทัพเรือจีนได้ส่งเรือฟรีเกตจำนวน 2 ลำไปแล่นระหว่างเกาะ 2 เกาะของหมู่เกาะโอกินาวา โดยที่อยู่นอกเขตน่านน้ำอาณาเขตของญี่ปุ่นนิดเดียว
   
เกียวโดซึ่งอ้างกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นระบุว่า เรือรบแดนมังกรทั้ง 2 ลำแล่นอยู่ในบริเวณนั้นราว 4 ชั่วโมง โดยมีอยู่ช่วงหนึ่งทำท่าเหมือนจะบ่ายหน้าไปยังหมู่เกาะเซงกากุ/เตี้ยวอี๋ว์ แต่แล้วก็เปลี่ยนเส้นทางเดินเรือ
   
ก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ (28 ต.ค. 56) กองกำลังรักษาชายฝั่งของจีนก็ได้ส่งเรือยามฝั่ง 4 ลำไปยังบริเวณรอบหมู่เกาะที่เป็นข้อพิพาทราว 2 ชั่วโมง โดยมีเรือยามฝั่งของญี่ปุ่นสังเกตการณ์อยู่ไม่ห่าง
   
เหตุการณ์ทางทะเลเหล่านี้มีขึ้นหลังจากที่โตเกียวส่งฝูงเครื่องบินขับไล่ขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อประจันกับเครื่องบินเตือนภัย 2 ลำและเครื่องบินทิ้งระเบิดอีก 2 ลำของจีน ซึ่งออกมาบินเหนือมหาสมุทรแปซิฟิกใกล้ๆ กับหมู่เกาะโอกินาวาเป็นเวลา 3 วันติดต่อกันจนกระทั่งถึงวันจันทร์ (28 ต.ค. 56)
   
ถึงแม้เครื่องบินทหารของจีนไม่ได้รุกล้ำน่านฟ้าญี่ปุ่น แต่โอโนเดระระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ "ผิดปกติมาก"
"เราเข้าใจว่า นี่เป็นหนึ่งในแนวโน้มที่แสดงให้เห็นว่า จีนกำลังขยายขอบเขตกิจกรรม (ทางทหาร) ของตนอย่างแข็งขัน ซึ่งรวมถึง (การเพิ่มกิจกรรม) ในมหาสมุทรเปิดด้วย"
   
สัปดาห์ที่แล้ว มีรายงานว่านายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะของญี่ปุ่น ยังเปิดไฟเขียวให้ยิงอากาศยานไร้นักบิน (โดรน) ที่เพิกเฉยต่อการเตือนให้ออกจากน่านฟ้าญี่ปุ่น หลังจากมีรายงานว่า โดรนลำหนึ่งมุ่งหน้าไปทางใต้ของแดนอาทิตย์อุทัย ซึ่งผู้วางนโยบายในญี่ปุ่นต่างเชื่อว่า เป็นโดรนของจีน
   
ต่อมาในวันเสาร์ (26 ต.ค. 56) กระทรวงกลาโหมจีนออกมาตอบโต้ทันควันว่า หากญี่ปุ่นยิงเครื่องบินของจีนจะถือเป็นการยั่วยุและก่อสงคราม และปักกิ่งจะตอบโต้อย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน
   
ผู้สังเกตการณ์ต่างเตือนว่า การส่งเครื่องบินและเรือไปยังบริเวณที่มีข้อพิพาทบ่อยครั้งเพิ่มความเสี่ยงในการเผชิญหน้า และความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ อาจลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งใหญ่โตได้
   
อากิระ คาโตะ ศาสตราจารย์ด้านการทหารและความมั่นคง มหาวิทยาลัยโอบิรินในโตเกียวขานรับว่า สถานการณ์มีแนวโน้มตึงเครียดมากขึ้น ในสภาพที่ไม่มีการติดต่อสื่อสารกันในทางการทูต ทั้งนี้จีนนั้นไม่มีทีท่าจะผ่อนปรนจุดยืนของตน ขณะที่ญี่ปุ่นก็หวังพึ่งข้อตกลงความมั่นคงที่ระบุว่า อเมริกาต้องเข้ามาช่วยเหลือหากญี่ปุ่นถูกโจมตี และนี่อาจจะเป็นบททดสอบความเป็นพันธมิตรของสองชาตินี้
   
ในสัปดาห์ที่แล้ว ญี่ปุ่นแถลงข่าวว่ากำลังวางแผนจัดการซ้อมรบครั้งมโหฬาร ที่เกาะร้างแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากหมู่เกาะเซงกากุ/เตี้ยวอี๋ว์หลายร้อยกิโลเมตร โดยจะเริ่มขึ้นในวันศุกร์ (1 พ.ย. 56) ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะเพิ่มทักษะของกำลังทหาร 34,000 คนที่เข้าร่วม ทั้งในการป้องกันและในการบุกชิงคืนดินแดนห่างไกลซึ่งถูกข้าศึกยึดไป

ที่มา -