ข่าว:

ห้ามโพสโฆษณา อาหาร ยา และเครื่องสำอางค์ รวมถึงสมุนไพรทุกชนิด ไม่ว่าจะมี อย. หรือไม่  เด็ดขาด หากพบจะแบนสมาชิกนั้นออกจากบอร์ดทันที

Main Menu

กระทรวงคมนาคมตั้งเป้าไทยเป็นศูนย์กลางขนส่งสินค้าทางเรือภายใน 10 ปี

เริ่มโดย mrtnews, พ.ค 08, 15, 06:42:25 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

mrtnews

กระทรวงคมนาคมตั้งเป้าไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางเรือภายใน 10 ปี พร้อมพัฒนาการขนส่งสินค้าทางรางเชื่อมต่อท่าเรือแหลมฉบังเข้าสู่กรุงเทพมหานคร


พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางในการขนส่งสินค้าทางเรือของอินโดจีน ภายใน 9-10 ปี โดยจะต้องพัฒนาระบบการให้บริการให้ทันสมัย สะดวก และปลอดภัย ซึ่งในระยะเร่งด่วนจะเดินหน้าโครงการขนส่งสินค้าทางรางจากท่าเรือแหลมฉบังเข้าสู่กรุงเทพมหานคร ใช้งบประมาณ 2,500 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2560 ก่อนจะขยายโครงการสู่ท่าเรือเชียงแสน ท่าเรือเชียงของ และท่าเรือระนองต่อไป

ขณะที่การท่าเรือแห่งประเทศไทย จะเร่งโครงการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับตู้ขนส่งสินค้าได้อีกกว่า 8-10 ล้านตู้ จากปัจจุบันอยู่ที่ ประมาณ 11 ล้านตู้ โดยจะใช้งบประมาณก่อสร้างกว่า 35,000 ล้านบาท และอีก 50,000 ล้านบาท ในการบริหารจัดการพื้นที่ โดยเตรียมเสนอโครงการเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ปลายเดือนมิถุนายนนี้ พร้อมทั้งได้เตรียมก่อสร้างศูนย์ one stop service บริเวณท่าเรือกรุงเทพ ภายในปีหน้า ช่วยลดขั้นตอนด้านศุลกากร จากเดิมใช้เวลา 1 วัน เหลือเพียง 3 ชั่วโมง

ที่มา -




กทท. ตั้งเป้าเป็นฮับอินโดจีนใน 10 ปี เน้นพัฒนาท่าเรือรองรับปริมาณสินค้า-ผู้โดยสาร

พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม กล่าวหลังตรวจเยี่ยมท่าเรือกรุงเทพ(คลองเตย) ว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย(กทท.) จำเป็นต้องพัฒนาขีดความสามารถในทุกด้านเพื่อรองรับการขนส่งสินค้าให้ได้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งมองไปถึงการรองรับด้านขนส่งผู้โดยสารและด้านการท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบัน กทท.ดูแลบริหารท่าเรือ 5 แห่ง โดยมีท่าเรือแหลมฉบัง(ทลฉ.) เป็นท่าเรือหลัก มีปริมาณสินค้าอยู่ในอันดับต้นๆ ของเอเชีย และอยู่ในอันดับที่ 23 ของโลก ดังนั้นจึงได้มีการตั้งเป้าหมายให้ ทลฉ.เป็นศูนย์กลางอาเซียนหรือฮับอินโดจีนแหลมทองภายใน 5-10 ปี


โดยตั้งแต่ปี 59 จะเริ่มพัฒนาศักยภาพ ทั้งการรองรับเรือที่มีขนาดต่างๆและใหญ่ขึ้นเพื่อรับปริมาณตู้สินค้ามากขึ้น พัฒนาระบบไอทีให้ทันสมัย บริการสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง ปลอดภัย ขณะเดียวกันต้องพัฒนาท่าเรือสาขาใกล้เคียง เช่น ท่าเรือกรุงเทพ,มาบตาพุด, ระนอง ส่วนท่าเรือปากบาราจะช่วยเพิ่มความเข้มแข็งเป็นโครงข่าย จ.สตูล ซึ่งในเดือน พ.ค.นี้ กรมเจ้าท่า(จท.) จะลงพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชน โดยได้รับงบทำการศึกษา 50 ล้านบาท แล้วเสร็จภายในเวลา 6 เดือน

สำหรับท่าเรือภูมิภาคนั้น ท่าเรือระนองมีการเติบโตมากขึ้น และเป็นท่าเรือสำคัญในการเชื่อมสู่พม่าและอินเดีย, ท่าเรือเชียงแสนมีการเติบโตที่ดีเช่นกัน แต่ท่าเรือเชียงของมีตู้สินค้าลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบหลังเปิดใช้สะพานเชียงของ ซึ่ง กทท.จะต้องปรับปรุงการให้บริการเพื่อเพิ่มทางเลือกในการขนส่งสินค้าทางน้ำระหว่างไทย-ลาว

ทั้งนี้ กทท.จะต้องเร่งรัดการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3, โครงการศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่แหลมฉบัง(SRTO) วงเงินลงทุน 2,500 ล้านบาท จะเริ่มดำเนินการในปลายปี 59, ศึกษาแผนงานเพื่อเปิดให้เอกชนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน บริหารจัดการขนส่งทางเรือ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนหลายหมื่นล้านบาท โดยจะศึกษาจบภายใน 1 เดือน และเสนอกระทรวงคมนาคมเพื่อเสนอคณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ(คนร.) ในเดือน ก.ค.นี้

ด้าน พล.ร.อ.อภิวัฒน์ ศรีวรรธนะ ประธานบอร์ด กทท.กล่าวว่า วิสัยทัศน์ของ กทท.คือเป็นฮับอินโดจีนใน 10 ปี ซึ่งจะต้องมีความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) ให้มากขึ้น พร้อมกันนี้จะต้องเร่งพัฒนาด้านบุคลากรเพื่อรองรับการเติบโต ทั้งนี้จะเร่งการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 โดยจะสรุปผลการศึกษาและผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเดือน มิ.ย.นี้จากนั้นจะเสนอไปที่กระทรวงคมนาคม และ คนร.พิจารณา โดย ทลฉ.เฟส 3 จะใช้เงินลงทุนประมาณ 85,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานประมาณ 35,000 ล้านบาท และระบบการให้บริการที่จะเปิดให้เอกชนเข้ามาลงทุนอีกประมาณ 50,000 ล้านบาท ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 8 ปี ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้าเพิ่มขึ้นอีก 8-10 ล้านทีอียูต่อปี จากปัจจุบันที่เฟส 1 และเฟส 2 มีขีดความสามารถรองรับตู้สินค้าได้ 11 ล้านทีอียูต่อปี

ส่วนท่าเรือเชียงของนั้นมีปริมาณตู้สินค้าลดลงมากเนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่ใช้รถยนต์ขนส่งข้ามสะพานเชียงของแทน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาเพื่อฟื้นฟูให้มีสินค้ามาใช้มากขึ้น และหากไม่ดีขึ้นอาจจะเสนอปรับการให้บริการจากท่าเรือขนส่งสินค้าเป็นท่าเรือท่องเที่ยว โดยจะเสนอขอปรับบทบาทวัตถุประสงค์ของท่าเรือจากขนส่งสินค้าเป็นผู้โดยสาร ส่วนท่าเรือกรุงเทพนั้นจะมีการพัฒนาการให้บริการโดยก่อสร้างเป็นอาคารใหม่บริษัท เพื่อให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ(One Stop Service) ทั้งการออกสินค้าการชำระค่าบริการและบริการของศุลกากรซึ่งจะลดระยะเวลาในการติดต่อของผู้ใช้บริการจากปัจจุบัน 1 วัน เหลือเพียง 3 ชั่วโมง โดยจะดำเนินการบนพื้นที่ 11 ไร่อยู่ในเขตรั้วท่าเรือ โดยอยู่ระหว่างศึกษาออกแบบวงเงิน 30 ล้านบาท คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 60

สำหรับผลประกอบ กทท.ในปี 2558 คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 13,800 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 5,300 ล้านบาท สูงกว่าปี 2557 ที่มีกำไรสุทธิ 5,171 ล้านบาทโดยในช่วง 2 ไตรมาส(ต.ค.57-มี.ค.58) มีกำไรสุทธิประมาณ 2,600 ล้านบาท โดยปริมาณตู้สินค้าท่าเรือกรุงเทพเพิ่มขึ้น 2% ท่าเรือแหลมฉบังเพิ่มขึ้น 4%

ที่มา -


..