ข่าว:

รับสมัครเฉพาะชาวเรือและผู้ที่สนใจที่เป็นคนไทยเท่านั้น สมัครแล้วรออนุมัติประมาณ 2-3 วัน หากต้องการด่วนโปรดแจ้ง webmaster@marinerthai.net

Main Menu

รัสเซียคว้าสิทธิ์สร้างแท่นขุดเจาะน้ำมันเพิ่มในอิหร่าน รองรับยอดสั่งซื้อถาโถม

เริ่มโดย mrtnews, พ.ค 30, 16, 06:21:03 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

mrtnews

 เอเจนซีส์ / MGR online – บริษัทพลังงานสัญชาติรัสเซีย "คราสน์เย บาร์ริกาดี" แถลงในวันพฤหัสบดี (26 พ.ค. 59) ยืนยันเป็นผู้ได้สิทธิจากรัฐบาลอิหร่าน ในการสร้างแท่นขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่งของสาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้อีก 5 แห่ง


รายงานข่าวระบุว่า ทางผู้บริหารของคราสน์เย บาร์ริกาดี ซึ่งได้รับการหนุนหลังจากรัฐบาลรัสเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ได้ใช้ความพยายามนานกว่า 2 ปีในการเจรจากับทางการอิหร่าน เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการก่อสร้างแท่นขุดเจาะน้ำมันเพิ่มเติมอีก 5 แห่ง ในน่านน้ำอ่าวเปอร์เซีย โดยที่ทางบริษัทและรัฐบาลแดนหมีขาวจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการก่อสร้าง แลกกับสิทธิประโยชน์ด้านน้ำมันซึ่งไม่มีการเปิดเผย ที่อิหร่านจะมอบให้แก่ฝ่ายรัสเซียเป็นการตอบแทน

สื่อในอิหร่านรายงานว่า แม้ฝ่ายรัสเซียจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ในการก่อสร้างแท่นขุดเจาะน้ำมันล็อตนี้ แต่การประกอบแท่นจะดำเนินการในอิหร่านโดยบริษัทภายในประเทศ ทั้งนี้เพื่อเป็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีในด้านนี้แก่บรรดาวิศวกรของสาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้

ด้านอเล็กซานเดอร์ อิลยิเชฟ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของคราสน์เย บาร์ริกาดีออกมาเปิดเผยว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันทั้ง 5 แห่งใหม่นี้ จะเป็นประโยชน์โดยตรงสำหรับรองรับกำลังการผลิตน้ำมันและคำสั่งซื้อน้ำมันจากนานาชาติ ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่อิหร่านหลุดพ้นจากมาตรการคว่ำบาตรเรื่องนิวเคลียร์

ทั้งนี้ ข้อมูลระบุว่า เวลานี้ อิหร่านสามารถผลิตน้ำมันได้ทั้งสิ้น 3.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งในจำนวนนี้มากกว่า 2 ล้านบาร์เรล เป็นการผลิตเพื่อส่งออกตามคำสั่งซื้อของต่างประเทศ

อิหร่านและมหาอำนาจทั้ง 6 ชาติ(กลุ่ม P5+1)ซึ่งประกอบไปด้วย 5 ชาติ "สมาชิกถาวร" ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน บวกกับอีก 1 ประเทศมหาอำนาจจากฝั่งยุโรปอย่างเยอรมนี สามารถบรรลุความตกลงประวัติศาสตร์ทางด้านนิวเคลียร์กันได้เมื่อ 14 ก.ค.ปีที่แล้ว ถือเป็นการปิดฉากการเจรจาแบบมาราธอนที่ใช้เวลายาวนานกว่า 1 ทศวรรษ และถือเป็นข้อตกลงซึ่งพลิกโฉมการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลางครั้งใหญ่

หลังการบรรลุข้อตกลงดังกล่าว ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ออกมาแถลงยกย่องว่านี่ถือเป็นก้าวย่างสำคัญไปสู่"โลกแห่งความหวังที่เพิ่มสูงขึ้น" และตอกย้ำในเวลาต่อมาว่าข้อตกลงประวัติศาสตร์นี้ ถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางอาวุธนิวเคลียร์และช่วยลดทอนความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง

ขณะที่ประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี ผู้นำสายกลางของอิหร่าน ออกแถลงว่าความสำเร็จในการบรรลุข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ครั้งนี้ ถือเป็นข้อพิสูจน์ว่า การมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ได้ผลดียิ่ง และว่าหากการเผชิญหน้ากันอย่างศัตรูระหว่างวอชิงตันและเตหะรานยังดำเนินอยู่ต่อไปก็คงไม่มีความเป็นไปได้แม้แต่น้อยที่ข้อตกลงเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิสราเอลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮูประกาศว่าจะเดินหน้าทำทุกวิถีทาง เพื่อหาทางทำลายล้างข้อตกลงอัปยศฉบับนี้ ซึ่งทางฝ่ายอิสราเอลมองว่าเป็น "การยอมจำนนครั้งประวัติศาสตร์" ของสหรัฐฯ และโลกตะวันตก ให้กับชาติที่ชั่วร้ายอย่างอิหร่าน

ภายใต้ข้อตกลงนี้ มาตรการลงโทษ คว่ำบาตรอิหร่านทั้งหลายทั้งปวงของสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป (อียู) และสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่บังคับใช้มาอย่างต่อเนื่องยาวนานได้ถูกยกเลิกเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่รัฐบาลเตหะรานยอมตกลงตัดทอนโครงการนิวเคลียร์ของตน ซึ่งสหรัฐฯ และโลกตะวันตกสงสัยมาโดยตลอดว่ามีเป้าหมายในการสร้าง "ระเบิดนิวเคลียร์" ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เตหะรานยืนกรานปฏิเสธ

นักวิเคราะห์มองว่า การบรรลุข้อตกลงประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญยิ่ง ทั้งสำหรับบารัค โอบามา และฮัสซัน รูฮานี และยังถือเป็นผลดี ต่อการลดทอนความตึงเครียดในเวทีการเมืองระหว่างประเทศที่มีมายาวนาน ถึงแม้ว่าผู้นำทั้งสอง ต่างต้องเผชิญหน้ากับแรงต่อต้านอย่างหนักหน่วง จากบรรดา "นักการเมืองสายเหยี่ยว" ภายในประเทศของตนเอง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่นักการเมืองจำนวนมาก ยังคงมองอิหร่านเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่เป็น "แกนอักษะแห่งปีศาจ"


ด้านสำนักข่าวไออาร์เอ็นเอของทางการอิหร่านรายงานว่า ผลของข้อตกลงนี้จะทำให้อิหร่านได้รับเงินนับหมื่นล้านดอลลาร์ที่ถูกอายัดไว้กลับคืนมา ขณะที่บรรดามาตรการคว่ำที่มีต่อธนาคารกลาง บริษัทน้ำมันแห่งชาติ บริษัทชิปปิ้ง และสายการบินของอิหร่านได้ถูกยกเลิก ถึงแม้มาตรการขององค์การสหประชาชาติในเรื่องการคว่ำบาตรห้ามซื้อขายอาวุธกับอิหร่าน จะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปอีก 5 ปี และห้ามอิหร่านจัดซื้อเทคโนโลยีด้านขีปนาวุธอีกนาน 8 ปี

ว่ากันว่าผลประโยชน์ที่อิหร่านจะได้รับจากข้อตกลงนี้ อาจสร้างความกังวลต่อชาติพันธมิตรอาหรับของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในกรณีของซาอุดีอาระเบีย ประเทศที่ปกครองโดยมุสลิมนิกายสุหนี่ ที่เชื่อว่าอิหร่านซึ่งเปรียบเหมือนผู้นำของฝ่ายมุสลิมนิกายชีอะห์ ให้การสนับสนุนต่อศัตรูของตนทั้งในสมรภูมิที่ซีเรีย เยเมน และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค

อย่างไรก็ดี รัฐบาลอเมริกันในเวลานี้ มองเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิหร่าน ที่มี "ศัตรูร่วมกัน" คือ กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ที่กำลังยึดครองพื้นที่กว้างขวางทั้งในอิรักและซีเรียอยู่ในเวลานี้ และถือเป็น "ภัยคุกคามใหญ่หลวง" ต่อสันติภาพของโลก

ในอีกด้านหนึ่งการยุติมาตรการคว่ำบาตรทั้งปวง จะช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจอิหร่านเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสามารถกลับเข้าสู่ "ตลาดน้ำมัน" ได้อีกครั้ง แม้ในความเป็นจริงแล้ว กว่าที่น้ำมันจากอิหร่านจะกลับเข้าไปซื้อขายในตลาดโลกได้อย่างเต็มรูปแบบนั้น อาจต้องรอถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2016 นี้ก็ตาม



ที่มา Data & Images -