ข่าว:

ห้ามโพสโฆษณา หาเงินทางเน็ต งาน Part-time MLM ทุกรูปแบบ ธุรกิจที่มี downline ปั่นลิก์ SEOเด็ดขาด หากพบจะแบนสมาชิกนั้นออกจากบอร์ดทันที

Main Menu

รมช.คมนาคม ชี้ไทยต้องเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมพาณิชยนาวี หนีปัญหาขนส่งทางน้ำ

เริ่มโดย mrtnews, มี.ค 22, 17, 06:31:41 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

mrtnews

ศูนย์ข่าวศรีราชา - รมช.คมนาคม ลงพื้นที่ตรวจความพร้อมการพัฒนาอุตสาหกรรมพาณิชยนาวีของไทย ชี้หากไม่เร่งเดินหน้า อนาคตอาจประสบปัญหาความยากลำบากในการขนส่งสินค้าทางน้ำ ล่าสุด นำคณะเดินทางโดยเรือ จากท่าเรือคลองเตย-ท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อดูปัญหา และอุปสรรคในการขนส่งสินค้า ส่วนความคืบหน้าโครงการ SRTO แหลมฉบัง-ICD ลาดกระบัง ใกล้เสร็จ ด้าน ผอ.ทลฉ.ชี้หากโครงการแล้วเสร็จจะเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งสินค้าทางรางจากเดิม 4.7 แสนทีอียูต่อปี เป็น 7 แสนทีอียูต่อปี


วันนี้ (20 มี.ค. 60) นายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมคณะ ได้เดินทางลงพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ตามโครงการดูงานการเดินเรือพาณิชย์ของไทย เส้นทางท่าเรือคลองเตย-ท่าเรือแหลมฉบัง บนเรือ GANTA BHUM V315S/316 และตรวจราชการโครงการ SRTO แหลมฉบัง-ICD ลาดกระบัง

โดยมี ร.ต.ต.มนตรี ฤกษ์จำเนียร ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง พร้อมคณะผู้บริหารให้การต้อนรับพร้อมนำรับฟังบรรยายสรุปภาพรวมกิจการพาณิชยนาวีของไทย โดยสมาคมเจ้าของเรือไทย และเข้าเยี่ยมชมระบบการจราจรทางน้ำ และรับฟังบรรยายสรุปกิจการของบริษัท ทีไอพีเอส จำกัด ณ ท่าเทียบเรือ B ก่อนลงพื้นที่ตรวจโครงการ SRTO และการใช้พื้นที่บริเวณท่าเรือแหลมฉบังโดยรถไฟ เพื่อตรวจสภาพรถไฟรางคู่ตลอดเส้นทาง จนถึง ICDลาดกระบัง ในการติดตามการแก้ไขปัญหาการจราจรภายใน ICD

นายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เผยว่า การเดินทางลงพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง ทางเรือเพื่อต้องการรับฟังปัญหาของภาคเอกชนในส่วนที่เกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมพาณิชยนาวี ซึ่งในช่วงเช้าได้ออกเดินทางโดยเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ จากท่าเรือคลองเตย ล่องตามแม่น้ำเจ้าพระยา มายังท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อดูความยากลำบากของการขนส่งสินค้าทั้งขาเข้า และออกจากท่าเรือครองเตย สู่ทะเลเปิด ก่อนรับฟังปัญหาด้านการขนส่งสินค้าทางรางจากท่าเรือแหลมฉบัง

หลังพบว่ามีความล่าช้าในการดำเนินการโครงการ SRTO เพื่อหาแนวทางในการเร่งรัดโครงการว่าจะแล้วเสร็จได้รวดเร็วเพียงใด เพื่อให้การขนส่งสินค้าดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ป้องกันปัญหาสินค้าตกค้างอยู่ที่ ICD ลาดกระบัง และท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อนำปัญหากลับไปแก้ไข

โดยปัญหาหลักที่เกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมพาณิชยนาวีของไทย คือ การได้รับสนับสนุนจากรัฐบาลค่อนข้างน้อย ทั้งที่การขนส่งสินค้าทางน้ำถือว่ามีต้นทุนถูกที่สุดเฉลี่ยที่ 65 สตางค์ต่อตันต่อกิโลเมตร และเมื่อเทียบกับการขนส่งทางถนนที่มีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ประมาณ 2.62 สตางค์ต่อตันต่อกิโลเมตร ถือว่าต่างกันมาก และหากประเทศไทยสามารถพัฒนาการขนส่งสินค้าทางน้ำได้สำเร็จก็จะช่วยประหยัดค่าขนส่ง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศได้มาก

"การพัฒนาอุตสาหกรรมพาณิชยนาวีในประเทศไทย มีความจำเป็นที่ต้องได้รับการสนับสนุนทั้งในแง่ของการพัฒนาท่าเรือ วิธีการเดินเรือ อู่ซ่อมเรือ และบุคลากรด้านพาณิชยนาวี ซึ่งหากเราสามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และบุคลากรได้อย่างต่อเนื่องก็จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ประเทศได้ เนื่องจากอุตสาหกรรมพาณิชยนาวี มีความหมายถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เพราะหากไทยไม่มีกองเรือของตัวเอง เมื่อเกิดปัญหาด้านการส่งออกและนำเข้าก็จะต้องพึ่งพิงต่างชาติอยู่ตลอดเวลา" รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าว


ขณะที่ ร.ต.ต.มนตรี ฤกษ์จำเนียร ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง เผยว่า ท่าเรือแหลมฉบัง มีความพร้อมในการพัฒนาอุตสาหกรรมพาณิชยนาวี เนื่องจากมีความพร้อมทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบรถไฟ การขนส่งทางถนน และทางน้ำที่สามารถเชื่อมโยงเป็นเครือข่าย ที่จะสามารถรองรับสินค้าที่ขนส่งมาจากแม่น้ำสายต่างๆ ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา ป่าสัก แม่น้ำแม่กลอง หรือแม่น้ำบางปะกง เข้าเทียบท่ายังท่าเรือแหลมฉบัง

ในขณะเดียวกัน ท่าเรือแหลมฉบัง ก็มีสินค้าที่วิ่งขนส่งมาจากท่าเทียบเรือทางภาคใต้เข้ามาขนถ่ายยังท่าฯ ซึ่งถือว่ามีเครือข่ายที่สมบูรณ์ โดยท่าเรือแหลมฉบัง ยังมีแผนที่จะให้ความร่วมมือกับหน่วยงานราชการที่เปิด ICD ในพื้นที่ต่างๆ เพื่อดึงสินค้าให้เข้ามาใช้ระบบการขนส่งสินค้าทางราง เพื่อลดปัญหาความแออัดบนท้องถนนอีกด้วย

"เรามีความพร้อมในการสนับสนุนทั้งระบบโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาอุตสาหกรรมพาณิชยนาวีของประเทศ ทั้งในส่วนโครงการของรัฐบาล เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง หรือโครงการ EEC ซึ่งเรามีเครือข่ายการขนส่งไม่ว่าจะเป็นสายการเดินเรือ รวมทั้งบุคลากรผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์กว่า 30 ปี จึงทำให้สายการเดินเรือมั่นใจ และเชื่อมั่นในการดำเนินการของท่าเรือแหลมฉบัง ทำให้ในปัจจุบัน ท่าเรือแหลมฉบัง มีตู้สินค้าขนถ่ายผ่านท่าสูงถึง 7.2 ล้านทีอียูต่อปี และหากโครงการ SRTO แล้วเสร็จจะเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งตู้สินค้าทางรางที่เคยได้ 4.7 แสนทีอียูต่อปี เป็นเกือบ 7 แสนทีอียูต่อปี ในห้วงปีแรกของการเปิดดำเนินการ และภายในระยะเวลา 4 ปี จะมีตู้สินค้าขนถ่ายโดยระบบรางสูงถึง 1 ล้านทีอียู โดยเชื่อว่าโครงการ SRTO จะแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายนนี้อย่างแน่นอน" ร.ต.ต.มนตรี กล่าว



ที่มา Data & Images -




ศูนย์ขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟแหลมฉบับคืบ 49.18%

รัฐมนตรีช่วยฯคมนาคม เผย โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟท่าเทียบเรือแหลมฉบัง คืบหน้าร้อยละ 49.18 ยัน เปิดใช้ปลายปีนี้


นายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลัง ลงพื้นที่ตรวจเยื่ยมโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ณ ท่าเทียบเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ว่า สำหรับโครงการดังกล่าวใช้งบประมาณในการลงทุน 2,944.93 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้า ด้านงานก่อสร้างกว่าร้อยละ 49.18 ถือว่าเป็นไปตามแผนงานที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้วางไว้ โดยยืนยันว่าการท่าเรือฯจะก่อสร้างและเปิดใช้งานในช่วงปลายปีนี้ ทั้งนี้ หากดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ จะส่งผลให้การขนส่งตู้สินค้าเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านทียู ในอีก 4 ปี และจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต

ขณะเดียวกัน ได้มีการรับฟังถึงปัญหาจากภาคเอกชนด้านการขนส่งทางน้ำ เช่น ความแออัดด้านการจราจรทางน้ำบางช่วง อีกทั้งด้านการพัฒนาพาณิชย์นาวี ทางภาครัฐมีการให้ความสำคัญค่อนข้างน้อย โดยการขนส่งทางน้ำมีต้นทุนน้อยกว่าการขนส่งทางถนน ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องพัฒนาการเดินเรือ ท่าเรือ และศูนย์ซ่อมบำรุง รวมถึงบุคคลากร หากมีการพัฒนาและยกระดับจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ขึ้นกับระบบการบริหารงานด้านต่างชาติมากเกินไป

ด้าน ร.ต.ต.มนตรี ฤกษ์จำเนียร ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง กล่าวว่า โครงการพัฒนาศูนย์กลางขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ได้ดำเนินโครงการ เพื่อใช้ในการยกขนและเคลื่อนย้ายตู้สินค้าจากท่าเทียบเรือไปยังรถไฟภายในท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อขนส่งไปยังศูนย์กระจายสินค้าที่ลาดกระบัง หรือ ICD เพิ่มความสะดวกในการขนถ่ายสินค้า ลดระยะเวลาขั้นตอนการทำงาน จากเดิมที่ใช้รถขนส่งมายังรถไฟเปลี่ยนไปใช้เครนยก ซึ่งจะเป็นการลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ด้านการขนส่งโดยรวมและยังลดปัญหาการจราจรได้อีกด้วย ซึ่งหากมีการใช้ระบบรางในการขนถ่ายสินค้ามากขึ้น เบื้องต้นจะช่วยลดปัญหาการจราจรทางถนนได้ร้อยละ 5



ที่มา Data & Images -






..