พระราชบัญญัติป้องกันการกระทำบางอย่างในการขนส่งสินค้าขาออกทางเรือ พ
พระราชบัญญัติป้องกันการกระทำบางอย่างในการขนส่งสินค้าขาออกทางเรือ พ.ศ. 2511
- - - - - - - - - - - - - - - - - -
- -- - - - - -
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2511
เป็นปีที่ 23 ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการป้องกันการกระทำบางอย่าง
ในการขนส่งสินค้าขาออกทางเรือ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดย คำแนะนำ และยินยอมของสภาร่างรัฐธรรมนูญในฐานะรัฐสภา
ดังต่อไปนี้
มาตรา 1
พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติป้องกันการกระทำ
บางอย่างในการขนส่งสินค้าขาออกทางเรือ พ.ศ. 2511"
มาตรา 2*
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
*[รก.2511/54/365/18 มิถุนายน 2511]
มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้
"ผู้ขนส่ง"
หมายความว่า ผู้รับขนส่งสินค้าจากประเทศไทยไปยัง
ต่างประเทศโดยทางเรือที่มีระวางบรรทุกไม่น้อยกว่าหนึ่งพันเมตริกตันหรือ ผู้ทำการแทน
"ผู้ส่งออก"
หมายความว่า ผู้ทำความตกลงกับผู้ขนส่งให้ทำการขนส่ง สินค้าขาออกทางเรือ
"เงินส่วนลดที่กักไว้"
หมายความว่า เงินส่วนลดจากค่าระวาง ค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่าย
และหมายความรวมถึงเงินรางวัลหรือประโยชน์ อย่างอื่น
ที่ผู้ขนส่งสัญญาโดยตรงหรือโดยปริยายว่าจะจ่ายหรือให้แก่ผู้ส่งออก
แต่ยังกักไว้จนกว่าผู้ส่งออกได้ปฏิบัติครบถ้วนตามสัญญา ทั้งนี้ โดยมีวัตถุ
ประสงค์มิให้ผู้ส่งออกใช้เรือของผู้อื่นนอกจากที่ผู้ขนส่งระบุให้
"พนักงานเจ้าหน้าที่"
หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
"รัฐมนตรี"
หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 4
ห้ามมิให้ผู้ขนส่งกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง
ดังต่อไปนี้
(1)
เข้าเป็นคู่สัญญาหรือทำความตกลงโดยตรงหรือโดยปริยายกับ ผู้ส่งออกโดยจงใจ
ให้ผู้ส่งออกรายใดรายหนึ่งเสียเปรียบเกี่ยวกับการรับระวาง บรรทุก อัตราค่าระวาง
ค่าธรรมเนียม หรือการให้บริการอย่างอื่น
(2)
ปฏิเสธไม่ยอมรับบรรทุกสินค้าของผู้ส่งออกรายใดรายหนึ่ง
เพราะผู้ส่งออกได้ใช้เรือของผู้ขนส่งรายอื่น
มาตรา 5
ห้ามมิให้ผู้ขนส่งกำหนดให้มีเงินส่วนลดที่กักไว้โดยตรง
หรือโดยปริยายเกินร้อยละสิบของเงินที่เรียกเก็บจากผู้ส่งออก และมิให้
กักเงินส่วนลดเกินสองเดือนนับแต่วันสิ้นเดือนที่มีการชำระเงินที่เรียกเก็บจากผู้ส่งออก
ในกรณีที่มีการกักเงินส่วนลด จะต้องมีสัญญาเป็นหนังสือ
ลงลายมือชื่อผู้ขนส่งและผู้ส่งออก และระบุข้อความดังกล่าวข้างต้นด้วย
ในกรณีที่ถึงกำหนดชำระเงินส่วนลดที่กักไว้ตามวรรคหนึ่ง ผู้ขนส่ง
ต้องชำระเงินนั้นภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ครบกำหนด
มาตรา 6 ภายใต้บังคับมาตรา 5 อัตราเงินที่ผู้ขนส่งเรียกเก็บ
จากผู้ส่งออก อัตราเงินส่วนลดที่กักไว้ กำหนดเวลาการกักเงินส่วนลดที่กักไว้
เงื่อนไขและความรับผิดอย่างอื่นในสัญญา สำหรับสินค้าชนิดเดียวกันและ
ในเที่ยวเรือเดียวกัน ต้องเป็นอย่างเดียวกันสำหรับผู้ส่งออกทุกราย
มาตรา 7 ให้ผู้ขนส่งซึ่งทำสัญญากับผู้ส่งออก กำหนดให้มี
เงินส่วนลดที่กักไว้ภายหลังวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ รายงานรัฐมนตรี
ถึงแบบสัญญาที่ใช้กับผู้ส่งออก อัตราเงินที่ผู้ขนส่งเรียกเก็บจากผู้ส่งออก
อัตราเงินส่วนลดที่กักไว้ กำหนดเวลาการกักเงินส่วนลดที่กักไว้ เงื่อนไข
และความรับผิดอย่างอื่นในสัญญา ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ทำสัญญากับ
ผู้ส่งออกรายแรก ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกี่ยวกับข้อความที่ต้องรายงาน
รัฐมนตรีตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ขนส่งรายงานรัฐมนตรีภายในสิบห้าวันนับแต่
วันที่มีการเปลี่ยนแปลง
มาตรา 8 ห้ามมิให้ผู้ขนส่งขึ้นอัตราค่าระวางสำหรับสินค้าใด
เว้นแต่จะได้ชำระเงินส่วนลดที่กักไว้สำหรับสินค้านั้นแก่ผู้ส่งออกทุกราย
ให้เสร็จสิ้นก่อนถึงวันใช้บังคับอัตราค่าระวางที่เปลี่ยนแปลงใหม่
มาตรา 9
เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อว่าได้มีการกระทำผิดตาม
พระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจ
(1)
มีหนังสือเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำเพื่อประกอบการพิจารณา
(2)
เข้าไปในสถานที่ทำการของผู้ขนส่งในระหว่างเวลาทำการ
เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงหรือตรวจสอบเอกสารได้ตามความจำเป็น
มาตรา 10 หนังสือเรียกตามมาตรา 9 (1) ให้ส่งโดยทางไปรษณีย์
ลงทะเบียนหรือให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำไปส่ง ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักงาน
ของบุคคลซึ่งระบุไว้ในหนังสือเรียกในเวลากลางวันระหว่างพระอาทิตย์ขึ้น
และพระอาทิตย์ตกก็ได้
ถ้าบุคคลซึ่งระบุไว้ในหนังสือเรียกปฏิเสธไม่ยอมรับหนังสือเรียก
โดยปราศจากเหตุอันชอบด้วยกฎหมาย
พนักงานเจ้าหน้าที่ชอบที่จะขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือเจ้าพนักงานตำรวจไปด้วยเพื่อเป็นพยาน
และถ้าบุคคลนั้นยังคงปฏิเสธไม่ยอมรับอยู่อีก ให้วางหนังสือเรียกไว้ ณ ที่นั้น
ถ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่พบบุคคลซึ่งระบุไว้ในหนังสือเรียก ณ
ภูมิลำเนาหรือสำนักงานของบุคคลนั้น จะส่งให้แก่บุคคลใดซึ่งมีอายุเกิน
ยี่สิบปีและอยู่หรือทำงานในบ้านเรือนหรือสำนักงานที่ปรากฏว่าเป็นของ
บุคคลซึ่งระบุไว้ในหนังสือเรียกนั้นได้ ถ้าไม่พบบุคคลใด หรือพบ
แต่ไม่มีบุคคลใดยอมรับไว้แทนและมีเหตุ
อันควรเชื่อว่าบุคคลซึ่งระบุไว้ในหนังสือเรียกยังอยู่ ณ ที่นั้น แต่มีเจตนา
หลีกเลี่ยงไม่ยอมรับ ให้ปิดหนังสือเรียกไว้ในที่ที่เห็นได้ง่าย ณ ภูมิลำเนา
หรือสำนักงานนั้น เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติการตามวิธีการดังกล่าวในวรรคสอง
วรรคสาม หรือวรรคสี่แล้ว ให้ถือว่าบุคคลซึ่งระบุไว้ในหนังสือเรียกได้รับ
หนังสือเรียกนั้นแล้ว
มาตรา 11 ในการปฏิบัติการตามมาตรา 9 (2) ให้พนักงาน
เจ้าหน้าที่แสดงบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง ร้องขอ
บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรี ประกาศกำหนด
มาตรา 12 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 4 มาตรา 5 วรรคหนึ่ง หรือ มาตรา 8
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท
มาตรา 13 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 6 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน
สามหมื่นบาท
มาตรา 14 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 7 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน
หนึ่งหมื่นบาท
มาตรา 15 ผู้ใดไม่มาให้ถ้อยคำ ไม่ยอมให้ถ้อยคำ ขัดขวาง
หรือไม่ให้ความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติการตามมาตรา 9
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
มาตรา 16 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการรักษาการ
ตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการ
ตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล ถนอม กิตติขจร
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
เนื่องจาก ในปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยการป้องกันการกระทำบางอย่างอันกระทบถึง
การขนส่งสินค้าจากประเทศไทยไปยังต่างประเทศทางเรือ ฉะนั้น เพื่อให้
การส่งสินค้าขาออกทางเรือเป็นไปด้วยดี จึงสมควรตราพระราชบัญญัตินี้ ขึ้นไว้
มารีนเนอร์ไทย | MarinerThai.Net |
MarinerThai.Com