ประเทศไทยกับการก้าวสู่ระบบการขนส่งอิเล็กทรอนิกส์
ประเทศไทยกับการก้าวสู่ระบบการขนส่งอิเล็กทรอนิกส์
บทความและรูปภาพจาก
ผู้จัดการออนไลน์ 28 มกราคม 2548 14:42 น.
ในอดีต
ผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกของไทย
ต้องเสียเวลาไปกับการกรอกเอกสารหลายฉบับ ด้วยข้อมูลเดียวกัน ซ้ำไปซ้ำมาหลายขั้นตอน
การยื่นเอกสารก็ต้องพบกับความล่าช้าในการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่ เกี่ยวข้อง
และกฎระเบียบที่ล้าหลัง เช่น การต้องรอลายเซ็นอนุมัติจากผู้บริหารระดับสูง
เอกสารนั้น ๆ จึงจะสมบูรณ์ นอกจากนั้น
การยื่นเอกสารหลายขั้นตอนยังทำให้ผู้ประกอบการต้องเสียค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ
ที่ไม่จำเป็น
การมาถึงของยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ
ช่วยให้การดำเนินการแก้ไขและพัฒนาปรับปรุงระบบก่อตัวขึ้นช้า ๆ
แต่ยังอยู่ในลักษณะต่างคนต่างทำ องค์กรใดพร้อมก่อนก็ทำก่อน ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ
การขาดทิศทางในการเลือกระบบ ทำให้สุดท้ายแล้ว ต่างคนต่างมีระบบ
แต่ไม่สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ ปัญหาที่สร้างความยุ่งยากอีกประการหนึ่งก็คือ
กฎหมาย ข้อบังคับต่าง ๆ ซึ่งมีหลายจุดที่เข้าขั้นล้าหลังเกินความจำเป็น
ส่งผลให้การทำงานต่าง ๆ ของเจ้าหน้าที่ไม่คล่องตัว
สุดท้ายระบบก็เป็นเพียงที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่
แต่ไม่ได้ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์กับผู้นำเข้า-ส่งออกแต่อย่างใด
ความไร้ประสิทธิภาพด้านข้อมูลเอกสาร
และการขาดการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นรูปธรรม เหล่านี้
ทำให้ระบบลอจิสติกส์ของไทยต้องสูญเสียความน่าเชื่อถือ
และสูญเสียโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของระบบการขนส่งไทย (ลอจิสติกส์)
อย่างที่ควรจะเป็น อันเป็นความสูญเสียที่ประมาณค่าไม่ได้
ขณะที่ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญกับความยุ่งยากในการนำเข้า-ส่งออก
แต่ประเทศสิงคโปร์กลับมีระบบที่ทันสมัยกว่า
รัฐบาลสิงคโปร์เลือกใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ ผลักดันให้เกิดระบบ
TradeNet ขึ้นสำหรับรองรับการนำเข้าและส่งออก
ระบบ TradeNet
จะทำหน้าที่ออกใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์สำหรับสินค้าผ่านทางเว็บไซต์
ทำให้ลดขั้นตอนในการกรอกแบบฟอร์มเอกสารของผู้ประกอบการจาก 21 แบบฟอร์ม เหลือเพียง 2
แบบฟอร์ม จากเดิมที่เคยติดต่อกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 23 แห่ง
ปัจจุบันสามารถรอฟังผลการอนุมัติได้ภายใน 15 นาที
และสามารถพิมพ์เอกสารดังกล่าวจากอินเทอร์เน็ตและใช้ยื่นเป็นเอกสารฉบับจริงได้เลย
รัฐบาลสิงคโปร์อ้างว่า
ระบบดังกล่าวช่วยประหยัดต้นทุนด้านลอจิสติกส์ให้กับผู้ประกอบการได้มากถึงปีละ 1
พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 38,000 ล้านบาท)
ในอนาคต
สิงคโปร์มีแผนจะพัฒนาระบบ InfoPort ซึ่งจะเป็นระบบอี-ลอจิสติกส์สมบูรณ์แบบ
ที่เชื่อมโยงทุกระบบเข้าด้วยกัน ทั้งภาคการขนส่ง (PortNet, JurongPort),
ระบบการชำระเงิน (ธนาคาร) และระบบการออกใบรับรองสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (TradeNet)
เข้าไว้ในระบบเดียวกัน
ระบบลอจิสติกส์ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วของสิงคโปร์อาจทำให้หลายคนคิดแก้ตัวให้แทนประเทศไทยไปว่า
เพราะประเทศสิงคโปร์มีขนาดเล็ก ทำให้การปรับเปลี่ยนทำได้ง่ายดายกว่าของประเทศไทย
แต่การมาถึงของ “China E-Port” คงจะทำให้ใครหลายคนต้องปรับความคิดเสียใหม่
สาธารณรัฐประชาชนจีนพัฒนา
“China E-Port” ขึ้นเพื่อให้เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงงานด้านการขนส่ง
การรักษาความมั่นคง การเก็บภาษีศุลกากร การออกใบรับรองสินค้า การชำระเงิน
และการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยเชื่อมโยงเข้ากับด่านต่าง ๆ ทั่วประเทศ
ทำให้จีนสามารถควบคุมระบบศุลกากร และการส่งสินค้าข้ามแดนได้ดียิ่งขึ้น
ระบบดังกล่าวรัฐบาลจีนพัฒนาขึ้นใช้เอง โดยได้จัดตั้งหน่วยงานที่มีชื่อว่า “China
E-Port Data Center” ขึ้นมา อยู่ภายใต้สังกัดของศุลกากร ใช้ทีมงานพัฒนาระบบเพียง
400 คนเท่านั้น
ด้วยระบบ China E-Port
ทำให้ปัญหาเรื่องการปลอมแปลงเอกสารของทางการจีนลดลง
และความเร็วในการตรวจสินค้าของจีนเพิ่มขึ้นอย่างมาก
นอกเหนือจากจีนและสิงคโปร์
ยังมีระบบ DTTN (Digital Trade and Transportation Network) ของเกาะฮ่องกง
ซึ่งเป็นระบบที่เชื่อมโยงภาคอุตสาหกรรม และภาคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน
เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและรองรับกระบวนการทางธุรกิจ
ระบบดังกล่าวพัฒนาขึ้นภายใต้งบประมาณกว่า 15,000 ล้านบาท
และเริ่มปฏิบัติงานเมื่อไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 ที่ผ่านมา
รัฐบาลคาดว่าระบบดังกล่าวจะช่วยให้ภาคการค้าและลอจิสติกส์ของฮ่องกงได้รับประโยชน์คิดเป็นมูลค่าถึง
59,000 ล้านบาทภายใน 17 ปี
ไม่เพียงเท่านั้น
ประเทศออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ก็มีความร่วมมือในแบบ G2G e-government
ที่พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง นั่นคือการร่วมมือออกใบรับรองสุขอนามัยของพืชและสัตว์
และสามารถตรวจสอบระหว่างกันได้ผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือใช้ชื่อว่า e-SPS
Certification (SPS : Sanitary and Phytosanitary) ตัวอย่างการทำงานของระบบนี้
เช่น
หน่วยงานจากนิวซีแลนด์สามารถตรวจดูใบรับรองสุขอนามัยจากสินค้าที่ส่งมาจากออสเตรเลียในรูปแบบของเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ได้
และประมวลผลต่อได้โดยอัตโนมัติ เป็นต้น
รัฐบาลผลักดัน
อย่างไรก็ดี
การพัฒนาศักยภาพของระบบลอจิสติกส์ไทยเริ่มเห็นแววสดใสมากขึ้นในช่วง 3 - 4
ปีที่ผ่านมา เมื่อรัฐบาลหันมาให้ความสำคัญ
และมีมติเห็นชอบในการผลักดันและกำหนดยุทธศาสตร์ให้ประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางลอจิสติกส์ของภูมิภาคอินโดจีน”
โดยมอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
เป็นแกนกลางในการทำงาน และเกิดเป็นโครงการ “Thailand e-Logistics Framework”
ขึ้นเพื่อกำหนดกรอบแนวทางในการพัฒนา นโยบาย ข้อเสนอแนะ
มาตรฐานและโปรโตคอลที่ใช้ขับเคลื่อน
จากการตรวจสอบตัวเลขของภาครัฐบาลพบว่า
ระบบเกษตรกรรมของไทยมีค่าใช้จ่ายด้านลอจิสติกส์สูงมากถึง 25
เปอร์เซ็นต์ของราคาสินค้า ในขณะที่ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา
มีต้นทุนดังกล่าวเพียง 8.9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
เหตุผลหลักที่ทำให้ต้นทุนดังกล่าวนี้สูงผิดปกติ มาจากการขาดมาตรฐานด้านระบบไอที
การขาดการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง การกรอกข้อมูลซ้ำซ้อน
จากการตรวจสอบพบว่า เอกสารที่ผู้ประกอบการนำเข้า-ส่งออกไทยต้องกรอกมีประมาณ
40 แบบฟอร์ม ข้อมูลหนึ่ง ๆ อาจต้องกรอกซ้ำถึง 30 รอบ ซึ่งอาจผิดพลาดได้ง่าย
และมีต้นทุนสูง หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องประมาณ 28
แห่งยังขาดการเชื่อมโยงข้อมูลถึงกันอย่างมีประสิทธิภาพ ปัญหาความล่าช้าเหล่านี้
มีผลทำให้ต้นทุนของสินค้าสูงขึ้นประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ (อ้างอิงการวิเคราะห์จากสหประชาชาติ)
เพื่อการก้าวไปสู่ “ศูนย์กลางลอจิสติกส์ของภูมิภาคอินโดจีน”
รัฐบาลไทยได้จัดตั้งศูนย์บริการส่งออกแบบเบ็ดเสร็จขึ้นเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา
ศูนย์ดังกล่าวขึ้นอยู่กับกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์
ซึ่งเป็นโครงการนำร่องของระบบอี-ลอจิสติกส์ โดยเป็นการรวบรวม 8
หน่วยงานนำร่องจากที่เกี่ยวข้องมาไว้ด้วยกัน ได้แก่ กรมส่งเสริมการส่งออก
กรมการค้าต่างประเทศ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมปศุสัตว์ กรมวิชาการเกษตร กรมการกงศุล
กรมศุลกากร และคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย
เพื่อให้ผู้มาติดต่อสามารถดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ
ของแต่ละหน่วยงานได้อย่างรวดเร็ว และลดการกรอกแบบฟอร์มลง เหลือเพียงแบบฟอร์มเดียว
ซึ่งใช้ชื่อว่า “แบบฟอร์มคำขอกลางอิเล็กทรอนิกส์”
(Centralized e-Forms) และทำให้ข้อมูลเหล่านั้นอยู่ในฐานข้อมูลกลาง ถือเป็น
Master Information ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดึงไปใช้ได้เลย
ผู้ประกอบการไม่ต้องกรอกใหม่ สามารถกรอกข้อมูลและติดตามสถานะ (e-tracking)
ของคำขอผ่านทางเว็บไซต์
www.depthai.go.th และหน่วยงานกำกับสามารถอนุมัติ –พิมพ์ใบรับรองทางอินเทอร์เน็ตได้ด้วย
โดยในระยะแรก ผู้ส่งออกยังต้องมารับใบรับรองสินค้าด้วยตนเอง แต่ในเฟสต่อไป
จะพัฒนาระบบให้สามารถออกใบรับรองสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้เลย
เอกสารที่ผู้ส่งออกสามารถส่งใบคำขอกลางทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ มี 7 ประเภท ได้แก่
ใบรับรองด้านปลอดศัตรูพืช (Phytosanitary
Certificate),
ใบรับรองคุณภาพสินค้า (Health
Certificate),
ใบขนสินค้าขาเข้า-ขาออก โดยระบบ
EDI ของศุลกากร,
ใบรับรองสินค้าอาหารฮาลาล (Halal
Certificate),
ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า
(Certificate of Origin : C/O),
การรับรองการลงมือชื่อ
(Application for Legalization) และ
หนังสือการรับรองการจดทะเบียนธุรกิจ
และภายใน 3 ปีนี้
หน่วยงานทั้งหมด 28
แห่งที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าและส่งออกจะต้องปรับมาใช้ระบบใหม่นี้ทั้งหมด
การสร้างความน่าเชื่อถือให้เอกสารรับรองทางอินเทอร์เน็ต
ความกังวลใจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับระบบการออกเอกสารรับรองทางอินเทอร์เน็ตคือการปลอมแปลงเอกสาร
เพราะมีผลโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือของระบบ
สำหรับแนวทางการสร้างความน่าเชื่อถือและความถูกต้องให้กับเอกสารรับรองทางอินเทอร์เน็ตนั้น
มีแนวทางต่าง ๆ ดังนี้
การพิมพ์ลายน้ำแบบมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า (Visible Watermarking Printing)
ลงในเอกสารรับรองฉบับจริงที่พิมพ์จากอินเทอร์เน็ต (ใช้กระดาษธรรมดาทั่วไป)
แต่ระบบดังกล่าวจะมีความพิเศษก็คือ ถ้าหากนำเอกสารฉบับจริงไปถ่ายสำเนา
ลายน้ำที่เกิดขึ้นบนฉบับสำเนาจะมีคำว่า Copy ปรากฏอยู่ด้วย
การพิมพ์ลายน้ำแบบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าลงในเอกสารรับรอง (Invisible Watermarking
Printing)
วิธีนี้จะต้องนำเอกสารไปตรวจสอบด้วยเครื่องมือพิเศษ จึงจะสามารถมองเห็นข้อความ
หรือรูปภาพที่สอดคล้องกับข้อความในเอกสารรับรอง
ซึ่งคุณสมบัตินี้สามารถใช้ในการพิสูจน์ยืนยันความเป็นต้นฉบับที่ถูกต้องตามกฎหมายและใช้พิสูจน์การปลอมแปลงได้
นอกจากนั้นยังมีระบบการควบคุมการพิมพ์เอกสาร
ที่สามารถกำหนดได้ว่าปลายทางได้รับอนุญาตให้พิมพ์เอกสารได้กี่ฉบับ
และมีการบันทึกประวัติการพิมพ์เอกสารของเครื่องพรินเตอร์ปลายทางไว้ใช้อ้างอิงในภายหลังด้วย
เตรียมพบ Single-Window
e-Logistics
ระบบการทำงานตลอดจนความผิดพลาดของศูนย์บริการส่งออกแบบเบ็ดเสร็จนี้ได้ถูกศึกษาเพื่อพัฒนาเป็นระบบ
Single-Window e-Logistics สำหรับใช้ในในระบบลอจิสติกส์ระดับประเทศ
โดยในระบบใหญ่นั้น ได้มีการแบ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกเป็น 3 คลัสเตอร์ใหญ่ ๆ
ได้แก่ กลุ่มหน่วยงานกำกับดูแลการนำเข้าและส่งออก, กลุ่มธนาคารและธุรกิจประกันภัย
และกลุ่มหน่วยงานบริการด้านการขนส่ง ซึ่งระบบจะเชื่อมโยงเข้ากับขั้นตอนต่าง ๆ ของ 3
คลัสเตอร์ใหญ่ เช่น การยื่นใบคำขอ, การติดตามสถานะของคำขอ, การอนุมัติใบรับรองต่าง
ๆ, พิธีการทางศุลกากร, การจองระวางเรือ, การจ่ายภาษี, การประกันภัย,
การตรวจสอบใบขนสินค้า, โกดังสินค้า ฯลฯ ได้ทั้งหมด ระบบนี้ใช้งบประมาณในการพัฒนา
1,250 ล้านบาท เริ่มใช้งานจริงในช่วงปี 2548 – 2550 นี้
สำหรับการดำเนินการสร้างระบบบริการแบบเบ็ดเสร็จนั้น ตามแผนจะแบ่งออกเป็น 4 ระยะ
ระยะแรกได้แก่
การปรับสู่แบบฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ (e-Forms) และการติดตามเอกสาร (e-Tracking)
ระยะที่สองจะเป็นการทำแบบคำขอกลาง (Centralized e-Forms) เข้าใช้ร่วมกับ e-Tracking
ระยะที่สามจะเป็นการใช้
แบบคำขอกลาง ร่วมกับ e-Tracking
และการตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารทางอินเทอร์เน็ตเพื่อนำไปสู่การออกใบรับรองทางอินเทอร์เน็ต
และในระยะที่ 4
ซึ่งเป็นเฟสสุดท้าย จะเป็นการรวมความสามารถในช่วงที่สาม
เข้ากับการแลกเปลี่ยนข้อมูลอัตโนมัติระหว่างหน่วยงาน (Information Exchange)
ซึ่งต้องมีการกำหนดมาตรฐานกลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างระบบต่อไป
ระบบใหม่นี้คาดว่าจะช่วยลดเวลาดำเนินการของผู้นำเข้า-ส่งออกจากเดิม 8-10
วันให้เหลือประมาณ 1-3 วัน ซึ่งคาดว่าจะลดต้นทุนของมูลค่าสินค้านำเข้า-ส่งออกได้อย่างน้อย
0.5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี คิดเป็นมูลค่า 28,500 ล้านบาท (อ้างอิงจากสินค้านำเข้า-ส่งออกปี
2545 มูลค่า 5.7 ล้านล้านบาท)
ปรับสู่ Web Application
กรมศุลกากรในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงก็มีแผนจะปรับระบบการนำเข้า-ส่งออกสินค้าใหม่เช่นกัน
โดยจะเปลี่ยนเป็นการทำงานไปเป็นระบบ Web Application
ผู้ประกอบการสามารถรับใบขนสินค้าได้ผ่านทางอินเทอร์เน็ต
และชำระเงินจากธนาคารได้ทันที มีการประกันเวลาขั้นต่ำในการขนสินค้าเข้า-ออก ฯลฯ
ซึ่งคาดว่าระบบดังกล่าวของกรมศุลกากรจะเริ่มทยอยเปิดใช้ได้ตั้งแต่ช่วงกลางปีนี้
และเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2549 (สำหรับระบบส่งออกสินค้าคาดว่าจะเริ่มเปิดใช้ในช่วงเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้
ส่วนระบบนำเข้าสินค้าคาดว่าจะเริ่มใช้งานได้ต้นปีหน้า)
ทั้งนี้สิ่งที่จะต้องเร่งผลักดันอีกประการหนึ่งคือ การแก้ไขกฎหมาย
และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ดังที่กล่าวไปในข้างต้นแล้วว่า
ความล่าช้าในการทำงานมาจากความไร้ประสิทธิภาพของงานเอกสาร ทั้งในเรื่องความยุ่งยาก
และผู้มีสิทธิลงนามในเอกสารได้มีน้อยคน เหล่านี้เป็นข้อจำกัดของกฎระเบียบ
ที่ยัดเยียดให้ผู้ประกอบการพยายามหาหนทางให้ตนเองได้รับเอกสารรวดเร็วมากขึ้นโดยวิธีต่าง
ๆ ซึ่งเป็นการสร้างระบบที่ไม่ถูกต้องให้เกิดกับข้าราชการไทยบางส่วนด้วย นอกจากนั้น
เอกสารอิเล็กทรอนิกส์เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้
ตามกฎหมายไทยจึงไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงต่อศาลในกรณีที่เกิดคดีความขึ้น
ซึ่งในส่วนนี้จะต้องมีการแก้ไขกันต่อไป
แซงหรือจะถูกแซง
การก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางลอจิสติกส์แห่งภูมิภาคอินโดจีนของไทยแม้จะเริ่มสดใสมากขึ้น
แต่การแข่งขันในระดับภูมิภาคก็ยังมีอยู่ เวียตนาม
ประเทศเพื่อนบ้านของเราก็เร่งผลักดันระบบอี-ลอจิสติกส์ของตนเองอย่างไม่ยอมน้อยหน้า
โดยเวียตนามได้ขอความร่วมมือจากสิงคโปร์และนำเอาระบบสารสนเทศของสิงคโปร์มาปรับใช้
ซึ่งในอนาคตหากการพัฒนาของไทยเกิดสะดุดลงกลางคัน
มีความเป็นไปได้ว่าเวียตนามจะแซงหน้าประเทศไทยไปในที่สุด
Company Related Links :
TradeNet
depthai
MarinerThai.Net | |
MarinerThai.Com