ค่าการกลั่นน้ำมัน - เรื่องที่ควรรู้
ค่าการกลั่นน้ำมัน - เรื่องที่ควรรู้
ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจมติชน 10
พ.ค. 2548 และหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2047 25 ก.ย. 2548
กระบวนการกลั่น
(ภาพประกอบจากเว็บไซด์
บมจ. บางจากปิโตรเลียม)
การดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันต้องใช้เงินลงทุนนับแสนล้านบาทและมีความเสี่ยงที่สูง
เนื่องจากอุตสาหกรรมน้ำมันมีรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างจากธุรกิจทั่วไป
กล่าวคือ ณ
วันที่ตัดสินใจสั่งซื้อน้ำมันดิบมากลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูปเพื่อจำหน่ายนั้น
ก็เกิดความเสี่ยงเกิดขึ้นแล้ว เพราะไม่ทราบว่าจะมีกำไรหรือขาดทุน
เนื่องจากการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศมากลั่น ต้องสั่งซื้อล่วงหน้าประมาณ 1 - 2
เดือนก่อนการส่งมอบ โดยการตกลงซื้อขายจะระบุเพียงปริมาณเท่านั้น
ส่วนราคาจะอ้างอิงกับราคาน้ำมันตลาดโลกในเดือนส่งมอบ ขณะเดียวกันในด้านการจำหน่าย
โรงกลั่นมีการตกลงกับผู้ค้าน้ำมันล่วงหน้าว่าจะมีการซื้อขายในปริมาณเท่าไหร่ในเดือนข้างหน้าโดยมีสูตรราคาที่อิงกับตลาดซื้อขายที่สิงคโปร์ในช่วงวันส่งมอบ
อีกทั้ง วงจรของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันมีความผันผวนสูง
ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านมาซึ่งเป็นช่วงขาลงของธุรกิจ
โรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ในประเทศไทยแทบทุกแห่งต่างประสบกับการขาดทุนเป็นจำนวนมากจนไม่สามารถชำระหนี้สินได้
ต้องปรับโครงสร้างหนี้
และเพิ่มทุนเป็นจำนวนมากเพื่อให้มีเงินทุนเพียงพอในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้
เพิ่งจะเริ่มมีกำไรเมื่อ 2- 3 ปี ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ถือว่าอยู่ในช่วงขาขึ้น
เนื่องจากมีค่าการกลั่นสูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยปกติ
ผลกำไรที่เกิดขึ้นบริษัทนำไปลดขาดทุนสะสมในช่วงที่ผ่านมา
แต่ก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าภาวะเช่นนี้จะอยู่ได้นานเพียงใด
ค่าการกลั่นเกิดจาก ราคา ณ โรงกลั่น
ของน้ำมันสำเร็จรูปที่โรงกลั่นผลิตได้เฉลี่ยตามสัดส่วนปริมาณการผลิตของน้ำมันสำเร็จรูปชนิดต่างๆ
ที่กลั่นได้ หักด้วยต้นทุนวัตถุดิบ คือ ราคาน้ำมันดิบรวมกับค่าใช้จ่ายต่างๆ
ในการนำเข้า เช่น ค่าขนส่ง
แต่รายได้จากค่าการกลั่นนี้ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า สารเคมี ค่าซ่อมบำรุง และค่าแรงต่างๆ เป็นต้น
ซึ่งโรงกลั่นน้ำมันแต่ละแห่งจะมีค่าการกลั่นที่ไม่เท่ากัน
เนื่องจากมีกระบวนการผลิตที่แตกต่างกันทำให้ได้ผลผลิตน้ำมันสำเร็จรูปชนิดต่างๆ
ในสัดส่วนที่ไม่เท่ากัน แม้จะใช้น้ำมันดิบประเภทเดียวกันก็ตาม
สำหรับ ราคา ณ โรงกลั่น ของประเทศไทยนั้น
เป็นสูตรราคาที่กำหนดขึ้นเพื่อให้สามารถแข่งขันได้กับราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่นำเข้าจากตลาดสิงคโปร์
ซึ่งเป็นต้นทุนการนำเข้าที่ต่ำสุด
เพราะสิงคโปร์เป็นประเทศผู้ส่งออกที่ใกล้ประเทศไทยมากที่สุด
ถ้าหากโรงกลั่นน้ำมันในประเทศกำหนดราคาแพงกว่า
ผู้ค้าน้ำมันก็จะหันไปนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากสิงคโปร์แทน อย่างไรก็ตาม
ในปัจจุบันกำลังการกลั่นในประเทศไทยมีเกินปริมาณความต้องการใช้
ทำให้ต้องส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป ซึ่งราคาส่งออกนั้นถูกกว่าราคานำเข้า
ดังนั้นโรงกลั่นต่างๆ
จึงให้ส่วนลดแก่ผู้ค้าน้ำมันเพื่อจูงใจให้ซื้อน้ำมันจากโรงกลั่นในประเทศ
ซึ่งการกำหนดราคาดังกล่าว ใช้มานานนับสิบปีแล้ว
ปัจจุบันค่าการกลั่นของโรงกลั่นต่างๆ ในประเทศอยู่ระหว่าง 2 - 7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาเรล
โดยโรงกลั่นที่มีการกลั่นหลายขั้นตอน (Complex Refinery) จะมีค่าการกลั่นในระดับสูง
ในขณะที่โรงกลั่นที่มีการกลั่นแบบง่ายๆ (Simple Refinery)
จะมีค่าการกลั่นที่ต่ำกว่าเนื่องจากมีผลผลิตของน้ำมันใส คือ น้ำมันเบนซิน และดีเซล
ซึ่งเป็นน้ำมันที่มีราคาแพง อยู่ในสัดส่วนที่ต่ำกว่า
การดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน ไม่แตกต่างจากวัฏจักรเศรษฐกิจ
ที่มีทั้งขาขึ้นและขาลง บางช่วงขาดทุนมาก บางช่วงก็มีกำไรสูง
ผู้ลงทุนในธุรกิจนี้นอกจากจะต้องใช้เงินลงทุนที่สูงแล้ว
ยังต้องสามารถรับความเสี่ยงในช่วงธุรกิจขาลงได้ด้วย
ซึ่งต้องมีสายป่านของเงินทุนที่ยาวพอ
และปัจจัยที่มีความสำคัญอีกประการหนึ่งในการตัดสินใจสร้างโรงกลั่นแห่งใหม่ คือ
นักลงทุนต้องการความมั่นใจในนโยบายของรัฐที่จะปล่อยให้มีการแข่งขันเสรีอย่างแท้จริง
ค่าการกลั่นน้ำมัน: เรื่องที่ควรรู้ ปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยจัดให้
วิธีคำนวณโปร่งใส..ไม่ซ่อนเร้น
เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม คุณหญิง ทองทิพ รัตนะรัต
ที่ปรึกษาสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย บรรยายพิเศษเรื่อง "ค่าการกลั่นน้ำมัน:
เรื่องที่ควรรู้" เพื่อให้ความรู้เรื่องค่าการกลั่นให้กับกลุ่มคนที่สนใจ
ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่จัดบรรยายให้ความรู้เรื่องดังกล่าวนับจากที่นายโสภณ สุภาพงษ์
สว.กทม. ผู้คร่ำหวอดในวงการน้ำมันจากที่เคยนั่งบริหารที่บริษัทบางจาก ปิโตรเลียม
จำกัด (มหาชน) ออกมาเปิดเผยว่าโครงสร้างการคิดค่าการกลั่นในประเทศไม่เป็นธรรม
มีการตั้งราคาสูงกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ประชาชนต้องใช้ในราคาแพง "มติชน"
จึงได้สรุปเรียบเรียงคำบรรยายมานำเสนอ
หลักที่จะนำไปสู่ความเข้าใจเรื่องราคาน้ำมัน
ต้องเข้าใจว่ารัฐบาลมีนโยบายที่สร้างราคาน้ำมันด้วยปัจจัยสำคัญคือ
ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี
ส่วนเรื่องค่าการกลั่นน้ำมันนั้นจะต้องทำความเข้าใจกับโครงสร้างราคาน้ำมันสำเร็จรูปก่อน
ซึ่งประกอบด้วย โครงสร้างราคาหน้าปั๊ม และโครงสร้างราคาหน้าโรงกลั่น
เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เข้าใจยากแต่มีตัวแปรมาก เวลาคนพูดก็พูดถึงไม่หมด
และต้องเข้าใจด้วยว่าราคาน้ำมันดิบกับราคาน้ำมันสำเร็จรูปไม่จำเป็นต้องไปในทิศทางเดียวกันเสมอเพราะ
-
ปัจจัยที่เป็นตัวผลักดันเป็นคนละตัว
-
หากราคาน้ำมันดิบปรับราคา
ไม่จำเป็นต้องปรับราคาน้ำมันสำเร็จรูปในสัดส่วนที่เท่ากัน เพราะทั้ง 2 ชนิด
ไม่ได้อยู่ในตลาดเดียวกัน
แต่สำหรับธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันเป็นธุรกิจที่อยู่ตรงกลางระหว่างน้ำมันดิบกับน้ำมันสำเร็จรูป
เป็นธุรกิจที่ถูกบีบมากที่สุด เพราะรับทั้งปัจจัยของทั้ง 2 ตลาด
เราต้องมีการนำเข้าน้ำมันดิบกว่า 99% ซึ่งเป็นการนำเข้าน้ำมันจากหลายประเทศ
ไม่ใช่ประเทศเดียว เพราะน้ำมันแต่ละแหล่งที่นำเข้ามาสามารถกลั่นน้ำมันชนิดต่างๆ
ได้ในสัดส่วนที่ไม่เท่ากัน ในขณะที่เราต้องการใช้น้ำมันในสัดส่วนที่ไม่เท่ากัน
เราต้องการใช้น้ำมันดีเซลมากกว่าน้ำมันเบนซิน
นอกจากนี้แต่ละโรงกลั่นน้ำมันก็ได้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น
แต่ละแห่งจึงต้องซื้อมาจากหลายประเทศมาผสมกัน
เพื่อให้สามารถกลั่นน้ำมันสำเร็จรูปได้ตามที่ต้องการ
หรือได้ในส่วนที่ผู้บริโภคต้องการใช้มากที่สุด ซึ่งจะได้ในสัดส่วนเป็นอย่างไร
ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยคือ น้ำมันดิบที่นำเข้ามา และชนิดของโรงกลั่นน้ำมัน
โครงสร้างราคาน้ำมันหน้าปั๊ม
เพื่อให้เห็นความแตกต่างจะแบ่งเป็น 3 ยุค
-
ช่วงที่รัฐควบคุมราคาก่อนเปิดเสรี ปี 2534 สภาวะตลาดในช่วงนี้
ต้องมีการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปทุกชนิด และมีเพียงโรงกลั่นน้ำมันในประเทศเพียง 3
แห่ง คือ ไทยออยล์, เอสโซ่, บางจาก
ส่วนการตั้งราคานั้นรัฐบาลเป็นผู้ตั้งราคาหน้าปั๊มและกำหนดค่าการตลาด
โดยอยู่บนหลักการให้ราคาอยู่ในระดับที่ประชาชนกินดีอยู่ดีและพัฒนาประเทศได้
สูตรราคาหน้าปั๊ม คือ = (P) ราคา ณ โรงกลั่น +ภาษีต่างๆ + กองทุนต่างๆ + ค่าการตลาด
โดยการปรับราคาหน้าปั๊มในระยะแรก รัฐปรับทุก 15 วัน ต่อมาปรับทุก 7 วัน
-
ช่วงเปิดเสรีตั้งแต่ปลายปี 2534 สภาวะตลาดต้องนำเข้าน้ำมันในช่วงแรก
และต้องส่งออกตั้งแต่ปี 2538 เพราะกำลังการผลิตในประเทศเกินความต้องการ
มีโรงกลั่นน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นเป็น 7 แห่ง ประกอบด้วย ไทยออยล์, เอสโซ่, บางจาก,
SPRC, RRC, TPI, RPC
โดยการตั้งราคานั้นผู้ค้าปลีกเป็นผู้กำหนดราคาให้เป็นไปตามกลไกของการแข่งขันในธุรกิจขายปลีก
โดยหลักในการตั้งราคานั้นผู้ค้าปลีกใช้การที่โรงกลั่นต้องส่งออกเป็นข้อต่อรองราคาซื้อจากโรงกลั่น
แสดงให้เห็นถึงการเป็นตลาดเสรี มีสูตรราคาหน้าปั๊ม คือ = (P) ราคา ณ โรงกลั่น +
ภาษีต่างๆ + กองทุนต่างๆ + ค่าการตลาด สำหรับการปรับราคาหน้าปั๊ม
ผู้ค้าปลีกปรับตามสภาวะตลาด
-
ช่วงที่รัฐแทรกแซงชั่วคราวครั้งล่าสุด ตั้งแต่ 10 มกราคม 2547 สภาวะตลาดภายในปี
2549 คาดว่าตลาดจะสมดุล ดังนั้น
ช่วงนี้เมื่อมีบางโรงกลั่นปิดซ่อมแซมก็จะต้องมีการนำเข้า
เช่นเริ่มมีการนำเข้าดีเซลเดือนมกราคม และ กุมภาพันธ์ 2547 การตั้งราคา ณ
วันนี้รัฐบาลตรึงราคาดีเซลไว้ที่ 18.19 บาท/ลิตร ผลิตภัณฑ์อื่นลอยตัว นอกจาก LPG
เป็นกึ่งลอยตัว
โดยใช้หลักการรัฐตั้งให้ราคาดีเซลอยู่ในระดับที่ประชาชนกินดีอยู่ดีและพัฒนาประเทศได้
ส่วนผลิตภัณฑ์อื่นเป็นไปตามกลไกตลาด สูตรราคาหน้าปั๊ม คือ = (P) ราคา ณ โรงกลั่น +
ภาษีต่างๆ + กองทุนต่างๆ + ค่าการตลาด การปรับราคา ผู้ค้าปลีกปรับตามสภาวะตลาด
นอกจากดีเซลซึ่งรัฐบาลปรับเมื่อเห็นเหมาะสม
โครงสร้างราคาหน้าโรงกลั่น ถ้าเป็นแบบตลาดเสรี
แต่ละแห่งก็ต้องสู้เพื่อให้ลูกค้ามาซื้อของตน
ซึ่งตามปกติก็จะต้องสู้กับโรงกลั่นแห่งอื่นเพื่อขายในประเทศให้ได้มาก
ที่เหลือจึงจะส่งออกและสู้กับการนำเข้า
แต่ถ้าโรงกลั่นไม่พอแล้วต้องมีการนำเข้าทุกชนิด
โรงกลั่นก็ต้องสู้โดยตั้งราคาแข่งกับราคานำเข้า
ส่วนธุรกิจค้าปลีกนั้นก็ต้องมาดูกันว่ามีคู่แข่งหรือไม่ ถ้ามีก็ต้องสู้กับคู่แข่ง
แต่ในกรณีที่รัฐบาลเข้าไปควบคุมราคารัฐบาลก็จะดูแลกำไรให้
ซึ่งเป็นส่วนต่างระหว่างราคาหน้าโรงกลั่นบวกกับภาษีกองทุน ภาษีสรรพสามิตกับราคาขาย
ที่เหลือก็เป็นค่าการตลาด ซึ่งค่าการตลาดนี้ก็ต้องไปหักค่าดำเนินการปั๊ม ทั้งค่าน้ำ
ไฟฟ้า และค่าจ้างเด็กปั๊ม
สรุปในการกำหนดราคาหน้าโรงกลั่นจะใช้ราคาน้ำมันนำเข้าเป็นตัวตั้งแล้วใช้กองทุนน้ำมันเป็นตัวปรับราคาให้สมน้ำสมเนื้อกับราคานำเข้า
"มีคนชอบถามว่าทำไมเราต้องอิงราคาน้ำมันในตลาดสิงคโปร์
ความจริงเราไม่ได้อิงราคาสิงค์โปร์ แต่เราอิงราคาตลาดโลกที่อยู่ในสิงคโปร์
เพราะที่สิงคโปร์มีการซื้อขายน้ำมันกันมาก
แต่ถ้าเมื่อใดที่เรามีการซื้อขายน้ำมันในประเทศมาก
เราก็สามารถกำหนดราคาเป็นไทยแลนด์ไพรซ์ได้ ซึ่งเราก็พยายามให้มีการซื้อขายกัน"
ค่าการกลั่น ความจริงแล้วค่าการกลั่นมีทั้งค่าการกลั่นรวม และค่าการกลั่นสุทธิ
ซึ่งเวลามีการพูดถึงค่าการกลั่น
ไม่มีใครพูดว่าเป็นตัวไหนแต่เข้าใจว่าจะเป็นค่าการกลั่นรวม หรือที่เรียกว่า GRM
เพราะค่าการกลั่นสุทธิซึ่งเป็นกำไรสุทธิของโรงกลั่นจริงๆ ไม่มีใครรู้
ซึ่งโครงสร้างค่าการกลั่นรวมนี้จะขึ้นอยู่กับส่วนต่างมูลค่าของทุกผลิตภัณฑ์รวมกัน
และมูลค่าน้ำมันดิบผสมที่ใช้การกลั่นรวม
ไม่ใช่การนำน้ำมันสำเร็จรูปมาลบออกจากน้ำมันดิบดูไบเลย
เพราะในการกลั่นน้ำมันของแต่ละโรงกลั่นจะได้ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ด้วย
นอกจากน้ำมันเบนซินและดีเซล เช่นน้ำมันเตาซึ่งมีราคาถูก
และแต่ละโรงกลั่นก็ได้ผลิตภัณฑ์ไม่เท่ากัน
"ในการกลั่นไม่ได้ใช้น้ำมันดิบดูไบเพียงอย่างเดียว แต่ที่ต้องอ้างอิงราคาดูไบเพื่อให้ง่ายขึ้น
เช่นถ้ามีการซื้อน้ำมันที่มีคุณภาพดีกว่าน้ำมันดูไบราคาที่นำเข้าก็แพงกว่าดูไบ
แต่ถ้าคุณภาพแย่กว่าราคาก็ต้องถูกลง ซึ่งก็ต้องมีต้นทุนในการจัดหา
ก็มีคำถามมาอีกว่าทำไมค่ากลั่นในช่วงนี้มันสูงนัก ความจริงสูงแล้วก็น่าจะดี
เพราะประเทศจะได้เก็บภาษีได้เพิ่มสูงขึ้น
ซึ่งค่าการกลั่นจะสูงหรือต่ำนั้นขึ้นอยู่กับราคาของผลิตภัณฑ์
แต่ก็มีตัวแปรหลายตัวที่จะทำให้เปลี่ยน เช่นสเปคของน้ำมัน ถ้าสเปคสูงมากราคาก็จะสูงมากตามไปด้วย"
นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับดีมานด์และซัพพลายของน้ำมัน ซึ่งขณะนี้ดีมานด์ในภูมิภาคมีสูง
โดยเฉพาะจากจีนและอินเดียที่มีความต้องการใช้น้ำมันมาก
ขณะที่ปริมาณการกลั่นของโรงกลั่นใกล้จะเต็ม ภายใน 2-3 ปีข้างหน้านี้
หรือแม้แต่ไทยดีมานด์ก็สูงโดยเฉพาะน้ำมันดีเซล จะเดินเต็มที่ในปี 2548-2549
แต่ยังไม่มีใครกล้าที่จะลงทุนสร้างโรงกลั่นแห่งใหม่
เพราะต้องใช้เงินลงทุนสูงเป็นแสนล้านบาท จึงยังไม่มีใครกล้าเสี่ยง
กลัวว่าจะประสบปัญหากำลังการกลั่นเกินความต้องการเหมือนที่ผ่านมา
จึงคาดการณ์ได้ว่าราคาน้ำมันสำเร็จรูปแพงแน่
สรุปได้ว่า ราคาน้ำมันหน้าปั๊มขึ้นอยู่กับราคาหน้าโรงกลั่น
และถ้าเป็นตลาดเสรีก็ต้องขึ้นอยู่กับการแข่งขันด้วย
ส่วนราคาหน้าโรงกลั่นก็ต้องขึ้นอยู่กับภาวการณ์แข่งขันและราคานำเข้าน้ำมัน
ซึ่งสูตรในการคิดไม่มีอะไรพิสดาร อิงราคาตลาดโลกที่อยู่ในตลาดจรสิงคโปร์
ส่วนค่าการกลั่นนั้นเป็นรายได้รวมจากหลายผลิตภัณฑ์ ทั้งน้ำมันเบนซิน ดีเซล
น้ำมันเตา เป็นต้น
มาลบออกจากต้นทุนในการกลั่นทั้งของโรงกลั่นและจากราคาน้ำมันดิบผสมที่ซื้อมากลั่น
ซึ่งจะสูงหรือต่ำก็ขึ้นอยู่กับตลาด ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์และดีมานด์ของผู้ซื้อรายใหญ่อย่างจีน
อินเดีย สหรัฐอเมริกา แต่พอมีการพูดถึงเรื่องนี้ก็พูดกันคนละที 2 ที
จึงสร้างความสับสนให้กับสังคม
อุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมัน
หลักพื้นฐานของการกลั่นน้ำมัน -
ภาพรวมของกระบวนการกลั่นน้ำมัน
กระบวนการกลั่นน้ำมัน คือกระบวนการการแยกโมเลกุลสารไฮโดรคาร์บอนที่อยู่ในน้ำมันดิบ
และแปรสภาพสสารดังกล่าวให้เป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูปที่มีมูลค่าสูงกว่า
โรงกลั่นน้ำมันได้รับการออกแบบให้สามารถกลั่นน้ำมันดิบหลายประเภทรวมถึงวัตถุดิบอื่น ๆ ให้เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ ตามความต้องการของตลาด
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้กำไรในการกลั่นน้ำมัน (Refinery Margin) สูงสุด
โดยทั่วไปแล้ว หน่วยผลิตแต่ละหน่วยภายในโรงกลั่นน้ำมันจะทำหน้าที่ได้อย่างน้อยอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
-
กลั่นแยกสารไฮโดรคาร์บอนหลาย ๆ ประเภทที่อยู่ในน้ำมันดิบตามจุดเดือดที่ต่างกัน
-
แปรสภาพไฮโดรคาร์บอนให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่ามากขึ้น
-
ปรับปรุงผลิตภัณฑ์โดยการแยกสารปนเปื้อนออก
-
ผสมผลิตภัณฑ์ชั้นกลาง (Intermediate Streams) เป็นน้ำมันสำเร็จรูป
น้ำมันดิบเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการกลั่นน้ำมัน
คุณภาพของน้ำมันดิบและชนิดหน่วยกลั่นต่าง ๆ
ในโรงกลั่นน้ำมันจะกำหนดวิธีการกลั่นน้ำมัน
และระดับความสามารถในการเปลี่ยนน้ำมันดิบ
เป็นน้ำมันสำเร็จรูปชนิดต่าง ๆ ที่เหมาะสม
โดยทั่วไป การแบ่งประเภทของน้ำมันดิบจะแบ่งตามความหนาแน่น (Density)
จากต่ำไปสูง (Light to Heavy) และปริมาณกำมะถัน จากต่ำไปสูง (Sweet to Sour)
น้ำมันดิบประเภทที่มีความหนาแน่นและกำมะถันต่ำ (Light Sweet Crude Oil)
จะมีราคาสูงกว่าน้ำมันดิบประเภทที่มีความหนาแน่นและกำมะถันสูง (Heavy Sour Crude Oil)
ทั้งนี้ เพราะกระบวนการกลั่นและกระบวนการกำจัดสารปนเปื้อนที่มีขั้นตอนน้อยกว่า
และให้ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่มีราคาสูงในปริมาณมากกว่า เช่น น้ำมันเบนซิน
น้ำมันก๊าดและ
น้ำมันดีเซล
โดยปกติน้ำมันดิบประเภทที่มีความหนาแน่นสูงและกำมะถันสูงจะขายในราคาถูกกว่าน้ำมันดิบประเภทที่มีความหนาแน่นต่ำหรือมีกำมะถันต่ำเพราะจะให้ผลิตภัณฑ์มูลค่าต่ำและต้องใช้กระบวนการผลิตเพิ่มเติมเพื่อให้ได้น้ำมันชนิดเบาที่มีมูลค่าสูง
ผลที่ตามมาคือ โรงกลั่นน้ำมันพยายามที่จะมีการกลั่นน้ำมันดิบและวัตถุดิบอื่น ๆ
เพื่อให้ผลประโยชน์สูงสุด โดยคำนึงถึงหน่วยเปลี่ยนแปลงสภาพโมเลกุล (Conversion Unit)
และหน่วยกำจัดสารปนเปื้อน (Treating Unit) ของแต่ละโรงกลั่นราคาของสินค้าในปัจจุบันและที่คาดการณ์ในอนาคต ชนิดของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ
และราคาน้ำมันดิบและวัตถุดิบอื่น
กระบวนการกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์เป็นกระบวนการที่สามารถแปลงสภาพวัตถุดิบที่มีราคาต่ำ
เช่น น้ำมันดิบที่มีความหนาแน่นสูงและกำมะถันสูงให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่ามากขึ้น
โดยทั่วไปแล้ว ระดับความซับซ้อน(Complex) ของโรงกลั่นน้ำมันขึ้นอยู่กับจำนวน
และชนิดหน่วยเปลี่ยนแปลงสภาพโมเลกุล (Conversion Unit) ที่มี
และความยืดหยุ่นและความสามารถในการเลือกใช้วัตถุดิบต่าง ๆ ที่มี
จะทำให้โรงกลั่นน้ำมันอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบที่จะใช้ประโยชน์จากน้ำมันดิบที่ราคาถูก
ซึ่งจะทำให้บริษัทได้รับกำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น
ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูปที่สำคัญ
ผลิตภัณฑ์ดังต่อไปนี้เป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูปหลักที่ได้จากโรงกลั่นน้ำมัน
เศรษฐศาสตร์การกลั่นน้ำมัน (Economics of Refining)
โดยหลักแล้วการกลั่นน้ำมันเป็นธุรกิจที่อยู่บนฐานกำไร (Margin)
โดยเป้าหมายของผู้กลั่นน้ำมันคือ
การทำให้กระบวนการกลั่นน้ำมันมีประสิทธิภาพสูงสุดและได้ผลิตภัณฑ์ที่มีผลตอบแทนดีที่สุดจากวัตถุดิบที่ใช้
ในโรงกลั่นน้ำมันแบบพื้นฐาน (Simple Refinery) ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปส่วนใหญ่ จะเป็นน้ำมันชนิดหนัก (Heavy Products) และมีมูลค่าน้อย เช่น น้ำมันเตาและผลผลิตส่วนน้อยอันได้แก่ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด
และน้ำมันดีเซล
ทั้งนี้ ปริมาณผลิตภัณฑ์จะขึ้นอยู่กับชนิดน้ำมันดิบ และวัตถุดิบที่ใช้
กำไรจากการกลั่นน้ำมัน (Refinery Margin) คำนวณโดยการนำมูลค่าทั้งหมดของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้หักด้วยต้นทุนราคาน้ำมันดิบและวัตถุดิบอื่น
และสาธารณูปโภคที่ซื้อจากภายนอก
กำไรการกลั่นของโรงกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์ (Complex Refining Margin)
ต่างจากกำไรของโรงกลั่นน้ำมันแบบพื้นฐาน (Simple Refining Margin) ตรงที่การกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์ จะได้น้ำมันชนิดหนัก (Heavy Products)
เป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าเพราะโรงกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์ (Complex Refinery) จะมีหน่วยกลั่นที่สามารถแปรสภาพน้ำมันชนิดหนักที่มีมูลค่าต่ำให้เป็นน้ำมันชนิดเบา (Light Products)
ที่มีมูลค่าสูงกว่าได้
โรงกลั่นน้ำมันที่มีระบบที่คอมเพล็กซ์กว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนการผลิตที่สูงกว่าเนื่องด้วยความสามารถในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง
โดยใช้น้ำมันดิบหรือวัตถุดิบอื่นที่มีต้นทุนต่ำกว่า
ผลที่ตามมาก็คือกำไรการกลั่นแบบคอมเพล็กซ์ (Complex Margin)
จะสูงกว่ากำไรการกลั่นแบบพื้นฐาน
โรงกลั่นน้ำมันที่มีหน่วยเพิ่มคุณค่าผลิตภัณฑ์ (Upgrading Unit)
จะสามารถเพิ่มปริมาณน้ำมันเบนซิน
น้ำมันก๊าดและน้ำมันดีเซล น้ำมันเหล่านี้ จะมีมูลค่ามากกว่าน้ำมันเตา
มารีนเนอร์ไทยดอทคอม
|
MarinerThai.Com
|