RFID : Radio Frequency Identification เทคโนโลยีที่อเมริกันยังจด ๆ จ้อง ๆ
RFID : Radio Frequency Identification เทคโนโลยีที่อเมริกันยังจด ๆ จ้อง ๆ
โดย
ผู้จัดการรายสัปดาห์ 8 ธันวาคม 2548
โดย สายัณห์ จันทร์วิภาสวงศ์
ผมได้มีโอกาสรับรู้ ดูงาน Logistics ที่อเมริกาเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2548
จึงอยากจะนำเรื่อง RFID มาเล่าสู่กัน
RFID หรือคือคำย่อจาก Radio Frequency Identification เป็นเทคโนโลยีที่มีมานานแล้ว
แต่เราอาจจะไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ควร
เพราะอาจจะดูว่าทันสมัยและแพงเกินความจำเป็น
RFID เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นวิทยุในการตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ ใช้ได้ในธุรกิจหลาย ๆ
ประเภท เป็นต้นว่า ใช้ตรวจสอบสินค้าในตู้คอนเทนเนอร์
ใช้ตรวจสอบจัดเก็บและเบิกสินค้าในคลังสินค้า ใช้ในห้างสรรพสินค้า ใช้ในไร่ปศุสัตว์
ตัวอย่างง่าย ๆ ที่เราเห็นและสัมผัสได้ในบ้านเราก็คือ
เวลาที่เราเข้าไปในห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ เราจะเห็นปุ่มหรือแถบใหญ่ ๆ ขาว ๆ (บางแห่งก็เป็นสีเทา)
เราเรียกมันว่า Tag ติดอยู่กับกางเกง เสื้อ กระโปรงที่มีราคาแพง
หรือติดกับขวดเหล้าที่มีราคาแพง หากเราเผลอเดินถือของที่ติดปุ่มขาว ๆ
เหล่านั้นออกจากห้างสรรพสินค้าโดยลืมจ่ายเงิน มันก็จะมีเสียงดังเกิดขึ้น
คนเก็บเงินที่โต๊ะแคชเชียร์ก็จะเรียกคนมาจับเราข้อหาลักทรัพย์
เพราะเจ้าปุ่มที่ติดกับเสื้อผ้าและมีคนถือมันเดินผ่านเครื่องอ่าน (Reader)
ซึ่งติดอยู่ตรงทางออก
ก็จะส่งคลื่นสัญญาณเป็นเสียงเตือนว่ามีของออกจากช่องจ่ายเงินโดยยังไม่ได้ชำระเงิน
เจ้า RFID นี้ บางบริษัทในประเทศไทยได้เริ่มทดลองใช้แล้ว ต้องยอมรับว่า
มันมีประโยชน์มากเพราะช่วยลดเวลาในการทำงาน
โดยเฉพาะระบบการตรวจสอบสินค้าเข้าออกจากโรงงานเพราะตัว Tag
หรือคือตัวที่ติดกับตัวสินค้านั้น (ซึ่งโรงงานบางแห่งติดกับตัวกุญแจที่เปิด-ปิดตู้คอนเทนเนอร์)
จะบรรจุข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับสินค้าซึ่งอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์
เมื่อตู้คอนเทนเนอร์ซึ่งอยู่บนรถเคลื่อนผ่านประตู และมีตัว Reader อยู่ตรงปากประตู
ตัว Reader ก็จะส่งข้อความไปที่คอมพิวเตอร์ว่า ของในตู้คอนเทนเนอร์มีอะไร
เป็นสินค้าตัวไหน รุ่นอะไร ราคาเท่าไหร่ Invoice เบอร์อะไร ตู้คอนเทนเนอร์เบอร์อะไร
รถที่ใช้บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์เลขทะเบียนอะไร จะขนตู้คอนเทนเนอร์ไปไหน
ออกจากโรงงานกี่โมง
ระบบการตรวจสอบสินค้าเข้าออกจากโรงงานเพราะตัว Tag
ข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับสินค้า รถบรรทุกและรายละเอียดอื่น ๆ
ที่ต้องการรู้จะอยู่ใน Tag ที่ติดกับตู้คอนเทนเนอร์ไปปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์ผ่านตัว
Reader
ตัวอย่างของเครื่อง
TAG ที่ติดตั้งกับตู้คอนเทนเนอร์
ตัวอย่างของเครื่อง
Reader พร้อมสายต่อแบบ RS232
กับเครื่องคอมพิวเตอร์
ไม่เพียงเท่านั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลโดยผ่าน Internet ได้ด้วย
เช่น ผมอยากทราบว่า กุ้งกุลาดำของผม 10 ตู้ที่ส่งไปนิวยอร์กอยู่ในเรือลำไหน
ตู้คอนเทนเนอร์เบอร์อะไร ก็ดูได้จาก Website เลย
ถามว่า ข้อมูลเหล่านี้มาจากไหน คำตอบก็คือมาจากการ enter
ข้อมูลเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์
ปัจจุบัน RFID ที่ใช้ในประเทศไทย ส่วนมากใช้กับสินค้าที่จัดเก็บขนย้ายโดยระบบ
Pallet โดยติด Tag ไว้ที่ Pallet หรือที่ตู้คอนเทนเนอร์ ในต่างประเทศ RFID
ใช้ในไร่ปศุสัตว์เพื่อติดตามว่าสัตว์แต่ละตัวอยู่ในบริเวณไหนของทุ่งหญ้า บางแห่ง
เช่น ที่ Wall-Mart สหรัฐอเมริกา เริ่มใช้ RFID ในตัวสินค้าและกำหนดให้ Supplier
ในต่างประเทศต้องใช้ระบบ RFID
"จุดมุ่งหมายของการใช้ RFID ก็เพื่อต้องการความสะดวก รวดเร็วในการติดตามตัวสินค้า
ทั้งในคลังสินค้าและระหว่างการขนส่ง การลดระบบงานและเอกสาร รวมถึงความรวดเร็ว
แม่นยำในการกำหนดกลยุทธ์และแผนปฏิบัติต่าง ๆ ซึ่งจะนำไปสู่การลดต้นทุนในด้าน
Logistics และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้ลูกค้า"
อย่างไรก็ตาม แม้ RFID จะเป็นเทคโนโลยีที่ดี
แต่มันก็เป็นเพียงเทคโนโลยีอย่างหนึ่งในการกระบวนการของ Logistics
ซึ่งจะต้องลงทุนขั้นต้นสูง การจะปรับระบบ Logistics
ให้มีประสิทธิภาพเพื่อบรรลุเป้าหมายที่แท้จริงด้านการลดต้นทุนและสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้านั้น
คงไม่พิจารณาแต่เพียงการนำเทคโนโลยีมาใช้เท่านั้น
แต่ต้องพิจารณากระบวนการทั้งหมดของ Logistics ทั้งภายในและภายนอกองค์กร
รวมถึงบุคลกรในองค์กรด้วย
จากการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ Logistics ที่อเมริกาเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2548
ได้ข้อมูลว่าบริษัทที่ใช้ RFID ในงาน Logistics ที่อเมริกานั้น มีเพียง 4% อีก 96%
ยังคงใช้ระบบ Barcode อยู่
สาเหตุที่ RFID ในอเมริกายังไม่แพร่หลายเพราะต้องลงทุนสูง ฝรั่งที่ผมคุยด้วยบอกว่า
บริษัทส่วนใหญ่ยังไม่อยากลงทุน อยากจะให้ Wal-Mart หรือบริษัทอื่น ๆ ที่ใช้ RFID
ทำไปก่อน เพื่อดูผลดี-ผลเสีย หากเห็นว่าเหมาะสม คุ้มทุน และได้ประโยชน์จริง ๆ
จึงจะลงทุน
อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าอีกไม่เกิน 3 - 5 ปี RFID
จะเป็นเทคโนโลยีที่จะใช้แพร่หลายในระบบ Logistics และ Supply Chain บริษัทใหญ่ ๆ
หรือองค์กรรัฐวิสาหกิจของรัฐจะเริ่มต้นก่อน
แม้แต่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยก็เริ่มต้นกับ RFID แล้ว
การจะเริ่มต้น RFID ในขณะนี้ โดยศึกษาลักษณะ ข้อดี-ข้อเสีย การศึกษาระบบการจัดการ
Logistics ขององค์กร และกำหนดแผนฝึกอบรมบุคลากรแต่เนิ่น ๆ
จึงเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันที่ดี
ระบบการชี้เฉพาะด้วยคลื่นความถี่วิทยุ RFID (Radio Frequency Identification)
คือระบบชี้เฉพาะอัตโนมัติ (Automatic Identification) แบบไร้สาย (Wireless)
ระบบนี้จะประกอบด้วยอุปกรณ์สองส่วน คือ ส่วนเครื่องอ่าน (Reader) และส่วนป้ายชื่อ (Tag)
โดยการทำงานนั้นเครื่องอ่านจะทำหน้าที่จ่ายกำลังงานในรูปคลื่นความถี่วิทยุให้กับตัวบัตร
ยังผลให้วงจรอิเล็กทรอนิกส์ภายในสามารถส่งข้อมูลจำเพาะที่แสดงถึง "Identity"
กลับมาประมวลผลที่ตัวอ่านได้
โครงสร้างการทำงานของระบบ RFID แบบ Inductive Coupling
ความเป็นมาและเหตุผล
ในปัจจุบัน การใช้บัตรอัจฉริยะ (SmartCard) และระบบตรวจสอบรหัสโดยใช้ความถี่วิทยุ (RFID)
เป็นที่ยอมรับอย่างสูงว่า
เป็นเทคโนโลยีที่เอื้ออำนวยต่อการใช้งานที่ต้องการการบ่งบอกความแตกต่างหรือข้อมูลจำเพาะของแต่ละบุคคล
ที่สามารถทำงานได้ถูกต้องแม่นยำ รวดเร็ว
และมีความเป็นอัตโนมัติกว่าระบบตรวจสอบรหัสในระบบอื่นๆ เช่น รหัสแบบแท่ง (Barcode)
การใช้งานที่ง่ายและยังเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการเสริมในเชิงพาณิชย์ด้านต่างๆ
อีกทั้งยังสอดคล้องกับเทคโนโลยีทางการเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์
ยังผลให้การขยายตัวของการใช้งาน RFID/SmartCard สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด
วัตถุประสงค์ของโครงการ
โครงการ RFID เป็นโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์วงจรรวมชิปเดี่ยวเพื่อใช้ในบัตรอัจฉริยะ (SmartCard
Chip) ชนิดไร้สัมผัส (Contactless) เพื่อสร้างต้นแบบให้กับผู้ประกอบการ RFID/SmartCard
ในประเทศไทย นำไปพัฒนาต่อในเชิงพาณิชย์ เป็นการยกระดับขีดความสามารถในการพัฒนา
ออกแบบ และผลิตอุปกรณ์ด้านวงจรรวม
และสนับสนุนให้เกิดผลผลิตทางการออกแบบวงจรรวมของสถาบันวิจัยในประเทศ
ซึ่งเป็นฐานสำหรับการพัฒนาบุคลากรทางด้านไมโครอิเล็กทรอนิกส์ชั้นสูง
ทั้งยังสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างมากให้กับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
คุณสมบัติของต้นแบบชิป RFID
เป็นระบบชี้เฉพาะด้วยความถี่วิทยุบนชิปเดี่ยว
เป็นระบบไร้สัมผัส
(Contactless)
ใช้งานในย่านความถี่ 13.56 MHz
มีหน่วยความจำพรอมอนุกรมแบบโปรแกรมได้ครั้งเดียวขนาด 64 บิต
ใช้การเข้ารหัสข้อมูลแบบอินเวอร์สแมนเชสเตอร์ขนาด 70 กิโลบิตต่อวินาที
มีระบบป้องกันการชนกันของข้อมูล (Anti-Collision Feature)
ขนาดได (Die)
2,270 x 2,620 ตารางไมครอน
กินกำลังไฟ140 ไมโครวัตต์
ที่ 3.3 โวลต์
ออกแบบโดยใช้เทคโนโลยีซีมอส 0.8 ไมครอน
การประยุกต์ใช้งาน
ระบบการบอกรหัสสัตว์เลี้ยง (Animal identification)
ระบบทะเบียนประวัติ บัตรประชาชน (e-Citizen)
ระบบข้อมูลประวัติการรักษาพยาบาล (Health Care)
ระบบตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ (e-Ticket)
ระบบบัญชีรายการอัตโนมัติ (Automated Inventory)
ระบบบอกรหัสพนักงาน (Automatic Teller)
ระบบอนุญาตเข้าออกสำนักงาน (Security Access)
ใช้แพลตฟอร์มออกแบบ Cadence ED
ต้นแบบภาคสนามเครื่องอ่าน ต้นแบบชิป RFID Tag