การคิดค่าระวางเรือ Container
การคิดค่าระวางเรือ Container
การขนส่งสินค้าด้วยระบบตู้คอนเทนเนอร์
ได้รับการยอมรับเป็นรูปแบบการขนส่งมาตรฐาน โดยคิดเป็น สัดส่วนประมาณถึง 95%
ของการขนส่งสินค้าทางทะเล โดยผู้ประกอบการขนส่งด้วยระบบตู้คอนเทนเนอร์
จะมีเพียงไม่มากรายเมื่อเทียบกับปริมาณของการขนส่ง โดยผู้ให้บริการสายการเดินเรือ
ซึ่งเรียกว่า Carrier จะมีการรวมตัวกันเป็นชมรม (Conference)
ซึ่งจะมีบทบาทต่อการกำหนดค่าขนส่งสินค้า
และค่าบริการในอัตราที่บางครั้งมีลักษณะกึ่งผูกขาด
โดยชมรมสายการเดินเรือที่สำคัญของโลกอาจประกอบด้วย
1)
Far Eastern Freight Conference (FEFC)
ซึ่งจะเป็นบริการรับขนสินค้าจากเอเซียไปยุโรป โดยเน้นที่สินค้าที่ไปทางทะเล
เมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งจัดว่าเป็นอาณาบริเวณซึ่งมีการขยายตัวประมาณ 24%
และสินค้าที่ไปทางรัสเซียด้านตะวันออก St.Petersburg
2) Asia /
West Coast South America
จะเป็นการเดินเรือในด้านตะวันตกของเอเซีย จนไปถึงทวีปอเมริกาใต้
3) Informal
Rate Agreement (IRA)
ชมรมนี้จะครอบคลุมธุรกิจจากเอเชียไกล ไปถึงเอเชียภาคตะวันออกกลาง
ครอบคลุมไปถึงเกาหลี , จีน , ฮ่องกง , ใต้หวัน , เวียดนาม , ไทย , ฟิลิปปินส์ ,
มาเลเซีย , สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย
4) Trans
Pacific
ครอบคลุมอาณาบริเวณริมมาหสมุทรแปซิฟิก ออสเตรเลีย , นิวซีแลนด์ ,อเมริกา West Coast
วิธีการคิดค่าระวางเรือ หรือ ค่า Freight
เนื่องจากในปัจจุบัน
การขนส่งสินค้าส่วนใหญ่จะใช้การขนส่งทางทะเลด้วยเรือประเภท Container Ship
จึงควรเข้าใจถึงลักษณะและประเภทของ Container ซึ่งจะเป็น Durable Packing
เป็นลักษณะตู้ทำด้วยเหล็กหรือ อลูมิเนียม มีขนาดมาตรฐาน 20 ฟุต และ 40 ฟุต
บริษัทเรือจะต้องเป็นผู้เตรียมตู้ Container
โดยผู้ที่จะใช้ตู้จะต้องทำการจองตู้ โดยเอกสารที่เรียกว่า Shipping Particular
หรือที่เรียกกันง่ายๆว่าใบ Booking รายละเอียดจะต้องคล้องจองกับ Letter of Credit
(L/C)
เอกสารที่ใช้ในการเป็นใบรับสินค้าของตัวแทนบริษัทเรือ จะเรียกว่า
Bill of Lading (B/L) หรือใบตราส่ง
ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญในการเป็นเอกสารในการเรียกเก็บเงินจากทางธนาคาร ซึ่งเรียกว่า
Bank Negotiated Process
ในการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศคู่ค้า จะต้องมีการตกลงว่า
ผู้ซื้อหรือผู้ขายสินค้า จะเป็นคนจ่ายค่าระวางเรือที่เรียกว่า Freight Charge
หากผู้ขายสินค้าเป็นผู้ชำระก็เรียกว่า Freight Prepaid
หากจะให้ผู้ซื้อเป็นผู้ชำระค่าระวางเรือเมื่อถึงปลายทาง ก็เรียกว่า Freight Correct
การคิดค่าระวางเรือ
(Freight Charge Basic)
1)
Weight Ton
คำนวณจากน้ำหนักสินค้าที่บรรทุก
และจะมีอัตราการคิดที่แตกต่างกันตามแต่ละประเภทของสินค้า
2)
Measurement
คำนวณจากปริมาตรของสินค้า คือ เป็นการวัดขนาดของสินค้า กว้าง x ยาว x สูง
คำนวณออกมาเป็น ลูกบาศก์เมตร (M3 หรือ CBM) มักจะใช้กับสินค้าที่มีลักษณะ Bulk คือ
มีลักษณะเป็น Size Insentive เช่น เสื้อผ้า , ฝ้าย
แต่ทั้งที่จะต้องมีการชั่งน้ำหนัก โดยเปรียบเทียบว่า หากน้ำหนัก (Weight Ton)
สูงกว่า ก็จะคิดค่าระวางจากน้ำหนัก
3) V (Ad
Valorem Goods)
คำนวณจาก Degree สินค้ามีราคาสูง ถึงแม้ว่าจะมีปริมาตรน้อย น้ำหนักไม่มาก
แต่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ การคิดค่าระวางก็จะคิดเพิ่มอีก 3-5 เท่า
ตามมูลค่าสินค้า
4)
ค่าระวางพิเศษ
ได้แก่ ค่าใช้จ่ายทั้งหลายที่บริษัทเรือ คิดเพิ่มเติมจากค่าระวางพื้นฐาน
ซึ่งประกอบด้วย
(1)
ค่าระวาง Surcharge
เป็นค่าใช้จ่ายพิเศษที่มีการเรียกเก็บ เนื่องในกรณีต่างๆ เช่น ภัยสงคราม
หรือในช่วงที่มีการ Peak Season
(2)
Terminal Handling Charge : THC
เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการ ขนถ่ายสินค้าทั้งต้นทางและปลายทาง ได้แก่
การใช้เครนที่เรียกว่า Top คือ ค่าภาระ , ค่าลากตู้สินค้า
(3)
Bunker Adjustment Factor : BAF
เป็นค่าระวางพิเศษ ชดเชนภาระค่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีการปรับตัวสูงขึ้น
เนื่องจากเกิดวิกฤติการณ์ด้านน้ำมัน
ซึ่งทำให้บริษัทเรือมีต้นทุนที่สูงขึ้นกว่าต้นทุนปกติ ก็จะมีการเรียกเก็บค่า BAF
หรือที่เรียกง่ายๆว่า Bunker Charge ซึ่งอาจจะขึ้นและลงได้ เป็นไปตามดุลยภาพของ
Demand & Supply
(4)
Currency Adjustment Factor : CAF
เป็นค่าปรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา โดยค่าระวางเรือส่วนมาก จะเรียกเก็บเป็นเงินสกุลดอลล่าห์สหรัฐฯ
หากกรณีอัตราแลกเปลี่ยนมีการผกผัน ทางบริษัทเรือก็จะมีการเรียกเก็บ
(5)
Congestion Surcharge
เป็นค่าใช้จ่ายพิเศษเนื่องจากความแออัดในท่าเรือ
เป็นค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บเนื่องจากบางท่าเรืออาจมีการบริหารจัดการไม่ดี
ทำให้มีการขนย้ายตู้ขึ้นและลงล่าช้ากว่าเกณฑ์ที่ทางบริษัทเรือกำหนดไว้
ซึ่งอาจจะเกิดจากเหตุอื่น เช่น การจราจรที่ติดขัด การนัดหยุดงานของคนงาน
ซึ่งมีผลทำให้งานล่าช้า
(6)
Bill of Lading Charge : B/L Charge
ค่าออกใบตราส่ง เป็นค่าธรรมเนียมในการที่บริษัทเรือต้องจัดพิมพ์ใบ Bill of Lading
ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่ใช้ในการแสดงสถานะภาพ (Status)
ว่าสินค้าได้มีการขนส่งไปกับบริษัทเรือ ซึ่ง B/L
หรือที่เรียกว่าใบตราส่งจะมีออกเป็นหลายฉบับ เช่น ฉบับที่เรียกว่า Original ,
Duplicate Original , Triple Original และ Copy Non-Negotiate
ทั้งหมดนี้ทางบริษัทเรือจะเรียกเก็บเป็นค่าใช้จ่ายในการทำเอกสาร
(7)
AMSC : Advance Manifest Security Charge
เป็นค่าใช้จ่ายในการที่บริษัทเรือต้อง Input Data 24 ชั่วโมงก่อนการขนถ่ายสินค้า
ที่เรียกว่า 24 Hour Rules ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการความร่วมมือ
การป้องกันผู้ก่อการร้ายที่เรียกว่า C-TPAT (Customs Trade Partnerships
Against Terrorism) ซึ่งประเทศไทยถูกจัดอยู่ในลำดับสุดท้ายของ Top Twenty Mega Port
ในการขนส่งสินค้า จึงต้องเสียค่า AMSC Charge รวมถึงการแก้ไขเอกสาร
การส่งมอบสินค้าขาเข้าที่มากับเรือคอนเทนเนอร์ของตัวแทนสายเดินเรือ
บทบาทและหน้าที่ในการส่งมอบสินค้าขาเข้าของตัวแทนสายเดินเรือ
จําแนกตามเงื่อนไขการบรรทุก มีรายละเอียดตามตารางดังต่อไปนี้
TERM OF LOADING
บทบาทและหน้าที่
CFS. (Container Freight Station)
•
นําตู้คอนเทนเนอร์ลงจากเรือ
•
นําสินค้าออกจากตู้คอนเทนเนอร์
•
ส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้นําเข้า ณ ท่าเรือนําเข้า
หรือนําสินค้าเข้าเก็บในคลังสินค้าของท่าเทียบเรือ
CY
(Container Yard)
•
นําตู้คอนเทนเนอร์ลงจากเรือ
•
ส่งมอบตู้คอนเทนเนอร์ให้แก่ผู้นําเข้า ณ ท่าเรือนําเข้า
การรับมอบสินค้าขาออกที่ส่งออกทางเรือคอนเทนเนอร์ของตัวแทนสายเดินเรือ
บทบาทและหน้าที่ในการรับมอบสินค้าขาออกของตัวแทนสายเดินเรือ จําแนกตามเงื่อนไขการบรรทุก
มีรายละเอียดตามตารางดังต่อไปนี้
TERM OF LOADING
บทบาทหน้าที่
CFS . (Container
Freight Station)
Remark: CFS charge to
U.S.A. & Europe
As of Aug 1, 2000
20' = Baht 4,215
40' = Baht 8,430
•
จัดหาตู้คอนเทนเนอร์ให้แก่ผู้ส่งออก
•
ตรวจนับและบรรจุสินค้าเข้าตู้
•
บรรทุกตู้สินค้าขึ้นเรือใหญ่
• ออก B/L
CY (Container
Yard)
Remark: (B/L to be stated
Shipper Load and Count)
ข้อดี
- ไม่ต้องเสียค่า CFS
charge
-
ลดการขนย้ายสินค้าหลายทอด
ข้อเสีย
- Shipper
จะต้องรับผิดชอบของที่อยู่ในตู้คอนเทนเนอร์จนถึงปลายทาง
•
จัดหาตู้คอนเทนเนอร์ให้แก่ผู้ส่งออก
•
บรรทุกตู้สินค้าขึ้นเรือใหญ่
• ออก B/L