เมื่อข้าพเจ้าจี้จอมพล 3
เมื่อข้าพเจ้าจี้จอมพล [3]
น.ต.มนัส จารุภา
เมื่อได้ประสานกำลังกับทหารบกบางหน่วยในพระนครและหน่วยกำลังทหารหัวเมืองที่จะเคลื่อนเข้ามาแล้ว
เราก็จะมีกำลังที่เหนือกว่าฝ่ายรัฐบาลมากมายสามารถจะบีบบังคับรัฐบาลให้ยอมจำนนได้
ทั้งนี้เราจะพยายามโดยใช้สันติวิธีทุกประการ จะไม่ยอมใช้อาวุธใด ๆ
เพราะเราเป็นคนไทยด้วยกัน นอกจากจะป้องกันตัวเมื่อถูกโจมตีก่อน
ถ้าเหตุการณ์เป็นผลสำเร็จตามแผน
ปัญหาต่อไปก็คือเรื่องการจัดตั้งคณะรัฐบาลขึ้นบริหารประเทศเป็นการชั่วคราว
ในเรื่องนี้เราได้มอบให้ท่านผู้ใหญ่ในฝ่ายเราเป็นผู้เลือกเฟ้น
และเนื่องจากพวกเรามิได้เป็นพรรคเป็นพวกของฝ่ายใด ๆ
จึงได้ขอรองให้คัดเลือกเอาแต่บุคคลที่เห็นว่ามีความสามารถ
และมีเกียรติประวัติดีงามเป็นที่เลื่อมใสของประชาชนมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราว
ทำการบริหารประเทศภายใต้รัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ในขณะนั้น
(รัฐธรรมนูญฉบับถาวรพุทธศักราช 2492) ต่อจากนั้นจะได้จัดตั้งคณะรัฐบาลถาวรในภายหลง
ตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญดังกล่าว
พวกเราซึ่งเป็นคนหนุ่มมิได้มีความมักใหญ่ใฝ่สูงอยากเป็นใหญ่เป็นโตดังที่ชอบกล่าวหากัน
เราจะขอเพียงให้ได้มีส่วนร่วมในการจัดการปรับปรุงในด้านการงานของแต่ละฝ่าย
เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการณ์เท่านั้น
และจะพร้อมอยู่เสมอเพื่อสนับสนุนคณะรัฐบาลที่บริหารประเทศด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
แผนการดังกล่าวเป็นแผนการที่พวกเราปรารถนาและหวังจะให้บังเกิดขึ้น
แต่ที่มิได้เป็นไปตามมุ่งหมายก็เพราะความไม่เด็ดขาดเข้มแข็งและความไม่แน่นอนลังเลใจ
ไม่กระทำตามที่นัดหมายไว้ ซึ่งข้าพเจ้าได้กล่าวถึงแล้วในบทที่สอง
การลงมือปฏิบัติการไม่พร้อมเพรียงกันทุกหน่วยงานนี้เอง
จะเปรียบได้ก็เหมือนกับตีงูข้างหาง จึงยังผลให้เกิดการสู้รบเสียเลือดเนื้อ
ทรัพย์สินของชาติอย่างมากมาย เกินกว่าที่จะคาดถึง ข้าพเจ้าเองก็ต้องเตลิดเปิดเปิง
พลัดพรากจากทุกสิ่งทุกอย่าง
มานั่งรำลึกรำพึงถึงความผิดหวังอยู่ท่ามกลางความหนาวเย็นของอากาศกลางดึกที่สงัดเงียบภายใต้หลังคาตูบเล็กที่ตั้งอยู่เชิงเนินเขานี้
วันจี้จอมพล
วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2494
ข้าพเจ้าตื่นขึ้นในตอนเช้าตรู่ของวันนี้ด้วยความมั่นใจว่า
งานของเราจะได้ดำเนินไปตามที่ได้ตกลงกันครั้งสุดท้ายในตอนกลางคืนของวันที่ 28
มิถุนายน อาบน้ำแต่งเครื่องแบบเรียบร้อย ก็ขับรถจี๊ปไปรับเครื่องอาวุธที่กองสำรองเรือรบท่าราชวรดิษฐ์
แล้วขับรถต่อไปยังจุดนัดพบที่หน้าโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ณ
ที่นั้นจะได้ถ่ายบรรดาเครื่องอาวุธ ซึ่งมีปืนกลมือแบบแมดเสน
และลูกระเบิดมือไปยังรถยนต์ของ พ.ต.วีระศักดิ์ มัณฑจิตร
ข้าพเจ้าไปถึงก่อนเวลาเล็กน้อยและเนื่องจากรถจอดชิดข้างทางมากเกินไป ล้อหน้าซ้าย
ซึ่งมีหญ้าปกคลุมไว้อย่างมิดชิด พยายามถอยหลังเท่าใดก็ไม่ขึ้น
ก่อให้เกิดความกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง ลำพังรถจี๊ปนั้นเราสามารถเอาขึ้นได้โดยไม่ลำบากอะไรนัก
และเราเปลี่ยนเอารถคันอื่นมาใช้งานแทนได้ แต่เครื่องอาวุธจำนวนไม่น้อยนั่นสิ
ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกวุ่นวายใจเพราะในเวลาที่ พ.ต.วีระศักดิ์ ยังไม่มานั้น
อาจมีผู้ใจดีคนหนึ่งคนใดมาช่วยเหลือยกรถให้ เขาก็จะต้องเห็นปืนกลมือหลายกระบอก
วางอยู่ในรถเป็นแน่ อย่างน้อยเขาก็จะต้องสงสัยว่าข้าพเจ้าขับรถมาคนเดียว
เหตุไฉนจึงจนเอาปืนและของอื่นมามากนัก ความสงสัยเล็กๆ น้อยๆ
อาจจะทำให้แผนการของเราล้มเหลวลงไปได้ แต่แล้วความลำบากใจก็สิ้นสุดลง
เมื่อข้าพเจ้ามองเห็นรถปอนเตี๊ยกสีน้ำเงินของ พ.ต.วีระศักดิ์
แล้วให้เขารีบเอาไปยังสถานที่ที่กำหนดไว้
เป็นที่ที่แจกจ่ายให้กับพวกพลเรือนที่เข้ามาร่วมงานครั้งนี้
เมื่อ พ.ต.วีระศักดิ์แยกไปแล้ว
ข้าพเจ้าก็เดินไปที่บ้านหลังหนึ่งในบริเวณนั้นขอแรงคนงานมาช่วยยกรถข้าพเจ้าขึ้นจากท่อ
ซึ่งก็ได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดี
จากนั้นขับรถกลับบ้านพักของข้าพเจ้าที่ตำบลศรีย่าน
เพื่อรอเวลาที่จะไปพบกับบรรดาหัวหน้าสายที่จะทำงานเวลา 11.00 น.
ที่ร้านขายอาหารไชยณรงค์ข้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ภรรยาของข้าพเจ้ารู้สึกสงสัยว่าทำไมข้าพเจ้ากลับมาบ้านอีก
ข้าพเจ้าก็เสแสร้งไปว่าลืมเอกสารบางอย่างไว้ ต้องย้อนกลับมา
ในขณะนั้นภรรยาของข้าพเจ้ามีครรภ์แก่มาก
นายแพทย์ผู้รับฝากครรภ์กำหนดว่าจะคลอดภายในระยะเวลาสองสามวันนั้นเอง
การมีครรภ์คราวนี้เป็นครั้งที่สาม เด็กโตมาก เดินเหินอุ้ยอ้าย
ข้าพเจ้ามองแล้วดูแล้วก็รู้สึกสงสารจับใจ
ข้าพเจ้าได้พยายามปิดบังมิให้ทราบในเรื่องที่เกี่ยวกับการทำงานครั้งนี้
ถึงจะมีเพื่อนผู้ร่วมงานมาปรึกษาหารือกันที่บ้าน
ข้าพเจ้าก็ทำให้เป็นเรื่องการเลี้ยงดูกัน ตามประสาของผู้ดื่มเหล้าทั้งหลายไปเสีย
ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจมาแล้วว่าจะทำงานโดยไม่พะวงถึงเรื่องใดๆ
ที่เกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าและในขณะนี้นาทีสำคัญที่เกี่ยวกับชีวิตในครอบครัวได้มาถึงแล้ว
ข้าพเจ้ารำพึงอยู่ในใจว่าถ้าทำงานครั้งนี้สำเร็จ เราก็จะกลับมาเห็นหน้าลูกเมียอีก
หากไม่สำเร็จเราก็คงมีหวังที่จะได้เห็นหน้ากันน้อยเต็มที
และทุกคนก็จะต้องประสบกับความลำบากมิใช่น้อย
ในที่สุดก็หักใจว่าคนที่ลำบากมากกว่ายังมีอีกมากนัก และเขาก็ยังทนอยู่กันได้
และข้าพเจ้าถือว่าเจตนารมณ์ในการทำงานของข้าพเจ้าบริสุทธิ์และมีความตั้งใจจริง
ทั้งเชื่อว่าทุกคนที่มาร่วมงานกันต่างมีความบริสุทธิ์ใจ
และตั้งใจจริงเช่นเดียวกับตัวข้าพเจ้า ฉะนั้น กาปฏิบัติการของ “คณะกู้ชาติ”
จะไม่มีโอกาสพลาดได้เลย
ข้าพเจ้าเดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อไปหาลูกหญิงทั้งสองคนที่วิ่งเล่นอยู่ที่ระเบียบ
กอดและจูบลูกทั้งสอง คนละสองครั้ง แล้วไปกราบที่โกศบรรจุอัฐิของบิดาข้าพเจ้า
ต่อจากนั้นก็เดินลงบันไดมาที่ชั้นล่างพบกับภรรยาซึ่งได้ถามว่าข้าพเจ้าจะไปละหรือ
ข้าพเจ้าก็เอามือลูบศีรษะเบา ๆ แล้วบอกว่าจะไปทำงานละ
เสร็จงานแล้วจะรีบกลับมาโดยเร็ว แล้วก็สวมหมวก หยิบกระเป๋าซิบรูดที่บรรจุปืนกลมือแมดเสนขึ้นหนีบ
ขึ้นนั่งรถรีบขับออกจากบ้านไปโดยเร็ว ตามปกติข้าพเจ้าจะโบกมือให้ลูกในตอนขับรถออกไป
แต่ครั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ได้โบกมือเลย และข้าพเจ้าก็ไม่อาจจะหันหน้าไปโบกมือให้ด้วย
ข้าพเจ้าได้ถึงร้านไชยณรงค์ตามกำหนดเวลา
วันนี้ร้านปิดไม่จำหน่ายอาหารเพราะทางร้านรับส่งอาหารว่าให้แก่ทางราชการทหารเรือ
เพื่อจัดเลี้ยงแขกที่ได้รับเชิญไปในงานพิธีรับมองเรือขุด “แมนฮัตตัน”
อาศัยที่ข้าพเจ้าเป็นลูกค้าประจำอยู่ที่ร้านนี้
จึงเข้าไปนั่งพักรอเพื่อนอยู่โดยไม่มีผู้ใดในร้านจะติดใจสงสัย การพบกัน ณ
จุดนี้เป็นการพบกันครั้งสุดท้าย
เพื่อจะสอบถามกันดูให้แน่นอนว่ามีอะไรขัดข้องหรือไม่
เมื่อทุกคนที่นัดไว้มาพร้อมและทราบว่าทุกๆ สายปฏิบัติการพร้อมแล้ว
ก็ตกลงแยกทางกันไปและรอเวลาที่จะลงมือทำงาน
หากมีสิ่งใดขัดข้องขึ้นในระหว่างระยะเวลานี้ให้รีบติดต่อไปยังกองเรือรบ
ข้าพเจ้าขับรถต่อไปยังกองเรือรบเพื่อรอเวลา
และรอรับเงินเดือนของข้าพเจ้าด้วย ที่นี่ผู้คนคงพลุกพล่านอยู่ปกติ
เพราะกองเรือรบเป็นสถานที่รวมที่ทำการหมวดเรือทั้งหลาย
เมื่อไม่มีวี่แววว่าความลับของเราจะแตกออกมาก่อนเวลา ข้าพเจ้าก็เบาใจ
วันนี้เป็นวันทำพิธีรับมอบเรือขุด “แมนฮัตตัน”
องค์การช่วยเหลือทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเป็นผู้มอบ รัฐบาลไทยเป็นผู้รับมอบ
ใช้สถานที่บริเวณพระที่นั่งราชกิจวินิจฉัยทั้งหมดเป็นที่ทำพิธีและเป็นหน้าที่ของราชการทหารเรือจัดการตกแต่งสถานที่ข้าพเจ้ามองจากชั้นล่างของกาองเรือรบ
เพื่อสำรวจดูลู่ทางที่ข้าพเจ้าและเพื่อนจะต้องจู่โจมเข้าปฏิบัติการ
เรือขุดแมนฮัตตันจอดสนิทแนบข้างตัวเรือสะอาดสะอ้าน
ที่เสาธงท้ายเรือยังคงชักธงชาติอเมริกาอยู่
เต็นท์รับแขกขาวโพลนตั้งอยู่เป็นระเบียบทางด้านริมน้ำ เครื่องอุปกรณ์ต่างๆ
ที่สหรัฐอเมริกาจะมอบให้วางเรียงรายอยู่ทางลานซีเมนต์ด้านตะวันออกของพระที่นั่งราชกิจวินิจฉัย
ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมแล้วตามหมายกำหนดการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐบาล
และข้าพเจ้าก็พร้อมที่จะปฏิบัติการตามกำหนดการของคณะกู้ชาติ ยังรอยู่ในขณะนี้ คือ
เวลา
เวลาล่วงไปประมาณเกือบ 15.00 น.
บรรดานายทหารชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายทหารเรือที่ได้รับเชิญมาร่วมในงานพิธี
ต่างก็เริ่มทยอยกันมา และส่วนมากมาแวะที่กองเรือรบก่อนในระยะนี้เองข้าพเจ้าได้พบกับ
พลเรือตรีแชน ปัจจุสานนท์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองเสนาธิการทหารฝ่ายยุทธการ
ท่านเรียกข้าพเจ้าไปที่หน้ามุขชั้นล่างของที่ทำการกองเรือรบแล้วบอกว่า
ตามที่ทางราชการทหารเรือได้กำหนดตัวข้าพเจ้าให้ไปรับหน้าที่เป็นผู้บังคับการเรือลำหนึ่ง
ในจำนวนเรือรบประเภทเรือฟริเกทสองลำ ซึ่งทางสหรัฐนาวีจะได้มอบให้ ณ
ฐานทัพในประเทศญี่ปุ่น เพื่อความชำนิชำนาญของเหล่าทหารที่จัดบรรจุลงในเรือทั้งสองลำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารเหล่าปืนใหญ่ ท่านจะจัดส่งให้ลงฝึกซ้อมใน ร.ล.
รัตนโกสินทร์เสียก่อน และในการนี้ให้ข้าพเจ้า ซึ่งขณะนั้นยังคงเป็นผู้บังคับการเรือ
ร.ล.รัตนโกสินทร์ เป็นผู้ควบคุมไปฝึกซ้อม ท่านเป็นห่วง เพราะว่าเรือรบทั้งสองลำนั้น
เมื่อราชนาวีไทยรับมอบมาแล้ว ก็จะต้องประจำอยู่กับราชการสงคราม ณ ประเทศเกาหลี
จำเป็นต้องฝึกซ้อมคนของเราให้ชำนิชำนาญ จนมั่นใจว่าสามรถทำการรบได้อย่างแท้จริง
ข้าพเจ้ายืนฟังท่านสั่งงานและอธิบายพร้อมกับรับคำท่านไปตามระเบียบและมรรยาทที่ผู้อาวุโสน้อยจะพึงกระทำต่อผู้มีอาวุโสสูงกว่า
แต่ความคิดนึกบอกตัวข้าพเจ้าอยู่ตลอดเวลาว่า ปล่อยให้ท่านรองเสนาธิการสั่งไปเถอะ
เดี๋ยวท่านจะได้รู้เองว่าข้าพเจ้าจำเป็นจะต้องพาหทารไปฝึกซ้อมหรือไม่
พล.ร.ต.แชนสั่งงานกับข้าพเจ้าจนเป็นที่พอใจแล้ว
ท่านก็แยกไปที่บริเวณพระที่นั่งราชกิจวินิจฉัย
ข้าพเจ้าแยกไปที่ห้องทำงานกองบังคับการหมวดเรือดำน้ำ ได้พบกับเรือโทปัญญา ศิริปูชกะ
และเรือโทวีระ โอสถานนท์ ซึ่งจะเข้าร่วมปฏิบัติการกับข้าพเจ้า
นั่งรออยู่ในห้องนั้นแล้ว ในระยะเวลาถัดมาอีกเล็กน้อย นาวาเอกอานนท์ ปุณฑริกาภา
ส่งคนมาบอกว่าทหารหมู่รบที่จะสมทบไปกับข้าพเจ้าพร้อมอยู่แล้วที่โคนต้นมะขามริมเขื่อนหน้ากองเรือรบ
ข้าพเจ้ารับทราบแล้วก็รอเวลาอยู่ในห้องนั้นต่อไป
เวลาประมาณ 15.30 น. ได้เริ่มทำพิธีรับมอบเรือแมนฮัตตัน
ผู้แทนฝ่ายอเมริกันได้พูดกล่าวมอบ เสร็จแล้วจอมพล ป.พิบูลสงคราม
นายกรัฐมนตรีกล่าวตอบทางเรือลดธงชาติอเมริกันลงจากเสา และชักธงชาติไทยขึ้น
จากนั้นนายกรัฐมนตรีก็ขึ้นไปชมเรือ ข้าพเจ้าชักเอาปืนกลมือแมดเสนออกจากกระเป๋าถือ
กระชายลูกเลื่อนบรรจุลูกปืนเข้าสู่ลำกล้อง
บอกกับตัวเองว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องลงมือทำงาน ชื่อเสียงของเราจะดีเลวแค่ไหน
เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวของข้าพเจ้าร้อนเลือดขึ้นหน้า
วิ่งออกจากห้องมาที่โคนต้นมะขามริมเขื่อนที่หมู่รบนั่งรออยู่ตะโกนออกคำสั่งว่า
“หมู่รบตามข้าพเจ้าวิ่ง”
ข้าพเจ้าวิ่งไปตามเขื่อนกระชับปืนมั่นอยู่ในมือตรงไปยังตัวท่าราชวรดิษฐ์หมู่รบวิ่งติดตามข้าพเจ้ามา
รวมทั้ง ร.ท.ปัญญา และ ร.ท.วีระ
บรรดาทหารและผู้คนที่อยู่ในบริเวณเขื่อนมองดูข้าพเจ้าอย่างประหลาดใจ
คงจะสงสัยว่าข้าพเจ้ากำลังทำอะไรเมื่อวิ่งไปถึงโคนสะพาน
ข้าพเจ้าก็สั่งให้ทหารหมู่รบกั้น และปิดสะพานมิให้ผู้ใดขึ้นลง
ทหารหมู่รบก็ยืนจังก้า บรรดาผู้ที่มาร่วมในงานต่างก็พากันตกตะลึงพรึงเพริด
แต่ในทันใดนั้นพลเอกหลวงเสนาณรงค์ ปลัดกระทรวงกลาโหมได้ตะโกนถามว่า จะทำอะไรกัน
ข้าพเจ้าไม่ตอบคำถาม แต่ก็ออกคำสั่งให้ทหารบรรจุลูกปืนเข้าลำกล้อง
ทหารปฏิบัติในทันที ข้าพเจ้าสั่งทหารว่า ใครฝ่าฝืนเข้ามาให้ยิงทันที
ยังผลให้ท่านปลัดกระทรวงถอยหลังกลับไป
เสร็จแล้วข้าพเจ้าก็วิ่งขึ้นไปยังสะพานที่ทอดลงมาจากเรือแมนฮัตตัน
ข้าพเจ้าพบกับท่านพลเรือเอกสินธุ์ กมลนาวิน
ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารเรือ ท่านยืนตะลึงขวางทางขึ้นอยู่
ข้าพเจ้าหันมองไปรอบ ๆ ตัวเพื่อสำรวจดูว่า มีใครถืออาวุธอยู่ใกล้ข้าพเจ้าหรือเปล่า
บรรดานายเรือและลูกเรือแมนฮัตตันยืนเข้าแถวอยู่ใกล้กับสะพานที่ทอดขึ้นลงนั้นเอง
ถัดจากสะพานไปทางท้ายเรือทางกราบขวาประมาณห้าหกก้าวข้าพเจ้าเห็นชายผู้หนึ่งยืนอยู่กับเด็ก
ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าจำได้ไม่ผิด ผู้นั้นคืออดีตนายกรัฐมนตรี
พลเรือตรีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์
เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรที่จะส่อให้เห็นว่า จะเป็นภัยต่อข้าพเจ้าแล้ว
ข้าพเจ้าก็เบาใจ และตกลงใจยืนรอจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ณ จุดนั้น
ในไม่ข้าก็แลเห็นท่านนายกรัฐมนตรี ณ จุดนั้น ในไม่ช้าก็แลเห็นท่านนายกรัฐมนตรี
และผู้ติดตามเดินมาจากทางหัวเรือ มีชายอเมริกันติดตามมาด้วยคนหนึ่ง
ซึ่งในภายหลังได้ทราบชื่อว่ามิสเตอร์บิสกูด เมื่อท่านนายกรัฐมนตรีเดินทางใกล้เจ้ามา
ข้าพเจ้าก็ร้องบอกไปว่า “เราต้องการแต่ตัวท่านจอมพล คนอื่นไม่เกี่ยวข้องถอยออกไป
ขอเชิญท่านจอมพลทางนี้”
มิสเตอร์บิสกูดคงจะเห็นว่าข้าพเจ้ามีรูปร่างเล็กและคงจะไม่กล้าทำ
จึงเข้ากั้นกลางตัวนายกรัฐมนตรีไว้ ข้าพเจ้าเห็นท่าจะไม่ได้การ
จึงยกปืนขึ้นประทับและสำทับอีกว่าอเมริกันถอยออกไป
มิสเตอร์บิสกูดเห็นข้าพเจ้าขึงขังเอาจริงเข้าก็หลีกห่างออกไป
จอมพลนายกรัฐมนตรีถามข้าพเจ้าว่า จะให้ไปทางไหน ข้าพเจ้าก็บอกให้เดินลงบันไดไป
แล้วข้าพเจ้าก็ติดตามไป ผู้ติดตามจอมพลนายกรัฐมนตรีมีสองนาย แต่งกายพลเรือนหนึ่งนาย
ทราบภายหลังว่าชื่อ พันโทสนิท หงส์ประสงค์และอีกนายหนึ่งเป็นนายตำรวจเอก
แต่งเครื่องแบบสีกากี ทราบภายหลังว่าชื่อ ร.ต.อ. สิงโต สังกาส
ทั้งสองนายเดินตามหลังข้าพเจ้ามา เมื่อเดินมาเกือบถึงโคนท่าราชวรดิษฐ์
ข้าพเจ้าฉุกคิดขึ้นมาว่า ผู้ติดตามทั้งสองนายอาจจะมีอาวุธปืนพกติดตัวอยู่
จึงหันกลับไปที่ ร.ต.อ. สิงโต แล้วเอามือตบที่บริเวณสะโพกทั้งสองข้าง
ที่สะโพกขวาข้าพเจ้าพบปืนพกแบบรีวอลเวอร์หนึ่งกระบอก จึงชักออกมาและถือด้วยมือซ้าย
เสร็จแล้วข้าพเจ้าก็ตรวจตัว พ.ท.สนิท
เห็นว่าไม่มีอะไรก็บอกให้เดินตามจอมพลนายกรัฐมนตรีไปตามริมเขื่อน
มุ่งตรงไปยังบริเวณกองเรือรบ ร.ต.อ. สิงห์โตเดินช้ากว่าคนอื่น
จะเนื่องด้วยมีรูปร่างอ้วนเกินไปหรือแกล้งถ่วงเวลาก็ไม่ทราบแน่
ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องเอาปากกระบอกปืนกลกระตุ้นสะโพกให้รีบเดิน ก็ปรากฏว่าได้ผลดี
รีบเดินกระชั้นชิดจอมพลนายกรัฐมนตรีเข้าไป ใกล้จะถึงสะพานท่าน้ำกองเรือรบ
มีสุนัขตัวหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณร้านค้าของกองเรือรบ
วิ่งเข้ามาทำท่าทีจะกัดจอมพลนายกรัฐมนตรี ข้าพเจ้าตลาดไล่ก็ไม่ไป
จึงจำเป็นต้องเอาปืนพกในมือซ้ายยิงขู่ไปหนึ่งนัด สุนัขตัวนั้นก็วิ่งหนีไป
ข้าพเจ้าขอบอกจริงๆ ว่าไม่ต้องการข่มขวัญท่านนายกรัฐมนตรีหรือผู้ใด
เพราะเราตกลงกันมาแล้วว่าจะไม่พยายามใช้กำลังใดๆ ให้เกิดการสูญเสียและทรัพย์สินใดๆ
เลย หากจะใช้ก็จะต้องเป็นการจำเป็นจริงๆ
ในทันใดนั้นเอง ข้าพเจ้าก็เห็นพลเรือตรีหลวงชำนาญ อรรถยุทธ
เสนาธิการกองเรือรบ (ปัจจุบันพลเรือเอก)
ซึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งของคณะรัฐประหารกำลังจะเดินหลบออกไปทางประตูเล็กข้างกองเรือรบ
ข้าพเจ้าเกรงว่าท่านเสนาธิการจะหลบออกไปแล้วไปเป็นกำลังให้แก่คณะรัฐประหาร
จึงร้องสั่งให้ ร.ท.ปัญญาไปคุมตัวท่านไปก่อน ซึ่งท่านก็ยอมทำโดยดุษณีภาพ
ข้าพเจ้าพาท่านนายกรัฐมนตรีลงไปในเรือเปิดหัวขนาดเล็กซึ่ง น.อ.
อานนท์จัดเทียบท่ารอไว้ก่อนแล้ว จอมพลนายกรัฐมนตรียืนอยู่ทางกราบขวาของลำเรือ
ข้าพเจ้ายืนอยู่ข้างหลัง พ.ท.สนิท และ ร.ต.อ.
สิงห์โตยืนอยู่ทางกราบซ้ายข้าพเจ้าร้องสั่งออกเรือมุ่งตรงไปยัง ร.ล.ศรีอยุธยา
จอมพลนายกรัฐมนตรียืนอยู่ข้างหน้าข้าพเจ้าด้วยอาการสงบ
แล้วเรือเปิดหัวก็เคลื่อนออกจากท่าไปตามลำน้ำเจ้าพระยา
ขณะที่จะผ่านเรือแมนฮัตตันข้าพเจ้าแลเห็นพวกผิวขาวบนเรือยกกล้องถ่ายรูปจะถ่ายกัน
จึงร้องบอกไปว่าอย่าถ่ายรูป มิฉะนั้นจะถูกยิง แล้วก็ทำท่ายกปืนขึ้น
คนบนเรือต่างก็พากันล้มตัวลงนอนราบกับพื้นดาดฟ้าเรือ
จอมพลนายกรัฐมนตรีร้องบอกข้าพเจ้าว่าอย่ายิงๆ ข้าพเจ้าตอบว่า
ข้าพเจ้าขู่เล่นหรอกเพราะไม่อยากให้ถ่ายรูปไป ระหว่างทางที่แล่นไปยัง ร.ล.ศรีอยุธยา
ซึ่งจอดอยู่ทุ่นบริเวณหน้าวัดราชาธิวาสนั้น เรือแล่นผ่านเรือรบหลายลำ
ข้าพเจ้าได้ร้องสั่งให้เรือเหล่านั้นเตรียมพร้อม
ที่จริงบรรดาคนประจำเรือเหล่านั้นมิได้รู้เห็นร่วมกับข้าพเจ้าเลยและข้าพเจ้าก็ไม่มีอำนาจที่จะสั่งการใดๆ
แก่บรรดาเรือเหล่านั้นด้วย เขาจะทำตามที่ข้าพเจ้าบอกหรือไม่
ข้าพเจ้าไม่มีเวลาจะสำรวจดู
แต่ก็คิดว่าเขาจงจะเชื่อว่าเป็นคำสั่งมาจากกองเรือรบเพราะเรือเปิดหัวเป็นเรือส่งคำสั่งจากกองเรือรบเป็นการประจำ
รวมทั้งเป็นเรือลำเลียงจากพวกหมู่รบจากเรือต่างๆ
ที่จอดอยู่ในลำน้ำเหนือสะพานพุทธยอดฟ้าขึ้นมารักษาการที่กองเรือรบอยู่ทุกวัน
ร.ล. ศรีอยุธยา
ก่อนที่จะถึง ร.ล. ศรีอยุธยา
จอมพลนายกรัฐมนตรีหันมาบอกกับข้าพเจ้าให้เบนปากกระบอกปืนกลไปจากตัวท่าน
ตอนนี้ข้าพเจ้าเผลอไปจึงรีบเบนปากกระบอกปืนไปทางอื่นพร้อมกับกล่าวคำขอโทษท่าน
แล้วบอกว่าข้าพเจ้ามิได้เจตนา
ที่จริงแล้วปืนกลมือแบบแมดเสนนี้จะยิงด้วยมือข้างเดียวไม่ได้
เพราะจะต้องใช้มืออีกข้างหนึ่งบีบแหนบห้ามลูกเลื่อน
ให้ลูกเลื่อนวิ่งได้โดยอิสระจึงจะยิงได้ ในขณะนั้นข้าพเจ้ามีปืนกลมือยู่ในมือขวา
ปืนพกของ ร.ต.อ.สิงห์โต อยู่ในมือซ้าย
ถ้าจะยิงอะไรในทันทีทันใดก็ใช้ได้แต่ปืนพกก่อน แต่ก็น่าเห็นใจท่านจอมพลนายรัฐมนตรี
ท่านย่อมไม่ทราบรายละเอียดของปืนเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้
เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ที่บังคับบัญชาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ปืนใด ๆ
ท่านมีผู้อารักขาติดตามอยู่เป็นประจำ
ในที่สุดเรือเปิดหัวก็เทียบบันได ร.ล.ศรีอยุธยา
ข้าพเจ้าเชิญท่านจอมพลนายกรัฐมนตรีก้าวขึ้นสู่ ร.ล.ศรีอยุธยา เมื่อจอมพล
ป.พิบูลสงคราม และผู้ติดตามขึ้นมาบนดาดฟ้า
ร.ล.ศรีอยุธยาแล้วข้าพเจ้าก็บอกให้นายทหารประจำเรืออาวุโส
นำท่านนายกรัฐมนตรีไปพักผ่อนที่ห้องโถงนายพลเป็นการชั่วคราว
ส่วนผู้ติดตามสองนายนั้นให้แยกไปพักที่บริเวณป้อมปืนหัวเรือก่อน
ต่อจากนั้นข้าพเจ้าได้สั่งให้เตรียมการออกเรือโดยอ้างว่าเป็นคำสั่งของรองผู้บังคับการกองเรือรบ
ซึ่งในขณะนั้นคือพลเรือตรีชลิต กุลกำม์ธร
เจ้าหน้าที่ประจำเรือรับคำสั่งและได้ปฏิบัติตามในฉับพลัน ภายในระยะเวลาประมาณ 20
นาทีต่อมา
ร.ล.ศรีอยุธยาก็สามารถเคลื่อนที่ออกจากทุ่นจอดเรือหน้าวัดราชาธิวาสได้ทั้งนี้โดยอาศัยกำลังขับเคลื่อนจากเครื่องจักรใหญ่ขวาแต่เพียงเครื่องเดียวเท่านั้น
ส่วนเครื่องจักรใหญ่ซ้ายใช้การไม่ได้ เพราะยังอยู่ในระหว่างซ่อมเครื่องใหญ่
ครั้นแล้วข้าพเจ้าก็ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ประจำเรือ
เตรียมเรือเข้ารบและประจำสถานีรบเพื่อเตรียมรับการโจมตรีซึ่งอาจจะมีมาได้จากฝั่งแม่น้ำหรือจากเครื่องบิน
ร.ล.ศรีอยุธยาเคลื่อนลำล่องตามน้ำมาด้วยความเร็วพอประมาณ
แม้ว่าหัวเรือจะซุนไปทางซ้าย
ด้วยกำลังขับจากเพลาใบจักรขวา
แต่ก็สามารถใช้หางเสือขืนทางขวาไว้บังคับเรือให้แล่นตรงตามทิศทางได้
โดยที่ตัวข้าพเจ้าเองก็เคยได้รับคำสั่งให้นำ
ร.ล.ศรีอยุธยาในสภาพเช่นนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว
ดังนั้นในครั้งนี้จึงไม่รู้สึกลำบากใจในการนำเรือแต่อย่างใด
ร.ล.ศรีอยุธยาแล่นผ่านบรรดาเรือรบที่จอดผูกทุ่นเรียงรายอยู่กลางลำน้ำเจ้าพระจา
แลเห็นเรือบางลำรื้อเพดานผ้าใบอยู่ในสภาพเตรียมพร้อม บางลำก็ยังคงอยู่ในสภาพปกติ
ทั้งสองฝั่งแม่น้ำมีประชาชนจับกลุ่มเพ่งมองดูเรืออยู่สลอน ข้าพเจ้าเข้าใจเอาเองว่า
ขณะนี้ข่าวคงจะแพร่สะพัดไปทั่วแล้วว่า จอมพลนายกรัฐมนตรีถูกควบคุมตัวอยู่บน
ร.ล.ศรีอยุธยา เมื่อเรือลำนี้กำลังล่องตามลำน้ำลงมา
จึงพากันมาสังเกตว่าจะมีเหตุการณ์อันใดบังเกิดขึ้นต่อไป
เมื่อเรือมาถึงบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ฯ
ได้ใช้กล้องสองตาส่องดูสัญญาณที่จะชักขึ้นที่เสาธงใหญ่ใกล้ปากอู่หลวงตามที่ได้ตกลงกันไว้
ซึ่งเป็นสัญญาณที่จะแสดงให้ทราบว่าได้เปิดสะพานพระพุทธยอดฟ้าลงไปจอดที่บริเวณหน้ากรมสรรพาวุธทหารเรือ
ตำบลบางนา เพื่อรวมกำลังรบ ณ ที่นั้น และใช้
ร.ล.ศรีอยุธยาเป็นที่ตั้งกองบัญชาการชั่วคราว
แต่บัดนี้เป็นอันว่าปฏิบัติตามแผนนั้นไม่ได้เสียแล้ว
ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 17.00 น.
ข้าพเจ้าตัดสินใจทอดสมอเรือกลางน้ำหน้ากองเรือรบ เพื่อสอบถาม
น.อ.อานนท์ดูก่อนว่าเพราะเหตุใดจึงไม่เปิดสะพานตามกำหนดนัดหมายจอดเรือยังไม่ทันเรียบร้อยดี
น.อ.อานนท์ก็ขึ้นมาบนเรือ
เมื่อได้พบกับข้าพเจ้าแล้วก็บอกว่าจะไปพบกับท่านจอมพลนายกรัฐมนตรีก่อน
ข้าพเจ้าจึงนำไปที่ห้องโถงนายพล น.อ.อานนท์เข้าไปในห้องแต่ผู้เดียว
ข้าพเจ้าคงยืนอยู่ที่ประตูห้อง ได้เห็น
น.อ.อานนท์เดินเข้าไปหาท่านจอมพลแล้วซุกตัวลงไหว้ที่เข่า
กล่าวขอโทษที่ต้องปฏิบัติการไปในทำนองรุนแรงในตอนแรก ท่านจอมพลก็บอกให้
น.อ.อานนท์ลุกขึ้นและให้นั่งลงข้างๆ ตัวท่านเพื่อไต่ถามเรื่องราวต่อไป
ตอนนี้ข้าพเจ้าได้เดินออกมารอที่ดาดฟ้าเรือ
น.อ.อานนท์อยู่ในห้องกับท่านจอมพลประมาณครู่หนึ่งก็เดินออกมาพบกับข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจึงถามถึงเรื่องการเปิดสะพาน
น.อ.อานนท์บอกว่าหลังจากที่ข้าพเจ้าลงมือปฏิบัติการแล้วก็ได้จัดหน่วยจู่โจมไปยึดโรงไฟฟ้าและโทรศัพท์กลางวัดเลียบไว้ได้โดยเรียบร้อย
ปราศจากการขัดขวางใดๆ แต่ยังเปิดสะพานให้เรือผ่านออกไปไม่ได้
เพราะกำลังจากกองพันนาวิกโยธินที่ 4
และกองต่อสู้อากาศยานที่จะเคลื่อนมาจากบริเวณสวนอนันต์ ธนบุรี
ยังมิได้ยกกำลังข้ามสะพานมารับมอบหน้าที่ไป
ซึ่งก็ได้รอมาผิดเวลาไปหนึ่งชั่วโมงเศษแล้วก็มิได้มีวี่แววใดๆ เลย
กำลังสั่งให้ติดต่อสอบถามนาวาตรีประกายพุทธวารี ผู้รับปฏิบัติการทางด้านนี้อยู่
ข้าพเจ้าได้ถามต่อไปว่ากำลังกองพันนาวิกโยธินที่ 5
ข้ามมาแล้วหรือยัง เพราะสังเกตเห็นว่าที่บริเวณฝั่งด้านราชนาวิกสภา
และบริเวณใกล้ปากอู่หลวงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
ทั้งเรือเปิดหัวที่เตรียมไว้ลำเลียงกำลังคนและอาวุธ น.ต.ประกายอยู่
ข้าพเจ้าทราบเรื่องแล้ว รู้สึกร้อนใจเหลือกำลัง เพราะเวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว
กำลังที่จะเอาออกไปใช้เป็นหลักยึดครองพื้นที่ตามที่กำหนดไว้ก็ยังมิได้เคลื่อนตัวออกมาเลย
จึงบอกกับ น.อ.อานนท์ว่า ข้าพเจ้าจะต้องรีบไปพบกับ น.ต.ประกายโดยด่วน
ถ้าหากปล่อยอยู่ในสภาพเช่นนี้ฝ่ายเราไม่มีทางจะปฏิบัติงานให้สำเร็จลุล่วงไปได้แน่
ลำพังแต่กำลังของกองเรือรบนั้นไม่สามารถจะยึดพื้นที่ใดๆ ไว้ได้เลย
เพราะจำนวนคนน้อยมาก และไม่มีอาวุธเช่นกับกำลังทหารราบ
ข้าพเจ้ารีบลงเรือยนต์แล่นข้ามฟากไปที่ท่าน้ำเรือราชนาวิกสภา ได้พบกับ
น.ต.ประกายพอดี จึงถามว่าทำไมจึงไม่นำเอากำลัง น.ย.ออกมา
ขืนชักช้าเดี๋ยวก็เสียท่าเขาเท่านั้นเอง น.ต.ประกายตอบว่า
ตนไม่สามารถจะเอาคำสั่งออกมาได้ เพราะนาวาโทสุน นาศยากุล ผู้บังคับกองพัน น.ย. 5
ไม่ยอมให้นำเอากำลังออกมาใช้ และขู่ว่าถ้า น.ต.ประกายขืนเข้าไปจะยิงเอา
ข้าพเจ้าจึงถามว่าทำไมจึงไม่รับพลเรือตรีทหาร ขำหิรัญ มายืนให้ปรากฏตัว
น.ท.สุนจะได้ไม่กล้าขัดขวาง เพราะเราได้ตกลงกันไว้แล้วว่าจะทำดังนั้น
น.ต.ประกายก็ตอบว่าได้ไปรับแล้วแต่ไม่พบตัว และกำลังรอคอยท่านอยู่
เมื่อถามถึงคำสั่ง น.ย. 4 และกองต่อสู้อากาศยาน ก็ได้รับคำตอบว่า น.ย.5
ยังออกไม่ได้ พวกนั้นก็ยังออกไม่ได้เช่นเดียวกัน
ข้าพเจ้าฟังแล้วเดือดดาลที่ตกลงกันแล้วไม่ปฏิบัติตามที่ตกลงกันและไม่เห็นประโยชน์ที่จะพูดอะไรกันอีกต่อไปจึงรีบกลับไปพบกับ
น.อ.อานนท์ ที่กองเรือรบ
แจ้งให้ทราบเรื่องโดยละเอียดและปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรต่อไป
ก็พอดีได้รับข่าวว่าขณะนั้นบริเวณโรงไฟฟ้าและโทรศัพท์กลางวัดเลียบ
ถูกกำลังตำรวจรถถังยึดคืนไปได้แล้ว หน่วยกำลังฝ่ายเรากำลังถูกล้อม
จึงได้จัดกำลังหมู่รบสองหมู่อาวุธพร้อมขึ้นรถยนต์บรรทุก มุ่งตรงไปยังโรงไฟฟ้า
วัดเลียบ เพื่อทำการขับไล่ กำลังตำรวจแล้วช่วยเอาคนที่ถูกล้อมออกมา
ขณะนั้นเป็นเวลา 18.00 น. เศษ เมื่อได้ส่งกำลังดังกล่าวออกไปแล้ว
น.อ.อานนท์ก็สั่งให้ข้าพเจ้าลงเรือยนต์ไปบอกตามบรรดาเรือรบที่จอดอยู่ในเขตตั้งแต่หน้ากองเรือรบขึ้นไปจัดส่งกำลังหมู่รบขึ้นมาช่วยทางด้านกองเรือรบ
ตามที่
น.อ.อานนท์สามารถสั่งการได้ก็เพราะว่าตามปกติบรรดาเรือรบที่จอดอยู่ในบริเวณเหนือสะพานพระพุทธยอดฟ้าขึ้นมาจะต้องผลัดเปลี่ยนส่งกำลังหมู่รบขึ้นมาขึ้นมารักษาการณ์ที่บริเวณกองเรือรบทุกวัน
ทั้งนี้เป็นคำสั่งของกองเรือรบ ซึ่งได้ปฏิบัติมาตั้งแต่ระยะหลังกรณี 26 กุมภาพันธ์
พ.ศ. 2492 น.อ.อานนท์ตามปกติมีตำแหน่งหน้าที่โดยตรงเป็นผู้บังคับการกองสำรองเรือรบ
แต่เนื่องด้วยพื้นที่รักษาการณ์ของหมู่รบอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับกองสำรองเรือรบ
น.อ.อานนท์จึงได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ผู้บังคับบัญชาหมู่รบอีกตำแหน่งหนึ่ง
ฉะนั้นเมื่อข้าพเจ้ารับคำสั่ง น.อ.อานนท์ไป เจ้าหน้าที่ในเรือรบต่างๆ
จึงปฏิบัติตามทุกประการเสร็จแล้วก็กลับมาที่กองเรือรบ ทราบข่าวว่า
น.อ.อานนท์สั่งให้ ร.ท.สมหมาย บุนนาค
ไปเอาเครื่องอัดเสียงมาจากกรมเสนาธิการทหารเรือ และทำการบันทึกเสียงท่านจอมพลอยู่บน
ร.ล.ศรีอยุธยา ขณะเดียวกันนี้เองได้รับแจ้งว่า
กำลังที่ส่งไปช่วยพวกที่ถูกล้อมอยู่ในโรงไฟฟ้าและโทรศัพท์กลางนั้นกำลังถูกสกัดหลังอยู่ในบริเวณท่ากลาง
ไม่สามารถจะตีฝ่ากลับมาได้ ข้าพเจ้าจึงคิดถอนกำลังส่วนนั้นกลับมาที่กองเรือรบ
โดยใช้เรือ ต. ไปรับทางด้านริมน้ำ เพราะเห็นว่า เรือ ต. มีอาวุธปืนกลขนาด 20 มม.
พอที่จะใช้อำนาจปืนทำการยิงคุ้มกันได้ ก็พอดี น.อ.อานนท์กลับมาจาก ร.ล.ศรีอยุธยา
หลังจากที่ได้บันทึกเสียงท่านจอมพลไว้แล้ว
ข้าพเจ้าได้รายงานให้ทราบถึงเหตุการณ์ตลอดจนความคิดเรื่องที่จะจัดส่ง เรือ ต.
ไปรับกำลังกลับ น.อ. อานนท์เห็นพ้องด้วย และได้สั่งการทัน
ปรากฏต่อมาว่าปฏิบัติการได้ผลดี สามารถถอนกำลังกลับมาได้หมด ไม่มีอันตรายใดๆ