เมื่อข้าพเจ้าจี้จอมพล 4
เมื่อข้าพเจ้าจี้จอมพล [4]
น.ต.มนัส จารุภา
เวลาล่วงเลยมาประมาณ 19.00 น. เศษ
ก็ยังไม่มีวี่แววว่ากำลังทหารนาวิกโยธินจะเคลื่อนข้ามฟากมา
ได้โทรศัพท์ไปสอบถามนายทหารที่ไปปฏิบัติการอยู่ทางด้านกองสัญญาณทหารเรือเกี่ยวกับกำบังทางด้านนั้น
ได้รับคำตอบว่า ได้ส่งกำลังรบกึ่งสายพานออกไปปฏิบัติการตามจุดที่นัดหมายแล้ว
แต่เมื่อไม่มีการประสานงานกับกำลัง น.ย. ที่ 4 และ 5 ตามแผนที่ตกลงกันไว้
ก็จำเป็นต้องถอนกลับเพื่อเป็นป้องกันตัวสรุปสถานการณ์ในนั้นได้ว่าฝ่ายคณะกู้ชาติมิได้เป็นฝ่ายรุกเข้ายึดพื้นที่เพื่อทำการบีบบังคับให้ฝ่ายรัฐบาลยอมจำนนกลับเป็นฝ่ายตั้งรับและรอเวลาที่จะถูกโจมตีจากกำลังฝ่ายรัฐบาล
น.อ.อานนท์ระดมกำลังตั้งรับในบริเวณพื้นที่ของกองเรือรบท่าราชวรดิษฐ์
และบริเวณท่าช้างวังหลวงและได้จัดการส่งนายทหารไปเจรจาขอกำลังจากกองบังคับการมณฑลทหารเรือที่
1 ซึ่งมีอำนาจบังคับบัญชากองพัน 4 – 5 เวลาประมาณ 20.00 น.
มีกำลังทหารนาวิกโยธินส่วนหนึ่งข้ามฟากแม่น้ำมา
อยู่ใต้บังคับบัญชาของนายทหารยศชั้นเรือเอกนายหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยรู้จัก
นายทหารเรือผู้นั้นสั่งการให้กำลัง น.ย. หน่วยนั้นเข้าประจำที่ในบริเวณโรงรถยนต์ของ
มณฑล ทร.1
ซึ่งอยู่ติดกับท่าช้างวังหลวงนายทหารผู้นั้นบอกกับข้าพเจ้าว่าได้รับฟังคำสั่งจาก
บก.มณฑล ทร.1
ให้ยกกำลังมาช่วยป้องกันพื้นที่ในบริเวณดังกล่าวแต่มิให้กำลังหน่วยนั้นรับฟังคำสั่งจาก
น.อ.อานนท์ ให้รับฟังคำสั่งจาก บก.มณฑล ทร.1
หรือจากท่านผู้บังคับบัญชาการทหารเรือโดยตรง ข้าพเจ้ารับฟังแล้วก็ประหลาดใจ
แต่ในขณะนั้นฝ่ายเราอยู่ในภาวะคับขันต้องการกำลังเสริม
ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นหน่วยกำลังที่ต้องได้รับคำสั่งของผู้ใด
หากช่วยป้องกันรักษาพื้นที่แล้วก็เป็นอันใช้ได้ ข้าพเจ้าก็กลับไปหา น.อ.อานนท์
ที่บริเวณที่ทำการกองเรือรบแต่ไม่พบทราบว่าลงเรือยนต์ไปที่ ร.ล.ศรีอยุธยาอีก
จึงยืนรอยู่สักครู่หนึ่ง ก็มีนายทหารยศชั้นเรือโทมาบอกกับข้าพเจ้าว่า
ท่านผู้บัญชาการทหารเรือต้องการพบตัว น.อ.อานนท์ข้าพเจ้าบอกว่า น.อ.อานนท์ไม่อยู่
ข้าพเจ้าจะไปแทน
ร.ล. ศรีอยุธยา
ในเรื่องที่ว่าท่านผู้บัญชาการ ทหารเรือต้องการจะพบ น.อ.อานนท์นั้น
จะเท็จจริงประการใด ข้าพเจ้าไม่ทราบแม้จนกระทั่งบัดนี้ ในขณะนั้นคิดแต่เพียงว่า
ท่านผู้ใหญ่คงจะต้องการพบเพื่ออะไรบางอย่าง และเชื่อคำบอกเล่านั้นจริง
จึงลงเรือไปพร้อมกับนายทหารที่มาแจ้งข่าว นายทหารยศชั้น ร.ต.หนึ่งนาย
และจ่าอีกสองนายไปขึ้นที่โป๊ะท่าน้ำพระราชวังเดิมปากคลองบางกอกใหญ่ในตอนนี้ข้าพเจ้าขอเรียนให้ทราบไว้ชั้นหนึ่งว่า
การปฏิบัติการของคณะกู้ชาตินั้นเฉพาะทางด้านทหารเรือ
บรรดานายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ที่ประจำการอยู่ในขณะนั้น มิได้ร่วมรู้ในการกระทำ
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นการกระทำของนายทหารชั้นผู้น้อยกลุ่มหนึ่ง
และเจตนารมณ์ส่วนรวมของกลุ่มก็มิได้คิดจะทำลายผู้ใหญ่ที่เป็นทั้งผู้บังคับบัญชาและครูบาอาจารย์
เราเคยถกเถียงกันมาแล้วในการพบปะปรึกษาหารือกันถึงปัญหาที่เกี่ยวกับผู้ใหญ่
มีผู้เสนอความเห็นว่าจำเป็นจะต้องควบคุมตัวผู้ใหญ่ไว้ในขณะที่ลงมือปฏิบัติการ
มิฉะนั้นพวกผู้ใหญ่จะขัดขวาง แต่สุดท้ายก็เห็นพ้องต้องกันตามเสียงส่วนมาก
จะไม่กระทำการใด ๆ ต่อบรรดาผู้ใหญ่ เพราะเรานับถือครูอาจารย์
และต้องการรักษาระเบียบประเพณีอันดีงาม
รักหมู่รักคณะของเหล่าทหารเรือไว้เป็นแบบอย่างแก่คนรุ่นหลัง
เมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้วท่านผู้ใหญ่ก็คงจะใช้สติปัญญาของท่านพิจารณาเอาเองว่าท่านควรจะกระทำอย่างไร
ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับการปฏิบัติการของพวกเรา
ถ้าทุกคนกระทำการที่ตกลงนัดหมายไว้ด้วยความเด็ดขาดรวดเร็วและฉับพลันแล้ว
ผลสำเร็จจะเป็นของพวกเราอย่างแน่นอน
ข้าพเจ้าเดินตรงเข้าไปในประตูพระราชวังเดิม
ผ่านทหารที่รักษาการเรียงรายอยู่รอบท้องพระโรง
อันเป็นสถานที่ทำงานของผู้บัญชาการทหารเรือ ไม่มีผู้ใดขัดขวางหรือไต่ถามข้าพเจ้าเลย
ข้าพเจ้าบอกให้นายทหารและจ่าที่ไปกับข้าพเจ้าให้รออยู่ที่ภายนอกท้องพระโรงด้านหลัง
แล้วเดินขึ้นไปแต่ผู้เดียว มีปืนกลมือแมดเสนสะพายไว้ที่ไหล่ขวาหนึ่งกระบอก
เหน็บปืนพกออโตเมติกครอท์ซุปเปอร์ 9 มม.
ไว้ที่เอวอีกหนึ่งกระบอกพอก้าวขึ้นบันได้ก็พบกันนาวาโทเฉลิม สถิรถาวร
(ปัจจุบันมียศเป็นพลเรือจัตวานายธงผู้บัญชาการทหารเรือ
จึงแจ้งให้ทราบว่าข้าพเจ้าจะขอเข้าพบกันท่านผู้บัญชาการโดยมาแทนตัว น.อ.อานนท์
น.ท.เฉลิมเดินกลับเข้าไปในห้องท้องพระโรงหายเข้าข้างหลังฉากไม้กั้นห้องชั่วครู่หนึ่ง
ก็กลับออกมาบอกว่าให้เข้าไปได้
ข้าพเจ้าจึงเดินเข้าไปทางช่องทางเดินด้านขวาของฉากไม้
ทันใดนั้นก็แลเห็นท่านผู้บัญชาการนั่งเป็นประธานอยู่ที่โต๊ะประชุม
มีนายทหารชั้นนายพลเรือนั่งอยู่แน่นขนัด
ทุกๆท่านมองดูข้าพเจ้าด้วยสายตาที่เกือบจะเป็นอันเดียวกัน
ข้าพเจ้าเดินไปที่ริมผนังห้องปลดปืนกลมือออกจากไหล่เอาปืนพกออกจากเอวลงวางกับพื้นห้อง
แล้วถอดเอาซองลูกปืนออกจากตัวปืน ทั้งนี้เพื่อเป็นการแสดงความคารวะต่อท่านผู้ใหญ่
แล้วก็สาวเท้าเข้าไปกระทำความเคารพและรายงานว่าข้าพเจ้ามาแทนตัว น.อ.อานนท์
ท่านผู้บัญชาการเคารพ แล้วถามว่าเหตุการณ์ฝั่งพระนครเป็นอย่างไร
ข้าพเจ้าจึงเรียนให้ท่านทราบว่า ทางด้านกองเรือรบไปจนถึงท่าช้างวังหลวง
ทางฝ่ายพวกข้าพเจ้ายังคงตรึงรักษาพื้นที่อยู่
มีการยิงกันประปรายกับฝ่ายรัฐบาลที่อยู่ในกำแพงพระราชวัง
โรงไฟฟ้าและโทรศัพท์กลางวัดเลียบถูกฝ่ายรัฐบาลยึดคืนไปได้และได้ส่ง เรือ ต.
ไปช่วยถอนกำลังทหารที่ถูกล้อมอยู่ในบริเวณนั้นกลับมา
ท่านผู้บัญชาการบอกกับข้าพเจ้าว่า มีกำลังทหารบกเคลื่อนมาตามเส้นทางกรุงเทพฯ นครปฐม
ท่านได้ส่งกำลังทหารนาวิกโยธินส่วนหนึ่งไปตรึงไว้ เพื่อเป็นการป้องกันอันตราย
ข้าพเจ้าจึงเรียนท่านว่ากำลังเคลื่อนกำลังเข้ามาสมทบขอให้ท่านกรุณาสั่งการถอนกำลังทหารนาวิกโยธินที่ยกออกไปตรึงกลับเข้ามาเสีย
เพื่อเปิดทางให้กำลังทหารบกเคลื่อนเข้าสู่พระนคร ท่านผู้บัญชาการรับฟังแล้วก็นิ่ง
สุดท้ายท่านถามขึ้นว่าทำไม ข้าพเจ้าก็เรียนให้ทราบว่า
พวกของข้าพเจ้าไม่พึงพอใจในความเหลวแหลกของคณะรัฐบาลที่เป็นอยู่ในขณะนั้น
ต้องการให้มีการปรับปรุงคณะรัฐบาลที่เป็นอยู่ขณะนั้น
ต้องการให้มีการปรับปรุงคณะรัฐบาล
ต่อจากนั้นท่านผู้บัญชาการก็บอกให้ข้าพเจ้าออกไปข้างนอก
ข้าพเจ้าก็ทำความเคารพแล้วเก็บเครื่องอาวะที่วางไว้ที่พื้นขึ้นมา
ถอยออกไปยืนอยู่ขางนอกฉากไม้ใกล้กับโต๊ะที่ทำงานของนายธง
สักครู่ท่านผู้บัญชาการก็เดินออกมาข้างนอก
ข้าพเจ้าจึงเรียนท่านว่าข้าพเจ้าขอกำลังไปยืดเอาโรงไฟฟ้าคืนเพื่อเปิดสะพานพระพุทธยอดฟ้าให้
ร.ล.ศรีอยุธยาแล่นผ่านออกไป ท่านเดินไปมาอยู่สักครู่ก็บอกกับข้าพเจ้าว่า
ให้ไปตกลงกับพลเรือตรีกนก นพคุณ ผบ.มณฑล ทร.1 เอาเอง ข้าพเจ้าทำความเคารพ
ลาท่านผู้บัญชาการ รีบเดินออกจากท้องพระโรงไปลงเรือยนต์ที่จอดรถอยู่
เดินทางขึ้นไปที่ท่าช้างราชนาวิกสภาแล้วรีบวิ่งไปที่ บก.มณฑล ทร.1 เข้ากับ
พล.ต.ต.กนก นพคุณ เมื่อพบกับท่านแล้วก็เรียนให้ท่านทราบถึงความประสงค์
ที่จะได้กำลังคนและอาวุธไปทำการตีโต้เอาโรงไฟฟ้าคืนเพื่อเปิดสะพานให้
ร.ล.ศรีอยุธยาผ่านออกไปโดยเฉพาะในเรื่องอาวุธ
ข้าพเจ้าต้องการเครื่องยิงลูกระเบิดแบบใหม่ที่ราชนาวีไทยสั่งมาจากประเทศเดนมาร์ก
อาวุธแบบนี้ทันสมัยมาก
มีอำนาจการยิงร้ายแรงสามารถยิงได้ทั้งกระสุนวิถีโค้งแบบเครื่องยิงลูกระเบิดธรรมดาและยิงราบได้อย่างปืนจรวดแบบบาซูก้า
สะพานพระพุทธยอดฟ้า
ท่าน ผบ.มณฑล ทร.1
ตอบปฏิเสธว่าไม่สามารถจะจัดกำลังคนให้ตามที่ข้าพเจ้าขอ
ข้าพเจ้าก็เรียนท่านอีกครั้งหนึ่งว่า ถ้าไม่มีกำลังทหารพอ ก็จะขอแต่เรื่องอาวุธแล้ว
ไปจัดหากำลังทหารเอาเอง ท่าน ผล.ทร.1 ก็คงยืนกรานปฏิเสธ
ข้าพเจ้าเห็นว่าจะอ้อนวอนท่านต่อไปสักเท่าใดก็ไม่มีทางสำเร็จ จึงเดินทางกลับปีที่
บก.กองเรือรบ
ที่ บก.กองเรือรบ ข้าพเจ้าพบ น.อ.อานนท์
จึงได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทราบแล้วถามต่อไปว่า จะจัดการกันอย่างไรดี
เพราะเวลาก็ล่วงไปทุกที รุ่งเช้ามีหวังว่า
ร.ล.ศรีอยุธยาจะต้องถูกโจมตีไม่จากทางบกก็จากทางอากาศ น.อ.อานนท์ฟังแล้วก็นิ่งอึ้ง
ไม่พูดจาอยู่สักครู่หนึ่งจึงได้ตอบว่า ให้รอดูเหตุการณ์ไปก่อน
เพราะได้เอาเทปบันทึกเสียงจองจอมพลนายกรัฐมนตรีไปออกอากาศ
ห้ามเคลื่อนย้ายกำลังทหารแล้ว คงจะมีผลดีอยู่บ้าง
ข้าพเจ้าฟังแล้วไม่รู้สึกว่าสถานการณ์มันจะกระเตื้องขึ้นเลย
มีแต่จะทรุดลงไปเป็นลำดับ
เวลาประมาณ 21.30 น. ข้าพเจ้าเดินขึ้นไปที่ห้องเสนาธิการกองเรือรบ
เมื่อเปิดบังตาเข้าไปก็พลกับพลเรือตรีทหาร ขำหิรัญ ข้าพเจ้าจึงเรียนให้ทราบว่า
การที่กำลังทหารนาวิกโยธินมิได้เคลื่อนกำลังมาตามนัด ทำให้เสียแผนการหมด
และมีแต่จะตกเป็นฝ่ายรับ และเสียท่าฝ่ายรัฐบาล ท่านไม่ตอบข้าพเจ้าในเรื่องนี้
แต่บอกข้าพเจ้าว่าอ่อนการโฆษณา ให้จัดการคนช่วยด้านโฆษณา ได้พวกธรรมศาสตร์ยิ่งดี
ข้าพเจ้าฟังแล้วก็เดินลงมาข้างล่างและตรงไปที่บริเวณท่าช้างวังหลวง
ซึ่งขณะนั้นมีประชาชนกลุ่มใหญ่ยืนออกันอยู่
ข้าพเจ้าจึงเดินเข้าไปถามว่าในกลุ่มนั้นมีพวกนักศึกษาธรรมศาสตร์อยู่บ้างไหม
ถ้ามีขอเชิญไปช่วยทำงานโฆษณาให้แก่คณะกู้ชาติด้วย
พอพูดจบลงก็มีบุคคลราวเจ็ดแปดคนสาวเท้าเข้ามาหา ข้าพเจ้ามองดูใบหน้าของทุกคนแล้ว
ข้าพเจ้าไม่รู้จักแม้แต่คนเดียว ข้าพเจ้าพากลุ่มนั้นไปที่ บก.กองเรือรบ
นำเข้าไปในห้องเสนาธิการแล้วข้าพเจ้าก็กลับออกมาต่อโทรศัพท์ไปที่กองสัญญาณทหารเรือพูดกับนาวาตรีสุภัทร
ตันตยาภรณ์ และเรือโทประเสริฐ บรรจงจิตร
ก็ได้รับทราบว่าสถานการณ์ทางด้านนั้นยังคงเดิม กำลังที่ส่งออกไปในตอนแรก
ได้ถอนตัวกลับมาตั้งมั่นอยู่ในบริเวณกองสัญญาณทหารเรือ
เวลาประมาณ 23.00 น. ข้าพเจ้าลงเรือยนต์ไปขึ้น ร.ล.ศรีอยุธยา
เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยทั่วไป ๆ
ข้าพเจ้ารับทราบเหตุการณ์จากนายทหารยามประจำเรือว่าเรียบร้อยตลอดมา
และได้จัดการให้จอมพลนายกรัฐมนตรีย้ายไปพักผ่อนอยู่ในห้องพักนายพล
ห้องพักนายพลนี้เป็นห้องที่สะดวกสบายที่สุสุดในเรือ
ซึ่งครั้งหนึ่งทางราชการได้จัดเป็นห้องประทับขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชการปัจจุบัน
ในคราวที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินกลับจากยุโรป
ส่วนผู้ติดตามอารักขาอีกสองนายก็ได้จัดให้พักในห้องโถงพระโรงนายพล
ตลอดทั้งอำนวยความสะดวกสบายให้เท่าที่ทางเรือจะปฏิบัติได้ในยามนั้น
ข้าพเจ้าเดินไปที่ประตูห้องพักนายพล เคาะบังตาที่ปิดสนิทเบาๆ
สองสามครั้งก็ได้ยินเสียงพูดจาจากในห้องบอกเชิญให้เข้าไป
ข้าพเจ้าจึงเปิดบังตาออกแล้วเดินเข้าไป
จอมพล ป.พิบูลสงคราม นั่งครึ่งนอนครึ่งอยู่บนโซฟา
ผลุดลุกขึ้นนั่งตัวตรงมองดูข้าพเจ้ากึ่งตื่นเต้นกึ่งสนเท่ห์
ข้าพเจ้ารีบก้มศีรษะแสดงอาการคารวะ
แล้วเรียนให้ทราบว่าข้าพเจ้ามาตรวจดูความเรียบร้อยของเรือ
ตลอดจนความสะดวกสบายที่จะอำนวยให้แก่ตัวท่าน
เมื่อได้ทราบความประสงค์ของข้าพเจ้าแล้ว ใบหน้าของท่านจอมพลก็แช่มชื่นขึ้น
ท่านลุกจากโซฟามานั่งที่โต๊ะกลางห้อง แล้วกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า
อยากจะถามอะไรบางอย่างจากข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามิได้ปฏิเสธ ไดนั่งลงตรงกับตัวท่าน
เฉพาะเหตุการณ์ตอนนี้
ข้าพเจ้าจำต้องขอเรียนให้ท่านทั้งหลายทราบด้วยว่าเป็นอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าข้าพเจ้า
และท่านจอมพล ป.พิบูลสงคราม แต่ลำพังสองต่อสองเท่านั้น และข้าพเจ้ารับรองได้ว่า
ทุกถ้อยคำที่จะเขียนนี้เป็นความจริงทั้งสิ้น ข้อปลีกย่อยอาจจะผิดเพี้ยนบ้าง
เพราะจำไม่ได้ทั้งหมดด้วยเวลาได้ล่วงเลยมานานแล้ว แต่ข้อเท็จจริงส่วนใหญ่แล้ว
ท่านพึงเชื่อถือได้ การที่ข้าพเจ้าจำต้องย้ำข้อความตอนนี้เช่นนี้ ก็เพราะว่า
ครั้งหนึ่ง จอมพลเรือ ประยูร ยุทธศาสตร์โกศล
อดีตผู้บัญชาการทหารเรือได้เคยพิมพ์หนังสือปกสีน้ำตาลแจกบรรดาข้าราชการในกองทัพเรือเพื่อชี้แจงอบรมและได้อ้างถึงความเหลวแหลกต่างๆ
ในกองทัพเรือ พร้อมกับยกเรื่องการสนทนาของ จอมพล ป.พิบูลสงครามกับข้าพเจ้าในเรือ
ร.ล.ศรีอยุธยา ตอนนี้ขึ้นประกอบเรื่อง เพื่อเป็นตัวอย่าง ที่เลวที่จะพึงนึกขึ้นได้
ซึ่งบางท่านก็คงจะได้อ่านผ่านสายตากันมาบ้างแล้ว
ข้าพเจ้าไม่กล่าววิพากษ์วิจารณ์อะไรทั้งสิ้น
นอกจากขอให้ท่านได้พินิจจารณาเปรียบเทียบเอาเองว่า
ระหว่างข้อเขียนของข้าพเจ้าผู้ซึ่งประสบเหตุการณ์มาด้วยตนเอง
กับข้อเขียนของท่านจอมพลเรือ ประยูร ยุทธศาสตร์โกศล
ซึ่งเขียนเรื่องราวกับท่านได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการสนทนาอยู่ด้วยนั้นว่าข้อเขียนอันไหนจะมีน้ำหนักเป็นที่เชื่อถือได้มากกว่ากัน
ต่อไปนี้ เป็นการสนทนาระหว่างท่านจอมพล ป.พิบูลสงคราม
กับข้าพเจ้าสองต่อสองเท่าที่ข้าพเจ้าจะสามารถทบทวนความทรงจำมาบันทึกเสนอท่านผู้อ่านทั้งหลายได้
ถาม “ในการกระทำครั้งนี้มีพวกคอมนิวนิสต์ร่วมด้วยหรือเปล่า”
ตอบ “ไม่มี”
ถาม “แล้วหลวงประดิษฐ์ร่วมด้วยหรือเปล่า”
ตอบ “ไม่ได้ร่วม”
ถาม “ได้ซับซิตี้ (เงินอุดหนุน) จากใคร”
ตอบ “พวกที่ทำงานครั้งนี้ เป็นพวกคนหนุ่มเกือบทั้งสิ้น
ไม่เคยได้รับเงินทองอุดหนุนจากบุคคลหรือคณะใดๆ มีแต่เงินเดือนของตนเอง
แม้แต่ตัวของผมเอง ก็มีเงินติดกระเป๋าอยู่ในขณะนี้เพียงพันสองร้อยบาทเท่านั้น”
จอมพล ป.พิบูลสงคราม ฟังแล้วก็นิ่งอยู่ขณะหนึ่ง แล้วก็พูดว่า
“เมื่อได้ทราบอย่างนี้แล้วก็ทำให้โล่งใจมาก” ถามต่อไปใหม่ว่า
“เหตุใดพวกคุณจึงคิดทำการเช่นนี้ขึ้น”
ตอบ “ที่พวกผมทำขึ้นก็เพราะว่า รัฐบาลคณะนี้มีความเหลวแหลกมากมาย
รัฐมนตรีในคณะหลายคนในคณะรัฐประหาร
ก็ได้ใช้อภิสิทธิ์แสวงหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าพรรคตนเองเช่นเดียวกัน”
ถาม “แล้วพวกคุณทราบได้อย่างไร มีหลักฐานอย่างไร”
ตอบ “พวกผมทราบจากท่านผู้ใหญ่ในวงราชการ
จากบุคคลในคณะรัฐประหารนั่นเองและจากหนังสือพิมพ์ที่เป็นปากเสียงของประชาชน”
จอมพล ป. “การที่จะไปเชื่อข่าวอย่างนั้นดูจะไม่แน่นอน
โดยเฉพาะพวกหนังสือพิมพ์ ถ้ามีจริงก็ควรจะได้จัดการกันตามกฎหมาย”
ข้าพเจ้า “เรื่องอย่างนี้ไม่สามารถจะจัดการได้ตามกฎหมาย
ในเมื่อผู้กระทำผิดยังมีอำนาจอยู่ และข่าวต่าง ๆ นั้นพวกผมเชื่อท่านผู้ใหญ่
และเชื่อบุคคลในคณะรัฐประหารซึ่งล่วงรู้ข้อเท็จจริง
ข่าวทางหนังสือพิมพ์พวกผมไม่ได้เชื่องมงายไปทั้งหมด
และโดยเฉพาะรับฟังจากหนังสือพิมพ์ที่เป็นหลักเป็นฐานเสนอข่าวตรงไปตรงมาไม่บิดเบือนความจริง”
ต่อจากนั้น
การสนทนาได้เปลี่ยนไปเป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับความเหลวแหลกต่างๆ
ของคณะรัฐบาลและคณะรัฐประหารในยุคนั้น
แต่เรื่องที่ข้าพเจ้ายกขึ้นเรียนแก่ท่านบางเรื่อง
ท่านก็แบ่งรับแบ่งสู้ว่าอาจเป็นไปได้และบางเรื่องท่านก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลย
แต่อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะเขียนไว้ในที่นี้
เพราะผิดความมุ่งหมายของข้าพเจ้า ซึ่งไม่ต้องการให้กระทบกระเทือนผู้ใด
ในที่สุดท่านจอมพลได้พูดถึงเรื่องการใช้กำลัง
ว่าอย่าให้มีการสู้รบกันขึ้น จะเสียเลือดเนื้อ บ้านเมืองจะเสียหาย
ข้าพเจ้าตอบท่านว่าพวกข้าพเจ้าจะไม่ใช้อาวุธก่อน จะใช้ต่อเมื่อจำเป็นจริงๆ
เพราะเจตนาของพวกข้าพเจ้าที่ทำการครั้งนี้ไม่ต้องการให้เสียเลือดเนื้อเลย
ต่อจากนั้นข้าพเจ้าได้เรียนแก่ท่านว่า สำหรับตัวท่านนั้นอย่าได้หวาดระแวงภัยใดๆเลย
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าจะมิให้ผู้ใดมาแตะต้องตัวของท่านเป็นอันขาดขอให้ท่านพักผ่อนให้สบาย
ต้องการสิ่งใดที่ทางเรือจะจัดหาได้ในขณะนั้นแล้ว
ก็ขอให้ท่านแจ้งความประสงค์แก่นายทหารยาม
ครั้นแล้วข้าพเจ้าก็ทำความเคารพลาท่านออกมานอกห้อง
ลงเรือยนต์กลับมาที่กองเรือรบอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อขึ้นไปพบกับ น.อ.อานนท์ ที่ห้องเสนาธิการ
น.อ.อานนท์ได้ยื่นสมุดโน้ตปกอ่อนให้ข้าพเจ้า
พลางบอกให้เก็บไว้เพราะข้างในเป็นต้นร่างการบันทึกเสียงของจอมพล ป.พิบูลสงคราม
ข้าพเจ้าเปิดดูแลเห็นลายมือก็จำได้ว่าเป็นลายมือของท่านจอมพล
เมื่ออ่านดูตลอดแล้วก็พับใส่กระเป๋าเสื้อไว้ และถาม น.อ.อานนท์ว่า
บอกให้ท่านจอมพลเขียนหรือเปล่า น.อ.อานนท์ตอบว่า
เมื่อไปบันทึกเสียงนั้นได้แจ้งความประสงค์ให้ท่านจอมพลทราบ
ท่านจอมพลก็รับสมุดไปร่างมาให้ดู แล้วถามว่าพอใจหรือยัง น.อ.อานนท์ตอบว่า
พอใจแล้วแต่อยากจะขอร้องให้เปลี่ยนแปลงถ้อยคำเล็กน้อยคือ ในตอนต้นที่กล่าวว่า
“ด้วยในวันนี้มีบุคคลกลุ่มหนึ่ง...” นั้น ขอให้เปลี่ยนคำ “บุคคลกลุ่มหนึ่ง” เป็น
“คณะกู้ชาติ” แทน ซึ่งท่านจอมพลก็ตกลงแก้ไขโดยดี
จากนั้นก็จัดการบันทึกเสียงตามที่ร่างไว้
น.อ. อานนท์ได้บอกข้าพเจ้าต่อไปว่า
มีนายทหารบกชั้นนายพันตรีมาที่ท่าช้างวังหลวง อ้างตนว่าเป็นผู้แทนกรมรักษาดินแดน
ซึ่งขณะนั้นยังตั้งอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขอเจรจากับฝ่ายเราว่า
กรมรักษาดินแดนจะอยู่เฉยๆ ไม่เกี่ยวข้อง ขออย่าได้ทำการใด ๆ ต่อกรมรักษาดินแดน
น.อ.อานนท์ ได้ตอบไปว่า ถ้าอยู่เฉยจริงๆ เราก็ไม่ควรทำอะไร
แต่ถ้าส่งกระจายเสียงออกอากาศให้รัฐบาลแล้ว เราก็จะต้องใช้กำลังบังคับ
ข้าพเจ้าแยกกับ น.อ.อานนท์
ไปที่ห้องนายทหารฝ่ายเสนาธิการที่อยู่ถัดไปโทรศัพท์ถามข่าวทางด้านกองสัญญาณ
ได้รับตอบว่ายังปกติอยู่ และได้จดการส่งกระจายเสียงออกอากาศอยู่เรื่อยๆ
ข้าพเจ้าเดินกลับออกมา ก็ได้ยินเสียง น.อ.อานนท์สั่งให้ ร.ท.สมหมาย บุนนาค
ไปจัดการบันทึกเสียงจอมพลอีกครั้งหนึ่ง ร.ท.สมหมายรับคำสั่งรีบลงเรือไป
สักครู่ใหญ่ก็กลับมาพร้อมกับเส้นลวดที่บนทึกเสียงเรียบร้อยแล้ว ขณะนั้น
เป็นเวลาประมาณ 23.00 น.
น.อ.อานนท์สั่งให้ข้าพเจ้าจัดหาคนนำเส้นลวดไปส่งที่กองสัญญาณ
ข้าพเจ้าจึงเรียกหาอาสาสมัครเอาเส้นลวดไปส่งให้กองสัญญาณ
ข้าพเจ้าจึงมอบให้พร้อมกับปืนพกหนึ่งกระบอกซึ่งเป็นปืนพกของ ร.ต.อ.สิงห์โต
ผู้สื่อข่าวผู้นั้น รีบลงเรือเดินทางไปทันที
บุคคลผู้นี้ข้าพเจ้าได้ทราบในภายหลังเมื่อข้าพเจ้าลี้ภัยไปอยู่ในขณะนั้นซึ่งต่อมาก็ได้ถูกจับกุม
และฟ้องร้องในคดีกบฏ 29 มิถุนายน ด้วย