เมื่อข้าพเจ้าจี้จอมพล 5
เมื่อข้าพเจ้าจี้จอมพล [5]
น.ต.มนัส จารุภา
เวลาล่วงไป – ล่วงไปทุกขณะ
ฝ่ายคณะกู้ชาติมิได้ดำเนินการคืบหน้าอะไรต่อไปอีก เพราะจะคืบต่อไปได้อย่างไร
ในเมื่อไม่มีกำลังหลักเข้าทำงาน ข้าพเจ้ามองไม่เห็นเลยว่า
จะมีประโยชน์อันใดที่จะเฝ้าแต่เอาแถลงการณ์ของคณะกู้ชาติออกอากาศ
หรือแม้กระทั่งคำสั่งของจอมพล ป.พิบูลสงคราม
ที่ประกาศให้หน่วยทหารหรือตำรวจที่ทำการต่อต้านคณะกู้ชาติหยุดยิงและให้กลับเข้าที่ตั้งปกติ
ข้าพเจ้ารู้แน่แท้แก่ใจว่า
คณะกู้ชาติจะต้องประสบกับความปราชัยอย่างแน่นอน ข้าพเจ้าไม่ได้นึกถึงคำ “ปราชัย”
มาแต่ก่อน
เพราะมั่นใจและเชื่อใจเหลือเกินว่าบรรดาผู้ร่วมปฏิบัติการครั้งนี้จะปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายโดยพร้อมเพรียงกัน
ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่เล็งผลเลิศเกินไป ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 02.00 น. ของวันใหม่
ข้าพเจ้าเดินลงมาที่ชั้นล่างของที่ทำการตรงไปที่รถยนต์ปอนเตี๊ยก ของ พ.ต.วีระศักดิ์
ซึ่งจอดอยู่ใต้ต้นมะขามริมเขื่อน ที่ชั้นบนของที่ทำการมีคนเดินเข้าออกอยู่เรื่อยๆ
ที่รถปอนเตี๊ยกข้าพเจ้าพบ น.ท. หลวงผวนพิธีรบ พ.ต.วีระศักดิ์ และ น.ต. ประกาย
จึงถามว่า จะจัดการกันอย่างไรต่อไป
กำลังทหารนาวิกโยธินนั้นไม่มีหวังจะเอามาให้อย่างแน่นอนแล้ว คำตอบที่ได้รับก็คือ
ไม่รู้จะจัดการอย่างไร ทำให้รู้สึกท้อแท้ใจเหลือกำลัง อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะรุ่งสาง
กำลังของฝ่ายรัฐบาลต้องโจมตีตามที่ประกาศอย่างแน่แท้
ซึ่งเราก็จะต้องตั้งรับต้านทานไปจนกว่าจะสุดกำลัง
ในระยะเวลาต่อมา
สถานีวิทยุกรมรักษาดินแดนได้ทำการกระจายข่าวของฝ่ายรัฐบาลซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลง
จึงได้ส่งคนไปบอกให้หยุด
มิฉะนั้นเราก็จำเป็นที่จะต้องใช้กำลังอย่างหนึ่งอย่างใดจัดการต่อสถานีวิทยุแห่งนี้
ไม่ปรากฏว่ายอมรับฟังเราจึงคิดจัดการทำลายสถานีวิทยุกระจายเสียงกรมการรักษาดินแดนด้วยปืนใหญ่เรือในตอนเช้า
จากนั้น ข้าพเจ้านั่งงีบหลับอยู่บนรถไปจนถึงเวลาประมาณ 05.30 น.
จึงตื่นขึ้น ฟ้าเริ่มสางขึ้นทุกขณะ
ข่าวการเคลื่อนไหวของกำลังฝ่ายรัฐบาลเริ่มทยอยมาจากทุกด้านเป็นระยะๆ
น.อ.อานนท์สั่งการเตรียมรับอย่างเต็มที่ ขนอาวุธที่มีอยู่ในคลังออกมาใช้จนหมดสิ้น
ใกล้จะถึงเวลา 16.00 น.
ข้าพเจ้ายื่นอยู่ที่ริมเขื่อนใกล้สะพานท่าน้ำ
กองเรือรบได้ยินเสียงระเบิดกึกก้องที่กลางแม่น้ำ จึงหันไปดู
และเห็นกลุ่มควันสีดำลอยอยู่เหนือหน้าน้ำทางท้าย ร.ล.ศรีอยุธยา
แรกทีเดียวคิดว่าเป็นลูกระเบิดที่ทิ้งมาจากเครื่องบิน
แต่ขณะนั้นไม่ปรากฏว่ามีเครื่องบินมาบินวนเวียนให้เห็นเลย
ชั่วครู่หนึ่งต่อมาก็แลเห็นฝอยน้ำพลุ่งขึ้นทางท้ายพร้อมเสียงระเบิดติดตามมาแล้วก็มีกลุ่มควันสีดำลอยขึ้นมาเช่นเดิม
คราวนี้ข้าพเจาคิดออกแล้วว่ามิใช่สิ่งอื่นสิ่งใดนอกจากเป็นลูกระเบิดที่ยิงมาที่
ร.ล.ศรีอยุธยา การยิงทั้งสองคราวตกห่างจากท้ายเรือประมาณยี่สิบเมตร
นับว่าทำการยิงได้ผลใกล้เคียงมาก
หากตกลงบนดาดฟ้าเรือก็จะทำลายชีวิตทหารประจำเรือได้มิใช่น้อย
เพราะในระยะเวลานั้นที่บริเวณท้ายเรือมีทหารเดินไปมาพลุกพล่าน
ข้าพเจ้าเห็นเหตุการณ์ไม่สู้ดี จึงวิ่งไปบอก น.อ.อานนท์
ที่ให้ห้องทำงานว่า จะต้องนำเรือเคลื่อนที่หลบกลุ่มกระสุนเสียก่อน
และจะอยู่ในบริเวณปากคลองบางลำพู น.อ.อานนท์เห็นพ้องด้วย
ข้าพเจ้าจึงลงเรือยนต์ไปขึ้น ร.ล.ศรีอยุธยา สั่งการให้ออกเรือ
และให้ทหารหลบเข้าที่กำบัง
เพราะในระยะนั้นกระสุนปืนครกยังคงตกลงในน้ำทางท้ายเรืออยู่เรื่อยๆ
ประมาณสามนาทีต่อมาเรือก็เคลื่อนลำขึ้นไปทางเหนือ
เรือผ่านปากคลองบางกอกน้อยไปได้เล็กน้อย
ก็มีเครื่องบินสองสามเครื่องปรากฏอยู่บนท้องฟ้าเหนือฝั่งพระนคร
แสดงทีท่ามุ่งตรงมาทางเรือ ข้าพเจ้าจึงสั่งให้ปืนกลต่อสู้อากาศยานขนาด 40 มม.
แท่นคู่กราบขวาทำการยิงสกัดกั้นทำการยิงไปสองสามชุดแล้วก็หยุด
ไม่ปรากฏผลเสียหายแก่เครื่องบินแต่อย่างใด
และเครื่องบินเหล่านั้นก็เปลี่ยนทิศทางหันกลับออกไปเข้าใจว่าบินมาตรวจการณ์เท่านั้น
ปืนกลต่อสู้อากาศยานขนาด 40 มม. แท่นคู่
ข้าพเจ้านำเรือเคลื่อนที่ไปจนถึงบริเวณปากคลองบางลำพู
แล้วก็หยุดลอยลำดูการเคลื่อนไหวของกำลังฝ่ายรัฐบาลทางริมฝั่งแม่น้ำด้านจังหวัดพระนครอยู่ประมาณ
20 นาที
ต่อมาได้ปล่อยให้เรือลอยตามกระแสน้ำมาอยู่ตรงปากคลองหลอดท่าช้างวังหน้าในระยะนี้แลเห็นเครื่องบินเครื่องหนึ่งบินมุ่งตรงไปทางบริเวณท่าราชวรดิษฐ์
ซึ่งครู่หนึ่งก็มีเสียงระเบิดและมีกลุ่มควันพลุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ทุกคนบนสะพานเดินเรือ สันนิษฐานได้ทันทีว่า กองเรือรบถูกทิ้งระเบิดแล้ว
แสดงว่าฝ่ายรัฐบาลเปิดฉากการโจมตีอย่างจริงจังตามที่ได้ประกาศ
และกำลังทางภาคพื้นดินก็คงจะเคลื่อนที่เข้าไปยังบริเวณที่ทำการกองเรือรบ
ท่าราชวรดิษฐ์ และบริเวณติดต่อถึงท่าช้างวังหลวงตามเส้นทางทุกๆ เส้นที่มุ่งตรงไปสู่
ข้าพเจ้าตัดสินใจว่า
จะต้องทำการประวิงกำลังของฝ่ายรัฐบาลไว้เสียด้านหนึ่งจึงสั่งให้ปืนเบาขนาด 75 มม.
ทางกราบขวาทำการยิงทำลายบรรดาต้นขนุนที่ขวางการตรวจการเสียก่อน
ทำการยิงไปได้ราวห้าหกนัดก็สั่งให้หยุดยิงเพราะไม่ได้ผลตามที่ต้องการ
ก็พอดีมีเรื่องเปิดหัวลำหนึ่งมาเทียบข้างเรือ นำเอาคำสั่งของ น.อ.อานนท์มาให้
ข้าพเจ้าได้รับแล้วอ่านดูมีใจความว่า ให้ข้าพเจ้านำ ร.ล.ศรีอยุธยา
ลงไปช่วยกำลังทางด้านกองเรือรบ เพราะรถถึงและรถเกราะกำลังบุกทะลวงเข้ามา
ข้าพเจ้าจึงนำเรือเลี้ยวกลับลำในบริเวณนั้นเพื่อรีบไปช่วย
การกลับลำเรือใหญ่ในที่แคบใช้เครื่องจักรได้เครื่องเดียว
ทำให้ประสาทต้องเคร่งเครียดอยู่มิใช่น้อย
ข้าพเจ้าเกรงว่าเรือจะปะทะกับบ้านเรือนริมฝั่งแม่น้ำตลอดจนเรือรบที่จอดผูกทุ่นอยู่กลางน้ำ
ซึ่งจะทำให้เสียผลในการสู้รบ
แต่เมื่อได้ใช้เรือเปิดหัวลำที่มาส่งคำสั่งช่วยดุนทางท้ายเรือซ้าย
เรือก็กลับลำได้โดยปลอดภัยขณะที่เรือผ่านหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ข้าพเจ้าแลเห็นกำลังทหารกรมรักษาดินแดนตั้งปืนกลอยู่ที่ริมน้ำด้านตึกสโมสร
ปากกระบอกปืนเล็งตรงมาทางเรือ
ข้าพเจ้านึกขึ้นมาได้ว่ากรมรักษาดินแดนกระทำผิดข้อตกลงกระจายข่าวให้แก่ฝ่ายรัฐบาลและเราก็ได้ส่งคำเตือนไปแล้ว
จึงตัดสินใจทำลายสถานีวิทยุของกรมรักษาดินแดน
แต่เนื่องจากข้าพเจ้าได้รับการแจ้งข่าวที่ผิดพลาดทำให้เข้าใจว่าตัวสถานีอยู่ในห้องชั้นบนทางปีกขวาของโดม
มหาวิทยาลับธรรมศาสตร์ จึงสั่งให้ปืนเบาขนาด 75 มม. ทางกราบซ้ายระดมยิง ณ จุดนั้น
ทำการยิงไปได้ราวสี่หรือห้านัดก็หมดมุมยิงเพราะ
ร.ล.สัตกูดซึ่งจอดอยู่ในบริเวณนั้นบังทางปืน
กำลังทหารรักษาดินแดนใช้ปืนกลยิงตอบโต้มาที่เรือเสียงลูกกระสุนกระทบเหล็กตัวเรือดังกราว
ไม่มีผู้ใดได้รับอันตราย
ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็เห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นใน ร.ล.สัตกูด
ทหารสองนายวิ่งปราดไปที่ปืนใหญ่ขนาด 70 มม. ซึ่งติดตั้งอยู่ที่หัวเรือ
จัดการบรรจุลูกปืนเข้าลำกล้อง แล้วทำการยิงไปยังที่ตั้งปืนกลทหารรักษาดินแดน
กระสุนนัดแรกตกตรงเป้าทันที ทั้งนี้เพราะว่าระยะยิงใกล้มาก
ควันระเบิดตลบจนไม่มองเห็นปืนกลกระบอกนั้นเลย
แล้วกระสุนนัดที่สองก็ตามติดไปในระยะเวลาไม่กี่วินาที ตกลง ณ ที่หมายเดิม
ข้าพเจ้าไม่ได้เหลียวไปดูอีกว่าผลเสียหายจะบังเกิดขึ้นอย่างไร
แน่แหละต้องมีการเสียชีวิตอย่างแน่นอน
ข้าพเจ้าขอสารภาพว่าในขณะนั้นไม่มีเวลาที่จะคิดคำนึงถึงความเสียหายใดๆ
ข้าพเจ้าตกอยู่ในสภาพที่เรียกว่าเลือดเข้าตาเสียแล้ว
มุ่งหน้านำเรือไปยังบริเวณที่ต้องกองเรือรบเพื่อทากรคุ้มกันพวกของข้าพเจ้าแต่อย่างเดียว
ร.ล.สัตกูด
เมื่อเรือผ่านแล่นหน้าท่าราชวรดิษฐ์
เพื่อจะนำไปกลับลำที่บริเวณปากคลองบางกอกใหญ่แล้วแล่นขึ้นมาช่วยกำลังกองเรือรบนั้น
ข้าพเจ้าแลเห็นส่วนหนึ่งของโรงเก็บรถยนต์กองเรือรบถูกทิ้งระเบิดไฟไหม้ แต่ไฟสงบแล้ว
ต่อมาเรือผ่านท่าโรงโม่มองไปตามถนนที่ตัดลงสู่ท่า
แลเห็นรถเกราะแบบสะแด๊กฮาวสองคันจอดอยู่ที่มุมวัดพระเชตุพน
จะทำการยิงทำลายก็ไม่ทันเพราะเรือแล่นตามน้ำเร็วเกินไปทางยิงก็จำกัดต้องยิงไปตามช่องถนน
จึงปล่อยให้ผ่านไปก่อนคิดว่าเมื่อแล่นทวนน้ำกลับขึ้นมาก็จะจัดการทำลายในทันที
ถึงบริเวณปากคลองบางกอกใหญ่
ข้าพเจ้าสั่งการให้กลับลำโดยใช้วิธีทอดสมอช่วย
และในขณะที่กำลังจะกลับลำได้เรียบร้อย
ก็ปรากฏว่าเครื่องจักรใหญ่ขวาที่ใช้อยู่แต่เครื่องเดียวนั้นเกิดขัดข้องหยุดลงในทันที
ข้าพเจ้าใจหายวูบ รีบบอกให้ ร.ท.ปัญญา ศิริปูชกะ ลงไปที่ห้องเครื่องไต่ถาม ร.อ.
สรชัย สุชาติ ต้นกลเรือว่ามีเหตุขัดข้องอันใดสักครู่ ร.ท.ปัญญามาบอกว่า
เครื่องจักรขัดข้องเล็กน้อย ขอเวลาแก้ไขสัก 10 นาที
ข้าพเจ้าทราบแล้วก็รอฟังผลสิบนาทีผ่านไปแล้ว
ก็ยังไม่มีวี่แววท่าทางห้องเครื่องจะรายงานขึ้นมา ขณะนี้
ร.ล.ศรีอยุธยากลับลำเรียบร้อยแล้วและจอดลอยลำอยู่ในบริเวณเยื้องสะพานท่าน้ำโรงเรียนราชินีล่างขึ้นมาประมาณ
สิบเมตร ข้าพเจ้ารอต่อไปด้วยความกระวนกระวายใจ จนเวลาล่วงไปได้ครึ่งชั่วโมง จึงส่ง
ร.ท. ปัญญาไปสอบถามอีกครั้งหนึ่ง
คราวหลังนี้ได้ความแน่ชัดว่าลูกเบี้ยวเครื่องกลับจักรแตก
ไม่สามารถเปลี่ยนได้ในระยะเวลาอันสั้น
ถึงจะใช้เวลาอีกยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ไม่เสร็จเป็นอันว่า บัดนี้
ร.ล.ศรีอยุธยาหมดสมรรถภาพในการเคลื่อนตัวเสียแล้ว สมองของข้าพเจ้าหนักอึ้ง
ความรู้สึกสิ้นหวังที่มีมาแต่ตอนกลางคืนยิงเพิ่มพูนทับทวี
เป็นห่วงบรรดาผู้ที่ยังทำการสู้รบอยู่ที่บริเวณกองเรือรบ
และเป็นห่วงเรือที่จะต้องถูกโจมตีอย่างเป็นเป้านิ่ง
ในไม่ช้า
น.อ.อานนท์ก็เดินทางมากับเรือเปิดหัวมาเร่งให้ข้าพเจ้านำเรือไปช่วยกำลังทางด้านกองเรือรบเพราะการสู้รุนแรงขึ้นทุกที
ข้าพเจ้าได้รายงานให้ น.อ.อานนท์ทราบถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นให้ทราบ
น.อ.อานนท์นิ่งอึ้งแล้วก็บอกว่าจะจัดการให้เรือกลไฟมาลากจูงไป
ต่อจากนั้นก็สั่งให้นายทหารผู้หนึ่งลงเรือเปิดหัวไปตามเรือลากจูง
เวลา 09.00 น. เศษ
กระแสน้ำในลำแม่น้ำเจ้าพระยายังคงไหลลงด้วยกำลังแรงเราพอจะใช้ประโยชน์จากกระแสน้ำบังคับให้เรือส่ายไปมาทางขวาและซ้ายได้เหมือนตะเข้าหากถูกยิงด้วยเครื่องยิงลูกระเบิดก็พอจะหลบหลีกบรรเทาอันตรายไปได้พอดู
ข้าพเจ้าสั่งให้พลประจำปืนเบา 75 มม. ทางกราบขวาทั้งสองกระบอก
ตลอดทั้งพลประจำปืนกลต่อสู้อากาศยาน 40 มม.
เข้าหลบในที่กำบังเพราะเป็นของเราไม่มีโล่
พลประจำปืนอาจจะได้รับอันตรายจาการซุ่มยิงโดยปืนเล็กยาวหรือปืนกลจากทางฝั่งพระนคร
ซึ่งได้เริ่มทำการยิงมาที่เรืออย่างประปรายแล้ว
ต่อจากนั้นมีเครื่องบินเข้าโจมตีทิ้งระเบิดเรือเป็นครั้งคราว
แต่การทิ้งระเบิดปราศจากความแม่นยำ
ลูกระเบิดตกเปะปะไปลงตามบ้านเรือทางฝั่งธนบุรีส่วนมาก
เวลาประมาณ 10.00 น.
ฝ่ายรัฐบาลเริ่มใช้เครื่องยิงลูกระเบิดยิงมาที่เรือ
ลูกระเบิดลูกแรกตกลงในน้ำทางท้ายเรือกราบขวา ห่างตัวเรือประมาณห้าสิบเมตร
นัดต่อๆมาค่อยเคลื่อนใกล้เข้ามา ข้าพเจ้าสั่งหักหางเสือส่ายเรือหลบไปทางขวา
ลูกระเบิดลูกต่อๆ มาก็ข้ามตัวเรือไป ฝ่ายรัฐบาลเห็นลูกระเบิดตกสูงก็ลดระยะยิงลง
ลูกระเบิดก็เคลื่อนกลับมาใกล้เรือ
ข้าพเจ้าก็สั่งหักหางเสือไปทางซ้ายหลบลูกระเบิดอยู่เช่นนี้อยู่ตลอดเวลาที่กระแสน้ำยังลงแรง
มีอยู่หลายครั้งที่ลูกระเบิดตกถูกตัวเรือ ลูกหนึ่งตกลงบนดาดฟ้ากราบซ้าย
ทำให้จ่าหนึ่งนายได้รับบาดเจ็บสาหัส
ต้องจัดส่งขึ้นไปรับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลเรือโดยด่วน
ข้าพเจ้าอยู่บนสะพานเดินเรือแต่ผู้เดียว
ใช้กล้องสองตาส่องหาจุดที่ตั้งยิงของเครื่องยิงลูกระเบิด
โดยอาศัยการสอบตามแนวลูกระเบิดตก ก็ได้จุดที่ตั้งยิ่งที่บริเวณปากคลองตลาด ณ
ที่นั้นมีกองอิฐกองใหญ่อยู่กองหนึ่ง
กำลังฝ่ายรัฐบาลใช้กองอิฐเป็นที่กำบังเครื่องยิงลูกระเบิด แรกๆ
ข้าพเจ้าไม่สังเกตเห็น
แต่เมื่อจับตาดูอยู่ครู่ใหญ่ก็แลเห็นฝุ่นที่กองอิฐปลิวฟุ้งทุกครั้งที่ยิงมา
เมื่อแน่ใจแล้วข้าพเจ้าก็เรียกคนประจำปืนเบา 75 มม.
กราบขวากระบอกที่หนึ่งมาบอกว่าข้าพเจ้าจะทำการยิงที่ตั้งเครื่องยิงลูกระเบิด
ให้ไปขนลูกปืนจากคลังขึ้นมาไว้ที่หน้าห้องพักนายพล
เมื่อได้ลูกปืนมาแล้วก็บอกกับพลประจำปืนว่า
ข้าพเจ้าจะทำหน้าที่เป็นพลประจำปืนหมายเลข 1 คือพลเล็งยิงเอง
พวกพลประจำปืนไม่ยอมให้ข้าพเจ้าเข้าทำหน้าที่ดังกล่าว พวกเขาจะจัดการเอง
ขอให้สั่งที่หมายให้ทราบชัดแน่ก็แล้วกัน
ข้าพเจ้าแง้มประตูขี้ที่หมายให้ดูจนเป็นที่แน่ใจแล้วก็สั่งให้เข้าประจำที่เริ่มทำการยิง
พลประจำปืนปราดเข้าประจำที่ บรรจุลูกปืนเข้าลำกล้องเริ่มส่งกระสุนไปยังเป้าหมาย
กระสุนสองนัดแรกพลาดจากที่หมายไปโดนตึกซึ่งอยู่ทางด้านหลัง นัดต่อๆ
มาถูกที่หมายอย่างจัง ข้าพเจ้าสั่งให้หยุดยิงหลังจากที่ได้ทำการยิงไปหกนัด
ผลของการยิงครั้งนี้ปรากฏว่า ลูกระเบิดที่ตกมาเรื่อยๆ นั้นขาดหายไป
สภาพการณ์บน ร.ล.ศรีอยุธยา สงัดเงียบ
แต่จิตใจของเราทุกคนมิได้สงบตามไปด้วย
ต่างกระวนกระวายใจคอยเรือที่จะลากจูงขึ้นไปมาทางเหนือน้ำ
สิบสารทีต่อมาข้าพเจ้าได้รับรายงานว่า
กำลังของฝ่ายรัฐบาลกำลังเคลื่อนตัวทยอยเข้าไปในบริเวณโรงเรียนราชินี
จึงได้ใช้กล้องสองตาตรวจดูก็เห็นสมจริง และเห็นว่าจะเป็นอันตรายต่อพลประจำเรือ
จำเป็นที่จะต้องทำการยิงขับไล่ให้ห่างออกไป
จึงสั่งให้พลประจำปืนทำการยิงเจาะกำแพงด้านสะพานท่าน้ำโรงเรียนราชินี
ข้าพเจ้าแน่ใจว่าในขณะนั้นทางโรงเรียนได้จัดการอพยพนักเรียนประจำไปหมดสิ้นแล้ว
เพราะตั้งแต่ระยะแรกๆ ที่ ร.ล.ศรีอยุธยามาจอดทอดสมออยู่นั้น
ไม่มีวี่แววจะมีผู้คนอยู่ภายในบริเวณโรงเรียนเลย
ข้าพเจ้าไม่มีเจตนาที่จะทำความเสียหายให้แก่สถาบันการศึกษาแห่งนี้
แต่เนื่องด้วยเหตุการณ์บังคับโดยเหตุผลดังกล่าวแล้วจึงเป็นอันสุดวิสัยที่หลีกเลี่ยง
เมื่อจำเป็นก็ต้องกระทำ
ขั้นแรกข้าพเจ้าคิดว่า กระสุนกระทบแตกขนาด 75 มม.
ของปืนเบาคงจะทำลายกำแพงโรงเรียนลงได้เป็นแถบๆ
มิให้กำลังฝ่ายรัฐบาลใช้เป็นเครื่องกำบังต่อไป
แต่เมื่อยิงไปนัดแรกก็รู้สึกว่าคิดผิดไปมาก
เพราะกระสุนปืนเพียงแต่เจาะทะลุผ่านกำแพงเป็นรู
แล้วไประเบิดเอาที่ใต้ถุนตึกหลังใหญ่ของโรงเรียน
ที่เป็นเช่นนี้เพราะระยะยิงใกล้เกินไป
กระสุนปืนมีความเร็วสูงเจาะทะลุกำแพงไปเสียก่อนที่ชนวนกระทบแตกจะทำงาน
แต่ผลของการยิงไปนัดแรกนี้ได้ผลดีสมควร
ทำให้กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาหยุดชะงักลงจึงได้สั่งให้ทำการยิงต่อไปอีกประมาณสามสี่นัด
แล้วก็สั่งหยุดยิง รอดูการเคลื่อนไหวต่อไป
ทันใดนั้นก็มีเสียงกระบอกพูดขยายเสียงจากป้อมวิชัยประสิทธิ์
ปากคลองบางกอกใหญ่ว่าให้ ร.ล.ศรีอยุธยา หยุดยิง โดยคำสั่งของ พล.ร.ต.แชน
ปัจจุสานนท์ รองเสนาธิการฝ่ายยุทธการ ได้พูดติดๆ กันหลายครั้ง ข้าพเจ้าได้ยินแล้ว
แต่ก็ทำเฉยเสียเพราะจะหยุดยิงได้อย่างไรในเมื่อต้องทำการต่อสู้เพื่อป้องกันตัว
และข้าพเจ้าได้ตั้งใจจะต่อสู้ในลักษณะการเช่นนี้ไปจนกว่าหมดกระสุนปืน
เมื่อฝ่ายตรงข้ามยิงมา ข้าพเจ้าก็ต้องสั่งยิงให้ยิงไป ถ้าจะต้องตายก็ขอตายบนเรือ
ป้อมวิชัยประสิทธิ์
ความหวังที่จะได้เรือกลไฟมาลากจูง
ร.ล.ศรีอยุธยาให้เคลื่อนที่ไปลดน้อยถอยลงทุกขณะ
ระยะเวลาสามชั่วโมงเศษผ่านไปโดยไม่มีข่าวคืบหนา ประมาณ 13.00 น.
นายทหารที่ไปติดต่อจึงได้กลับมารายงานว่า หาเรือกลไฟมาลากจูงไม่ได้แม้แต่ลำเดียว
เพราะทางด้านกองเรือรบนั้น
กำลังของฝ่ายเราไม่สามารถจะต้านทานการบุกทะลวงของฝ่ายรัฐบาลได้
เพราะอาวุธปืนขัดข้อง ลูกปืนหมด จำเป็นต้องถอนตัวออกจากที่นั่น ข้ามไปยังฝั่งธนบุรี
โดยทางเรือบ้าง โดยการว่ายน้ำบ้างและขณะนี้กำลังของทั้งสองฝ่ายกำลังยิงโต้ตอบกัน
ต่อมาไม่นานจะด้วยเหตุใดไม่ปรากฏ
ได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่คลังเชื้อเพลิง ทร.ไฟได้ลุกลามอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
เนื่องจากไม่สามารถจะช่วยกันดับได้ ในขณะที่กำลังติดพันสู้รับกันอยู่
กระแสน้ำไหลลงลดความเร็วลงเป็นลำดับ
จนเป็นกระแสน้ำอ่อนและเริ่มจะหยุดนิ่ง
ร.ล.ศรีอยุธยาไม่สามารถจะเคลื่อนตัวไปทางขวาและซ้ายได้อีกต่อไปแล้ว
คงทอดลอยตัวนิ่งอยู่กลางน้ำ รอ – รอต่อไป รอปาฏิหาริย์หรือ? หามิได้!
รอนาทีสุดท้ายเหมือนนักโทษประหาร รอเวลาที่เพชฌฆาตจะลั่นไกปืน
ข้าพเจ้าจะสู้ต่อไปโดยไม่ยอมลดธงรบลงและชักธงขาวขึ้น
ได้กล่าวมาแล้วว่าสู้แบบเลือดเข้าตา แต่สภาพในขณะนี้ต้องเพิ่มคำว่า
สู้อย่างหมาจนตรอกเข้าไปด้วย
ประมาณ 13.30 น. ร.ท. ชุบ จารุเหตุ สรั่งปืน ร.ล.ศรีอยุธยา
ได้เข้ามาพบกัน น.อ.อานนท์ ข้าพเจ้า และ พ.ต.วีระศักดิ์ ในห้องแผนที่
แจ้งความจำนงว่า เนื่องจากสภาพการณ์ทรุดลงทุกขณะ
ไม่เห็นว่าจะมีทางสู้รบกับฝ่ายรัฐบาลได้
บรรดานายทหารประจำเรือซึ่งทั้งหมดก็เป็นนายทหารชั้นผู้น้อย
ได้รวมมือกระทำการมาโดยเห็นแก่หมู่คณะทหารเรือตลอดมานั้น
ใคร่จะขอร้องให้บรรดานายทหารที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของคณะกู้ชาติถอนตัวออกจาก
ร.ล.ศรีอยุธยา แล้วเดินทางหลบหนีไปต่างประเทศเสีย
ส่วนพวกเขาทั้งหลายจะขอเอาตัวจอมพล ป.พิบูลสงคราม
ไว้เพื่อจะได้ช่วยเป็นประกันการเจรจากับรัฐบาลผ่อนหนักให้เป็นเบาไป น.อ.อานนท์
และข้าพเจ้าได้ขอร้อง ร.ท. ชุบ ให้รอดูเหตุการณ์ต่อไปอีกสักหน่อยก่อน
อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ร.ท.ชุบก็เข้ามาพบอีกด้วยเจตจำนงเดิม
เราได้ขอร้อง ร.ท.ชุบให้คอยอยู่นอกห้องสักครู่ เพื่อจะปรึกษาหารือกันก่อน
น.อ.อานนท์และข้าพเจ้าเห็นพ้องต้องกันว่า
เราไม่สามารถจะแก้ไขสถานการณ์ของฝ่ายเราให้ดีขึ้นได้แล้ว มีแต่จะแย่ลงทุกขณะ
เป็นการสมควรที่จะมอบตัวจอมพล ป.พิบูลสงคราม ให้แก่นายทหารชั้นผู้น้อย
ซึ่งได้ร่วมทำการสู้รบมาด้วยความรักหมู่คณะเพื่อได้เป็นทางช่วยให้ปลอดภัยจากโทษทัณฑ์
แต่เรายังไม่คิดหนีไปอย่างที่เขาแนะนำ จะขึ้นจากเรือไปพบผู้ใหญ่อีกครั้งก่อน
พ.ต.วีระศักดิ์ขัดแย้งไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้
จะขึ้นจากเรือไปพบผู้ใหญ่อีกครั้งก่อน พ.ต.
วีระศักดิ์ขัดแย้งไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ ได้บอกว่า จะเอาตัวจอมพล ป.
ให้กับพวกเขาไป
ในที่สุดก็เป็นอันตกลงตามข้อเสนอของนายทหารชั้นผู้น้อยในเรือ
และได้อธิบายให้ ร.ท.ชุบ ทราบจุดประสงค์ของพวกเราว่า
เราเพียงแต่จะขึ้นบกเพื่อไปเจรจากับผู้ใหญ่ต่อไปไม่คิดหนี
ขอให้ทางเรือจัดเรือโบตให้หนึ่งลำ และขอให้เรียกผู้สมัครเป็นคนกรรเชียงเรือด้วย
ร.ท.ชุบ หายลงไปข้างล่างสักครู่ใหญ่ก็มารายงานว่า เรือโบตพร้อมแล้ว
เราจึงพากันมาลงเรือ
|