เมื่อข้าพเจ้าจี้จอมพล 7
เมื่อข้าพเจ้าจี้จอมพล [7 ]
น.ต.มนัส จารุภา
พ.ต.วีระศักดิ์ กับข้าพเจ้านั่งรอรับจดหมายอยู่ที่บ้านนั้น
ส่วนอีกสองคนให้ติดรถยนต์เข้าไปในตลาดเพื่อหาอาหารรับประทานก่อน
สักครู่ใหญ่เมื่อเราได้รับจดหมายแล้ว ก็ติดตามไปสมทบที่ตลาด
ระหว่างทางที่เดินไปผ่านหน้าสถานีตำรวจ
ข้าพเจ้าเห็นรถยนต์โดยสารจอดอยู่คันหนึ่งมีลักษณะไม่ผิดเพี้ยนกับคันที่เรานั่งมา
เข้าใจผิดคิดว่าเป็นรถคันนั้น จึงขึ้นไปนั่งตรงที่คนขับ
ชั่วอึดใจหนึ่งก็รู้สึกผิดคันเสียแล้ว จึงรีบลงมาและเดินตาม พ.ต.วีระศักดิ์ ต่อไป
สังเกตเห็นนายสิบตำรวจผู้หนึ่งเดินติดตามมาเรื่อยๆ มาทราบภายหลังว่า
รถคันนั้นเป็นรถที่ทางการตำรวจเช่าไว้ใช้ในราชการ
พฤติการณ์ของข้าพเจ้าคงจะเป็นเหตุให้นายสิบตำรวจผู้นั้นสงสัยว่า
ข้าพเจ้ามีเจตนาทุจริตเป็นแน่ จึงสะกดรอยตามมา ต่อเมื่อเดินมาถึงรถคันที่เราเช่ามา
ข้าพเจ้าก็ได้ขึ้นไปนั่งบนรถนายสิบตำรวจผู้นั้นคงสิ้นสงสัยแล้วก็เดินจากไป
น.อ.อานนท์ น.ต.ประกาย และ พ.ต.วีระศักดิ์
เข้าไปรับประทานอาหารอยู่ในร้านข้าพเจ้าคงนั่งคอยอยู่บนรถตลอดเวลา
เพราะไม่รู้สึกหิว เวลา 22.00 น.
ได้ยินวิทยุกรมประชาสัมพันธ์จากในร้านประกาศแถลงข่าวของทางราชการ
มีประกาศปลดนายทหารออกจากประจำการ ซึ่งมีชื่อ น.อ.อานนท์ เป็นอันดับ 8
ข้าพเจ้าเป็นอันดับ 9 และ ร.ท.สมหมาย บุญนาค เป็นอันดับสุดท้าย
ซึ่งฟังแล้วก็ไม่เกิดความรู้สึกอันใด เมื่อ
น.อ.อานนท์กลับมาขึ้นรถก็ถามว่าได้ยินหรือเปล่า ข้าพเจ้าตอบว่าได้ยินแล้ว
จะปลดก็ปลดไปเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเราแพ้เขาแล้ว
หนทางที่เราจะต้องเดินทางต่อไปคือ สายเชียงราย – แม่สาย
ระยะทากว่าหกสิบกิโลเมตร เราว่าจ้างรถคันเดิมต่อไปอีก ด้วยราคาหนึ่งร้อยบาท
ซึ่งเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูงแต่เราก็ต้องยอม
เพราะได้ทราบว่าถนนไม่สู้ดีมีหล่มหลายแห่ง เริ่มออกเดินทางเวลาประมาณ 20.30 น.
รถแล่นฝ่าความมืดไปด้วยความเร็วพอสมควร
โขยกเขยกไปตามเส้นทางที่ขรุขระและเปล่าเปลี่ยว
เราต่างคนต่างนิ่งเงียบไม่มีใครพูดอะไรกัน
จนกระทั่งรถยนต์ไปจอดที่ด่านตรวจที่อำเภอแม่จัน นายสิบตำรวจโทแก่ๆ
คนหนึ่งเอาไฟฉายมาส่องตรวจดูในรถ พลางบอกว่าเจ้านายสั่งให้ตรวจอย่างละเอียด เพราะ
น.อ.อานนท์ กับพรรคพวกอาจจะหลบหนีมาทางนี้ก็ได้
เราช่วยกันบอกว่าพวกเราเป็นพวกพ่อค้าจะไปติดต่อขายยา
ได้ได้เกี่ยวข้องกับพวกเหล่านั้นหรอก เชิญตรวจค้นตามสบาย เราเปิดกระเป๋าให้ดู
เขาตรวจดูเป็นที่พอใจแล้วก็เอาไฟฉายส่องดูหน้าพวกเราทีละคนพลางบ่นว่า
จะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นใคร บุคคลที่ออกนามมาอาจจะเป็นพวกเราก็ได้
ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาหรือรูปถ่ายเลยสักครั้ง เราฟังแล้วก็ทำใจดีสู้เสือบอกเขาว่า
ก็น่าเห็นใจผู้ทำการตรวจค้น แต่พวกเราไม่ใช่พวกนั้นแน่ๆ นายสิบตำรวจถามต่อไปว่า
จะไปค้าขายที่ไหนเราบอกว่าจะไปติดต่อค้าที่ตลาดอำเภอแม่สายนี่เอง
จะกลับภายในระยะสองสามวัน พวกเราคนหนึ่งยื่นบุหรี่ให้สูบ
เขารับไปจุดแล้วก็ออกปากขอฝากตำรวจนายหนึ่งไปลงที่ตลาดอำเภอแม่สายด้วย
เรารับปากและร้องเชิญให้ขึ้นรถ ตำรวจนายนั้นขึ้นมาแล้วก็นั่งเงียบ
ต้องชวนคุยและยื่นบุหรี่ให้สูบตลอดทาง รถแล่นต่อไปโดยไม่มีอุปสรรค
หลายต่อหลายครั้งที่รถทำท่าจะติดหล่ม แต่ก็ตะเกียกตะกายขึ้นมาจนได้
เราปลอดภัยเรื่อยมา
ทางใกล้พรมแดนระหว่างประเทศไทยกับสหภาพพม่าเข้าไปทุกขณะ
อีกด่านเดียวเท่านั้นเราก็จะพ้นเงื้อมมือของเจ้าหน้าที่
เมื่อรถถึงบริเวณตลาดอำเภอแม่สายตำรวจนายนั้นก็ลงจากรถไป
รถแล่นไปจอดที่ใกล้สถานีตำรวจอำเภอแม่สาย เมื่อเวลาประมาณ 23.00 น.
ประตูร้านปิดแล้ว เราต้องเคาะเรียกคนในร้านให้เปิดรับ
และเข้าไปพบกับผู้ที่ระบุนามมากับจดหมาย เขาผู้นั้นได้ทราบข้อความในจดหมายแล้ว
ก็กุลีกุจอให้ความสะดวกและสบายโดยจัดห้องให้นอน และจัดหาผ้า ห่มผืนใหญ่มาให้
เนื่องจากอากาศค่อนข้างหนาว เราจึงชำระล้างร่างกายให้สะอาดด้วยการล้างหน้า
และล้างมือเท่านั้น เจ้าของร้านได้กรุณาไต่ถามถึงการเดินทาง
และการรับประทานอาหารมื้อเย็น เพื่อจะจัดหามาให้หากเรายังมิได้รับ
เมื่อได้รับคำตอบว่าเรียบร้อยแล้ว ก็ทิ้งให้เราได้พักผ่อนกันแต่ลำพัง
คืนนั้นเราหลับอย่างเป็นตาย
ด้วยความอบอุ่นภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่รวดเดียวไปจนกระทั่งรุ่งเช้า
เราตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงระฆังจากสถานีตำรวจตีบอเวลา 06.00 น.
เจ้าของร้านจัดอาหารเช้ามาให้ มีกาแฟร้อนกับปาท่องโก๋
พ.ต.วีระศักดิ์จัดการส่งคนไปติดต่อหาคนนำทางข้ามฟากไปฝั่งท่าขี้เหล็ก
ซึ่งเป็นเขตแดนสหภาพพม่า ได้รับตอบมาว่าจะมีคนนำไปดอยตุงเวลา 10.00 น.
เรารอจนได้เวลา 09.30 น. จึงทยอยกันเดินไปยังบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดนัดพบ
รอคนนำทางอยู่จนกระทั่ง 11.00 น.
ก็ยังไม่มีใครมาตามนัดเรากระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง
ขณะนั้นมีรถยนต์บรรทุกตำรวจเต็มคันรถแล่นผ่านไปยิ่งทำให้พวกเราคิดว่าเห็นทีจะจนมุมอยู่ที่อำเภอแม่สายนี้เอง
ภรรยาของเจ้าของบ้านเห็นเราแสดงอาการร้อนใจก็บอกว่าจะไปสอบถามให้
เธอออกจากบ้านไปพักใหญ่ ก็กลับมาบอกว่าคนนำทางไม่สามารถจะพาพวกเราไปได้
เพราะตำรวจวางยามตามจุดผ่านไว้มาก แต่เธอจะพยายามหาทางให้เอง
ทั้งยังบอกให้ทราบว่าผู้บังคับกองตำรวจซึ่งข้าพเจ้าจำชื่อไม่ถนัด
ได้นำตำรวจไปเปลี่ยนยามที่เชียงรายแล้ว เธอกลับออกไปอีกพักใหญ่ก็มาบอกว่า
ได้ตกลงกับตำรวจที่รักษาการณ์เรียบร้อยแล้ว เขาขอเงินสองร้อยบาท
เราทุกคนดีใจเป็นล้นพ้น รีบมอบเงินตามจำนวนให้แก่เธอไป
อีกสิบนาทีต่อมาก็กลับเข้ามาบอกว่า ให้เดินทางออกไปได้แล้ว แต่ให้ไปทีละคน
เราเดินไปตามถนนที่ตัดผ่านหน้าสถานีตำรวจอำเภอแม่สายไปช้าๆ ทิ้งระยะห่างกันพอสมควร
ข้าพเจ้าเดินรั้งท้าย เมื่อผ่านหน้าสถานีตำรวจ
ชำเลืองดูเห็นตำรวจยามยืนถืออายุธรักษาการณ์อยู่บนสถานี เขาไม่ได้สนใจพวกเราเลย
เราเดินตามกันเรื่อยไปผ่านหน้าด่านศุลกากรอำเภอแม่สายแล้วเลียบลงไปตามทางเดินเชิงสะพานที่เชื่อมระหว่างอำเภอแม่สายของประเทศไทยกับตำบลท่าขี้เหล็กของสหภาพพม่าในขณะนั้น
สะพานยังคงอยู่ในสภาพที่ปรักหักพังจากการทิ้งระเบิดเมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่สอง
มีกระต๊อบเล็กหลังหนึ่งปลูกอยู่ที่ปลายทางเดินข้างสะพานนั้น
ชายผู้หนึ่งแต่งกายนุ่งกางเกงสีกากี สวมเสื้อเชิ้ตขาวเดินไปมาอยู่ข้างประตูกระต๊อบ
เมื่อผ่านไปสังเกตเห็นว่าเขาชำเลืองมองดูข้าพเจ้าด้วยหางตา
ข้าพเจ้าแน่ใจว่าชายผู้นั้นต้องเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจคนที่ตกลงกับเรา
ประกอบกับเห็นผู้ที่เดินไปข้างหน้าทั้งสามคนก็ผ่านไปเรียบร้อยไม่มีท่าทีว่าจะเป็นอันตรายใดๆ
ข้าพเจ้าก็รีบสาวเท้าลงไปตามทางที่ลาดต่ำอย่างรวดเร็ว
ด่านท่าขี้เหล็ก ตรงข้ามกับแม่สาย
เหนือสุดยอดแดนสยาม (ภาพปัจจุบัน)
ทันทีที่เท้าข้างหนึ่งจุ่มลงไปในแม่น้ำแม่สาย
ข้าพเจ้าก็บอกกับตัวเองว่า พอกันทีอย่ามาตามจับตัวกันเสียให้ยากเลย
ข้าพเจ้าลุยน้ำตามหลัง น.อ.อานนท์ น้ำในแม่น้ำแม่สายมีระดับเพียงเอว
แต่กระแสก็ไหลแรงพอดู ปะทะตัวให้โอนเอนไปมา บางครั้งก็ลื่นถลำไปบนกองหินใต้น้ำ
ทำให้จมลงไปถึงแค่คาง สุดท้ายก็ก้าวขึ้นฝั่งตลาดขี้เหล็กดินแดนของสหภาพพม่า
ซึ่งมีอธิปไตยของตนเองโดยสมบูรณ์
บัดนี้
เป็นอันว่าเราได้รับสิทธิคุ้มครองจากกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยผู้ลี้ภัยทางการเมืองแล้ว
เราเชื่อว่า
ต่อแต่นี้ไปเงื้อมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยไม่สามารถจะมาเหนี่ยวรั้งเอาตัวพวกเราไปได้โดยเด็ดขาด
ลาก่อน ประเทศไทยที่รัก
จนกว่าจะกลับมาอีก
+ + + + จบสมบูรณ์ + + + +