เหมือนทะเลมีเจ้าของ
เหมือนทะเลมีเจ้าของ
หนังสือพิมพ์
ผู้จัดการรายวัน
วันที่ 7 กันยายน 2549
เรื่อง - กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องวรรณกรรม ไม่ได้ข้องเกี่ยวอะไรกับรางวัลซีไรต์ปีล่าสุด
แต่ ‘เหมือนทะเลมีเจ้าของ’
เป็นชื่อที่มีความหมายตรงไปตรงมาที่สุดสำหรับเรื่องราวต่อไปนี้
ทะเลจะมีเจ้าของได้อย่างไร? ใครจะมาเป็นเจ้าของทะเล? เป็นไปไม่ได้หรอก!!
ก็นั่นน่ะสิ ทะเลจะมีเจ้าของได้ยังไง แต่ว่า...ทะเลกำลังจะมีเจ้าของจริงๆ
และคนแรกที่กำลังจะฮุบทะเลเหมือนกับที่เคยฮุบทรัพยากรทุกอย่างในประเทศ
ตั้งแต่ที่ดิน ป่าไม้ แม่น้ำ
จากชาวบ้านที่อยู่กินกับธรรมชาติมานานนับนานก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
เป็นผู้เล่นตัวโตตัวเดิมที่ไม่เคยมีใครทำอะไรได้ เขาคือ ‘รัฐ’
ทะเลกำลังจะมีเจ้าของ
-1-
หลายคนคงได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของนโยบายแปลงทรัพย์สินเป็นทุนกันเป็นอย่างดี
ซึ่งเรียกว่าเป็นนโยบายอันโดดเด่นของรัฐบาลชุดนี้
และเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายดังกล่าวบวกกับเพื่อแก้ปัญหาความยากจนของประชาชน
เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2547 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้เสนอโครงการซีฟูดแบงก์
(Sea Food Bank)
เข้าสู่คณะรัฐมนตรี และแน่นอนโครงการนี้ได้รับมติเห็นชอบในหลักการอย่างไม่ยากเย็น
อย่างรวบรัดที่สุด หลักการของโครงการที่ว่าคือการนำท้องทะเลสีครามเข้ามาเป็นของรัฐ
จากนั้นรัฐจะเป็นผู้แจกจ่ายพื้นที่ทางทะเลให้แก่เกษตรกรที่ต้องการที่ทำกินด้านการประมงที่ได้แจ้งความประสงค์ไว้
หรือเราจะเรียกสิ่งนี้ว่าการออก ‘โฉนดทะเล’ ก็คงจะไม่ผิด
ทะเลสาบสงขลายังสวยงาม
แต่ชีวิตชาวประมงพื้นบ้านที่นี่กำลังย่ำแย่
ทีนี้ขั้นต่อไปก็คือเกษตรกรผู้ที่ได้โฉนดทะเลไป
สามารถนำเอกสารสิทธิไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้กับแหล่งทุนได้
แล้วนำทุนที่ได้มาจัดหาและเพาะพันธุ์สัตว์น้ำเศรษฐกิจ (อีกเช่นกัน
รัฐผู้ชาญฉลาดก็คิดไว้ให้หมดแล้วว่าต้องเลี้ยงอะไรบ้าง) ทั้งหมด 5 ชนิดได้แก่
หอยแมลงภู่ หอยแครง หอยนางรม ปลากะรังหรือปลาเก๋า และปลากะพงขาว หอย 3
ชนิดแรกหาอาหารได้เองตามธรรมชาติ ส่วนปลา 2
ชนิดหลังจะต้องใช้อาหารที่ผลิตจากฟาร์มเพาะเลี้ยงในพื้นที่โครงการ
นอกจากชาวบ้านจะหายยากจนเป็นปลิดทิ้งแล้ว
ตัวโครงการยังบอกอีกด้วยว่าจะช่วยฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลให้กลับคืนมา
เนื่องจากผลผลิตที่ได้จากการเพาะเลี้ยงจะช่วยทดแทนการจับจากธรรมชาติได้
มองโลกในแง่ดีได้ว่า เมื่อชาวบ้านซึ่งเป็นชาวประมงขนาดเล็กหันมาเลี้ยงแทนการจับ
บรรดาเรือประมงพาณิชย์ขนาดใหญ่ก็จะจับสัตว์น้ำน้อยลง
โครงการดีๆ ขนาดนี้
จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้คิดจะต้องมีมุมมองต่อโลกในแง่ดีอย่างที่สุด อาทิ
จะมีตลาดใหญ่โตรองรับผลผลิต ผู้เลี้ยงได้กำไรจุนเจือครอบครัว ไม่มีคำว่าขาดทุน
จะไม่มีผู้มั่งมีรายได้มาฮุบเอกสารสิทธิทางทะเลเหมือนที่เคยเกิดกับส.ป.ก.4-01
และนายทุนเรือประมงขนาดใหญ่จับสัตว์น้ำน้อยลงเพื่อเห็นแก่สิ่งแวดล้อม.....
-2-
แต่ขอทำตัวเป็นคนมองโลกแง่ร้ายเล็กน้อย
มาไล่เรียงกันทีละจุดว่ามีตรงไหนบ้างของโครงการดีๆ โครงการนี้ที่น่าหวั่นวิตก
พูดถึงความยากจนของชาวบ้านริมฝั่งทะเล สาวกันให้ถึงต้นตอ
ความจนของชาวบ้านไม่ได้เกิดจากการมีเงินน้อย
แต่ข้อเท็จจริงในเชิงประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตของ ‘ชาวประมงพื้นบ้าน’
พวกเขาพึ่งพิงทะเลอย่างมีความสุขและพออยู่พอกินมาช้านาน
ตราบจนกระทั่งเกิดอุตสาหกรรมประมงขนาดใหญ่ เรืออวนลาน
อวนรุนที่สามารถกวาดต้อนสิ่งมีชีวิตใหญ่น้อยใต้ท้องทะเลขึ้นสู่ความตายบนเรือได้
โดยที่รัฐไม่ได้ใส่ใจกำหนดกฎเกณฑ์อย่างแน่นหนาเพียงพอแต่อย่างใด
การปล่อยปละละเลยนำมาซึ่งความเสียหายของทรัพยากรทางทะเลจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่า
ย่อยยับ
อ่าวไทย พ.ศ.2504 สามารถจับสัตว์น้ำได้ชั่วโมงละ 298 กิโลกรัม แต่ พ.ศ.2542
ปริมาณสัตว์น้ำที่จับได้เหลือแค่ชั่วโมงละ 3 กิโลกรัม (นี่ไม่ใช่การพิมพ์ผิด
เหลือแค่ชั่วโมงละ 3 กิโลกรัมจริงๆ)
ตรรกะพื้นๆ ของคำตอบง่ายๆ ที่ได้ก็คือเมื่อปลาสาบสูญไปจากทะเล
แล้วชาวประมงพื้นบ้านที่มีเรือลำเล็กๆ เครื่องไม้เครื่องมือธรรมดา
กับภูมิปัญญาในการฟังเสียงปลา เสียงลม จะเอาปลาที่ไหนมาเลี้ยงชีพ
เมื่อไม่มีปลาจึงเป็นการง่ายนิดเดียวที่พวกเขาจะถูกต้อนเข้าสู่สารบบคนจนของรัฐ
“สมัยก่อนเป็นวิถีชีวิตที่น่าอยู่มาก ทั้งด้านอาชีพและวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิม ‘เลสาบตอนผมยังเล็กๆ
เราหากินกันแบบธรรมดา ไม่ใช้เครื่องมือทันสมัยแบบเดี๋ยวนี้ เราทอดแห วางอวน
ใช้ไม้พายพายเรือ ใช้เรือใบ ชาวประมงเราจะรู้ว่าปลาอยู่ตรงไหน ไม่ต้องใช้เรดาร์
ดาวเทียม ดูลมเอา ว่าถ้าลมนี้มา สัตว์น้ำชนิดไหนจะขึ้นมา”
คำบอกเล่าอดีตของ น้อย แก่นแท่น ลูก ‘เลสาบสงขลา แต่อดีตก็คืออดีต
ทุกวันนี้น้อยและชาวประมงคนอื่นๆ จับปลาได้น้อยลง
ปลาที่จับได้ก็ตัวเล็กลงเหมือนเป็นโรคขาดสารอาหาร
ส่วนประเด็นที่ว่าโครงการซีฟูดแบงก์จะช่วยให้สิ่งแวดล้อมทางทะเลกลับฟื้นฟูขึ้น
ภาคภูมิ วิธานติรวัฒน์ เครือข่ายความร่วมมือฟื้นฟูชายฝั่งอันดามัน
และสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
กลับเห็นว่าเป็นการตั้งสมมติฐานที่ผิดของภาครัฐ
“สมมติฐานที่ส่งเสริมการเลี้ยงปลานี่มันผิด
คือกรมประมงตั้งสมมติฐานว่าทะเลเสื่อมโทรม ปลาน้อยลง มีชาวประมงมากขึ้น
ก็เลยต้องเปลี่ยนชาวประมงมาเป็นผู้เพาะเลี้ยง เพื่อผลผลิตทางทะเลด้วยการเพาะเลี้ยง
แต่ถ้าเราดูจริงๆ จะพบว่าชาวประมงที่ออกหาปลาไม่ได้เพิ่มขึ้น
แต่ชาวประมงที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่เพาะเลี้ยงซึ่งคนเหล่านี้เดิมไม่ได้มีอาชีพประมง
แต่เป็นพ่อค้า ข้าราชการ ทำสวนยาง
พอมีการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงคนเหล่านี้จึงสร้างฐานเศรษฐกิจอีกขาหนึ่งขึ้นมา
ดังนั้น เรื่องโฉนดทะเลเอาเข้าจริงๆ มันจะไม่ได้เปลี่ยนจากชาวประมงมาเพาะเลี้ยง
แต่จะเป็นการเพิ่มผู้เพาะเลี้ยงรายใหม่เข้าไป
ซึ่งก็จะทำให้ทะเลมีปัญหาการเสื่อมโทรมมากขึ้น
“ประการต่อมาคืออาหารหลักของปลาที่เพาะเลี้ยงมันเป็นปลาเป็ด ปลาไก่ ทั้งนั้น
หรือแม้แต่อาหารสำเร็จรูปที่เราซื้อมาเลี้ยงปลา โปรตีนสำคัญก็เอามาจากปลาเป็ด
ปลาไก่ ซึ่งทุกวันนี้เราหาได้ไม่พอ
ยังต้องมีกองเรือไปล่าปลาเล็กปลาน้อยอยู่ที่อินเดีย และศรีลังกา ฉะนั้น
การเพาะเลี้ยงถ้าไม่ดูให้ดีมันจะยิ่งกลับไปทำลายทะเล”
ทะเลอ่อนล้า ฝูงปลาร้องไห้...
-3-
เมื่อรู้ต้นเหตุของความยากจนแล้วก็กลับมาดูตัวโครงการของรัฐ
ซึ่งไม่ได้เข้าไปคลายเงื่อนปมของสาเหตุแต่อย่างใด
ยังคงปล่อยให้มีการจับปลาของเรือประมงขนาดใหญ่ต่อไป
ขณะที่ชาวประมงพื้นบ้านก็ทำได้แค่ทิ้งเรือไว้บนหาดและทิ้งบ้านไว้ข้างหลัง
อพยพไปเป็นแรงงานรับจ้างในเมือง
แล้วโฉนดทะเลจะเยียวยาความบอบช้ำนี้ได้จริงหรือ?
ภาคภูมิอธิบายว่า
“เรื่องโครงการอาหารทะเลมีการถกเถียงเป็น 2 ประเด็นคือ
เรื่องการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงกับการออกโฉนดทะเล ในประเด็นแรกนั้นไม่มีใครคัดค้าน
เว้นแต่ตั้งข้อสังเกตว่าจะต้องคำนึงถึงระบบนิเวศของพื้นที่ด้วย
เพราะถ้าเลี้ยงมากเกินไปจนเกินขีดที่ระบบนิเวศจะซึมซับของเสียได้ก็อาจจะเกิดผลกระทบ
“แต่ที่มีปัญหามากคือการออกโฉนดทะเล เพราะทั้งชาวประมง
ทั้งนักท่องเที่ยวต่างเห็นว่าทะเลเป็นทรัพย์สาธารณะไม่ควรยกให้เป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล
มันเคยมีตัวอย่างมาก่อนแล้วที่อ่าวบ้านดอนและอ่าวปัตตานีที่มีการอนุญาตให้เลี้ยงหอยในทะเล
มีใบอนุญาตเป็นปีๆ แรกๆ ก็เป็นเกษตรกรรายย่อย
แต่พอเลี้ยงไปสักพักหนึ่งผู้เลี้ยงรายย่อยก็ประสบภาวะขาดทุน
จึงเริ่มมีการขายสิทธิ์ของตัวเอง
ตอนนี้ที่อ่าวบ้านดอนและอ่าวปัตตานีแม้ชื่อจะยังเป็นของรายย่อย
แต่เจ้าของตัวจริงเป็นของนายทุนใหญ่ซึ่งบางคนครองพื้นที่ทะเลถึง 5 พันไร่”
วสันต์ พานิช
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
วสันต์ พานิช
หนึ่งในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด
กล่าวเพิ่มเติมในกรณีการออกโฉนดทะเลว่า
“การแปลงสินทรัพย์เป็นทุนนี้มันยังโยงไปถึงเรื่องอาหารปลอดภัย
ก็คือถ้าสัตว์น้ำที่ได้ไม่กรรมวิธีการเลี้ยงในกระชัง
ชาวบ้านจะไม่มีสิทธิส่งออกสัตว์น้ำไปยังต่างประเทศได้ นอกจากนี้
ยังอีกแนวความคิดหนึ่งกำกับเข้ามาด้วยก็คือ Contact Farming
มันเป็นสัญญาในการทำเกษตร
ผลปรากฏว่าต่อไปนี้จะมีบริษัทด้านเกษตรเอาพันธุ์สัตว์น้ำมาขาย
ซึ่งจะโยงถึงอาหารของสัตว์น้ำและยา
แปลว่าชาวประมงผู้เลี้ยงจะต้องซื้อทุกอย่างจากบริษัทเหล่านี้
รวมตลอดถึงกลไกการตลาดคือจะมีห้องเย็นมารับซื้อเอง
มันก็เหมือนกับการเลี้ยงกุ้งกุลาดำหรือไก่ที่ชาวบ้านเป็นคนลงทุนเอง
แต่กลไกทั้งหมดถูกควบคุมโดยระบบทุน
“ดังนั้น จะเห็นว่าคนที่รับเคราะห์จริงๆ ก็คือชาวบ้าน
เพราะเมื่อยึดทรัพย์สินของชุมชนมาเป็นของปัจเจก
ถ้าเกิดปัญหาขึ้นชาวบ้านก็จะถูกยึดที่ในทะเลไปอยู่ในมือของทุน
แทนที่จะเป็นแหล่งน้ำสาธารณะที่ใครก็สามารถจับปลาได้”
-4-
กล่าวในเชิงสิทธิ ขณะที่รัฐธรรมนูญมาตรา 46
ระบุว่าชุมชนมีสิทธิในการจัดการทรัพยากรของตน
การออกโฉนดทะเลกลับเป็นความพยายามฉีกขาดสิทธิชุมชนให้เหลือเพียงสิทธิเชิงปัจเจก
โดยยังไม่ต้องกล่าวถึงว่าโครงการนี้ได้มีการพูดคุยกับชาวบ้านหรือเปล่า
และชาวบ้านเห็นด้วยกับแนวคิดนี้หรือไม่
เพราะความอันตรายร้ายแรงประการสำคัญของการออกโฉนดทะเล
คือการกัดกร่อนความสัมพันธ์ของผู้คนในชุมชน
ทำไม?
“ปกติสิทธิของชาวประมงในการเลี้ยงปลาหรือการทำประมงทะเล ถ้าเป็นชาวมุสลิม
ทุกคนจะยืนยันร่วมกันว่าทะเลเป็นของพระผู้เป็นเจ้า แปลง่ายๆ
คือทะเลเป็นสมบัติสาธารณะ ไม่ควรจะเอามาเป็นสมบัติของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ดังนั้น
สิทธิในการเป็นเจ้าของทะเลของเขาโดยวัฒนธรรมจะไม่มี มันจะมีสิทธิเฉพาะตอนที่เลี้ยง
เมื่อคุณเลิกเลี้ยงทะเลก็จะกลับเป็นของสาธารณะ
แต่ทีนี้โฉนดทะเลจะทำให้สิทธินี้ยังคงอยู่แม้จะไม่เลี้ยงปลา” ภาคภูมิอธิบาย
ด้านวสันต์มองว่าโฉนดทะเลจะทำให้วิถีชีวิตของชาวประมงพื้นบ้านถูกทำลาย
“เมื่อทะเลซึ่งเป็นที่สาธารณะกลายเป็นของบุคคล ทะเลหน้าบ้านที่เคยใช้หากินร่วมกัน
พอเอามาแปลงเป็นของปัจเจก ออกโฉนดให้แต่ละรายๆ ต่อไปนี้ทะเลหน้าบ้านจะไม่มีแล้ว
ชาวประมงก็ต้องออกไปหากินที่อื่นที่ไกลออกไป
กลายเป็นว่าความสิ้นเปลืองที่เกิดขึ้นมันไปทำลายวิถีชีวิตของชุมชนที่เคยอยู่กับทรัพยากรธรรมชาติอย่างพอเพียง”
เรือหาปลาของชาวบ้านที่เคยล่องไปทั่วอาจทำไม่ได้อีกต่อไปเพราะทะเลกำลังจะมีเจ้าของ
ในสายตาของน้อย ลูกเลสาบสงขลา โฉนดทะเลมีแต่จะสร้างความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับชุมชน
และระหว่างชาวบ้านในชุมชนด้วยกันเองอย่างรุนแรง
“ถ้าไอ้โครงการซีฟูดแบงก์ลงไปจะเกิดผลกระทบระหว่างชุมชนกับชุมชนอย่างแรง
เพราะจะเกิดการแย่งพื้นที่จับจองกัน
เพราะโดยปกติชาวประมงเราสามารถหากินได้ไม่จำกัดพื้นที่ จะไปหากินตรงไหนก็ได้
แต่โครงการนี้จะทำให้เราทะเลาะกัน หน้าบ้านใครคนนั้นก็จับจอง
คนอื่นจะเข้าไปหาปลาไม่ได้”
เหตุนี้ข้อเรียกร้องของชาวประมงพื้นบ้านในการฟื้นฟูความแข็งแรงให้ทะเลและฟื้นฟูความอยู่ดีกินดี
จึงไม่ใช่การทำให้ทะเลมีเจ้าของ แต่จะต้องมีการใช้ประโยชน์จากทะเลอย่างยั่งยืน
มีการควบคุมเครื่องมือประมง ไม่ให้มีเครื่องมือประมงที่ทำลายพันธุ์สัตว์น้ำ
ร่วมกันอนุรักษ์ป่าชายเลน หญ้าทะเล และปะการัง หากทำได้ทะเลก็จะเพียงพอสำหรับทุกคน
อันที่จริงนับจากแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8
เป็นต้นมาจนถึงรัฐธรรมนูญปี 2540
ได้พูดไว้ชัดเจนถึงการกระจายอำนาจการจัดการทรัพยากรสู่ท้องถิ่น
ปัญหาก็คือภาครัฐให้ความสนใจมากน้อยแค่ไหนกับการกระจายอำนาจที่ว่า
เพราะการยินยอมกระทำตามรัฐธรรมนูญอาจก่อให้เกิดการกระแทกอย่างรุนแรงต่อโครงสร้างอำนาจรัฐ
บทบาทการนิยามและการกำหนดทิศทางการพัฒนาที่รัฐเคยกุมมาตลอดจะถูกเปลี่ยนมือ
แล้วใครที่ไหนจะยอม
“ความต้องการของทุกคนคืออยากจะมีสิทธิในทุกๆ เรื่อง” น้อยกล่าวทิ้งท้าย
-5-
โดยไม่ต้องอาศัยระดับสติปัญญาที่สลับซับซ้อนมากมาย
ความรู้สึกสามัญที่สุดของทุกคนน่าจะมีคำตอบคล้ายคลึงกันอยู่ในใจ
คงเป็นเรื่องแปลกพิลึก เมื่อวันหนึ่งก่อนที่เราจะกางแขนรับสายลมเย็นๆ
เรากลับต้องถามใครต่อใครก่อนว่าอากาศตรงนี้เป็นของใคร?
หรือเมื่อวันหนึ่งก่อนที่เราจะกระโดดลงทะเลเขียวคราม
กลับมีคนตะโกนบอกว่าทะเลตรงนี้มีคนซื้อไปแล้ว
...เหมือนทะเลมีเจ้าของ