โลกร้อนใกล้ถึงจุดวิกฤติอุณหภูมิเฉียด 3 ล้านปีก่อน น้ำทะเลท่วมแผ่นดิน!!
โลกร้อนใกล้ถึงจุดวิกฤติอุณหภูมิเฉียด 3 ล้านปีก่อน น้ำทะเลท่วมแผ่นดิน!!
หนังสือพิมพ์
ผู้จัดการออนไลน์ วันที่
27 กันยายน 2549 14:51 น.
เอเจนซี -
ผู้เชี่ยวชาญเตือนหากมนุษย์ไม่หยุดยั้งการแพร่กระจายก๊าซเรือนกระจก
อุณหภูมิโลกอาจพุ่งสูงถึงระดับเดียวกับเมื่อหลายล้านปีก่อน
โดยเฉพาะในบางส่วนของมหาสมุทรแปซิฟิก แหล่งกำเนิดปรากฏการณ์เอลนิโนตัวร้าย
โลกร้อนขึ้นทุกวัน น้ำแข็งขั้วโลกกำลังละลายหนัก
ไม่เว้นแต่เจ้าหมีขั้วโลกที่เดือดร้อนเพราะไม่มีก้อนน้ำแข็งจะให้เกาะ
หมีเหล่านี้อาจต้องจมทะเลขั้วโลกตายสักวัน
และจากนักมนุษย์อย่างพวกเราก็จะจมน้ำไปตามกัน เพราะเมื่อน้ำแข็งขั้วโลกละลาย
น้ำก็ย่อมไหลเพิ่มปริมาณตามมหาสมุทรต่างๆ มากขึ้น
จากข้อมูลของทีมวิจัยที่นำโดยเจมส์ แฮนเซน (James Hansen) นักอุตุนิยมวิทยา แห่งสถาบันกอร์ดดาร์ด (Goddard Institute)
เพื่อการศึกษาอวกาศขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา)
ในนิวยอร์กซิตี้ ที่ตีพิมพ์อยู่ในวารสารโปรซีดดิงส์ ออฟ เนชันแนล อะคาเดมี ออฟ ไซนส์ (Proceedings
of the National Academy of Sciences) ฉบับวันที่ 26 ก.ย. ระบุว่าปรากฏการณ์เอลนิโนเป็นปัจจัยสำคัญในการติดตามตรวจสอบภาวะโลกร้อน
ธารน้ำแข็งที่เคยเป็นแหล่งท่องเที่ยวสวยงาม กุดด้วนเสียแล้ว
รายงานดังกล่าวระบุว่า เพราะเอลนิโนสามารถผลักดันให้อุณหภูมิสูงขึ้นกว่าปกติ
ดังที่เกิดขึ้นในปี 1998 ซึ่งเรียกกันว่า 'ซูเปอร์เอลนิโน'
ที่ทำให้อุณหภูมิโลกร้อนเป็นประวัติการณ์ ประเด็นสำคัญที่นักวิจัยทีมนี้ค้นพบก็คือ
ในปีที่ผ่านมา อุณหภูมิโลกอยู่ในระดับเดียวกับปี 1998
และอาจถือเป็นปีที่อากาศร้อนที่สุด โดยปราศจากสัญญาณว่า
ผิวน้ำบริเวณแนวเส้นศูนย์สูตรด้านตะวันออก ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของเอลนิโน
ร้อนขึ้นแต่อย่างใด
ขณะนี้ น้ำในแนวเส้นศูนย์สูตรทางแปซิฟิกตะวันตกอุ่นกว่าด้านตะวันออก
และความแตกต่างของอุณหภูมิผิวน้ำระหว่างสองบริเวณนี้
อาจทำให้อุณหภูมิผันผวนรุนแรงขึ้นระหว่างสภาพอากาศปกติกับเอลนิโน
ที่สำคัญปรากฏการณ์โลกร้อนในขณะนี้กำลังส่งผลต่อผิวน้ำบริเวณแปซิฟิกตะวันตกก่อนซึมซับลงสู่น้ำทะเลด้านล่าง
เมืองใหญ่แหล่งก่อก๊าซเรือนกระจกที่หยุดยั้งไม่ได้
ในการศึกษาของแฮนเซนพบว่า อุณหภูมิโลกสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เฉลี่ย 0.4 องศาฟาเรนไฮต์
(0.2 องศาเซลเซียส) ต่อทศวรรษตลอดช่วง 30 ปีที่ผ่านมา
และหากอุณหภูมิโลกขยับขึ้นไปอีกเพียง 1.8 องศาฟาเรนไฮต์ (1 องศาเซลเซียส)
ก็จะเท่ากับอุณหภูมิสูงสุดที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน
"หลักฐานนี้บ่งชี้ว่า
เรากำลังเข้าใกล้ระดับมลพิษจากฝีมือมนุษย์ที่อันตรายอย่างยิ่ง" แฮนแซนระบุในรายงาน
แฮนเซน
ซึ่งเป็นคนแรกที่เตือนถึงอันตรายของการเปลี่ยนแปลงของชั้นบรรยากาศเมื่อหลายทศวรรษที่แล้ว
กล่าวว่าก๊าซเรือนกระจกที่มนุษย์ก่อขึ้น โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
กลายเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ชั้นบรรยากาศเปลี่ยนแปลง รวมถึงมีอิทธิพลต่อปรากฏการณ์เอลนิโนและพายุโซนร้อน
เนื่องจากก๊าซเรือนกระจกจะกักความร้อนไว้ในชั้นบรรยากาศ ทำให้ผิวโลกร้อนขึ้น
น้ำมันเชื้อเพลิงอีกตัวการสำคัญทำให้โลกร้อน
"ผลต่อความถี่ในการเกิดปรากฏการณ์เหล่านั้นยังไม่ชัดเจน
เนื่องจากขึ้นกับปัจจัยอีกหลายอย่าง แต่ระดับความรุนแรงอาจเพิ่มขึ้น
ตามการแพร่กระจายก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มมากขึ้น ในทางกลับกัน
การชะลออัตราขยายตัวของก๊าซเรือนกระจกจะช่วยลดความเป็นไปได้ในการเกิดปรากฏการณ์เอลนิโนและพายุโซนร้อนที่มีความรุนแรงสูงสุด"
เดือนนี้ร่องรอยของปรากฏการณ์เอลนิโนปรากฏขึ้นจางๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อน
และอาจพัฒนาสู่ระดับปานกลางในฤดูหนาว ทั้งนี้
จากข้อมูลขององค์การบริหารด้านสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐฯ
แฮนเซนสำทับว่า สภาพภูมิอากาศในโลกขณะนี้คล้ายคลึงอย่างมากกับในช่วงที่อุ่นที่สุดระหว่างยุคน้ำแข็ง
แต่หากอุณหภูมิโลกสูงขึ้นอีก 2-3 องศาเซลเซียส
โลกจะเปลี่ยนไปกลายเป็นดาวเคราะห์ที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน
พลังงานสะอาดอย่างพลังงานลมเป็นอีกทางเลือกสำคัญในการแก้ปัญหา
"ครั้งล่าสุดที่โลกร้อนขนาดนั้นคือในช่วงกลางของยุคไพลโอซีน (middle Pliocene)
เมื่อราว 3 ล้านปีที่แล้ว ที่เชื่อกันว่าระดับน้ำทะเลสูงกว่าในขณะนี้ 25 เมตร"
นอกจากนี้ ทีมนักวิจัยยังได้อ้างอิงรายงานในวารสารเนเจอร์ (Nature) ที่ว่า ต้นไม้
สัตว์ และแมลง 1,700 สายพันธุ์
อพยพไปทางแนวทิศเหนือเข้าหาขั้วโลกซึ่งมีอุณหภูมิต่ำกว่า ในอัตราเฉลี่ย 6
กิโลเมตรต่อทศวรรษในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20
และถ้าหากเรายังไม่ลดการแพร่กระจายก๊าซเรือนกระจก
ก็เท่ากับว่าเรากำลังผลักไสไล่ส่งสัตว์หลายสายพันธุ์ให้สูญหายไปจากโลก