ขยายคลองปานามา
ขยายคลองปานามา
หนังสือพิมพ์ ข่าวสด
วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 16 ฉบับที่ 5809
คอลัมน์ รุ้งตัดแวง
สปาย-กลาส
คลองปานามามีอายุย่างเข้า 92 ปี
ทำหน้าที่เป็นคลองให้เรือสินค้าเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิกแล่นผ่านมานาน
จึงได้เวลาต้องปรับปรุง
เพื่อรองรับเรือสินค้าที่ปัจจุบันมีขนาดใหญ่มากขึ้นและบรรทุกสินค้าได้มากขึ้น
รัฐบาลประธานาธิบดีมาร์ติน ทอร์ริฮอส เสนอให้ชาวปานามาลงประชามติขยายคลอง
โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณ 2.1 แสนล้านบาท และใช้เวลาก่อสร้าง 8 ปี
ทอร์ริฮอสชี้ว่า คลองปานามามีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องขยาย
พร้อมเพิ่มเลนล่องเรือจาก 2 เลนเป็น 3 เลน เนื่องจากคลองมีขนาดเล็กไปเสียแล้ว
เพราะเรือขนาดใหญ่ที่สุดที่คลองให้แล่นผ่านได้เป็นเรือที่บรรทุกตู้สินค้าได้ไม่เกิน
4,000 ตู้
ขณะที่เรือ 27% ในโลกเป็นเรือที่บรรทุกสินค้าได้ 8,000 ตู้
หรือสองเท่าของเรือที่ใหญ่ที่สุดที่สามารถข้ามคลองปานามา และอีกเพียง 5
ปีข้างหน้าเรือสินค้าขนาด 8,000 ตู้ก็จะเพิ่มจำนวนเป็น 37%
ส่วนที่ต้องเพิ่มเลนเป็นเพราะการคมนาคมมีความหนาแน่นมาก
เรือที่จองคิวไว้ต้องรอเวลาผ่านประมาณ 16 ชั่วโมง ส่วนเรือที่ไม่ได้จองต้องรอประมาณ
28 ชั่วโมง
เวลาที่ช้าไปแต่ละวันทำให้บริษัทเดินเรือต้องเสียเงินวันละ 2 ล้านบาท
คลองปานามาเป็นหัวใจด้านเศรษฐกิจของปานามา
รายได้มวลรวมโดยส่วนใหญ่ของชาติเกี่ยวข้องกับคลองแห่งนี้ โดยมีเรือสินค้าของสหรัฐ
จีน และญี่ปุ่น แล่นผ่านมากที่สุด
เมื่อปานามาขยายคลองรายได้เข้าประเทศย่อมเพิ่มขึ้น
แม้รัฐบาลจะให้เหตุผลความจำเป็นของการขยายคลอง แต่ประชาชนบางส่วนกลับไม่อยากให้ขยาย
เพราะปานามามีหนี้ก้อนโตอยู่แล้วถึง 4 แสนล้านบาท
รวมทั้งเกรงว่าค่าใช้จ่ายจะเกินงบประมาณ และเปิดโอกาสให้นักการเมืองกินนอกกินใน
ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาต่อรัฐบาลที่ไม่โปร่งใสทุกรัฐบาล
แผนที่แสดงส่วนขยายคลองปานามาและประตูกั้นน้ำใหม่ด้านทะเลแอตแลนติดและทะเลแปซิฟิก
ภาพแสดงประตูกั้นน้ำที่จะสร้างขึ้นใหม่พร้อมอ่างเบซินรับน้ำปรับระดับ
ภาพหน้าตัดแสดงระบบประตูกั้นน้ำใหม่ที่สามารถรับเรือขนาด 12,000
TEU ได้
แผนที่แสดงจุดที่ตั้งประตูกั้นน้ำทางด้านทะเลแอตแลนติก
ระบบประตูกั้นน้ำใหม่ที่ใช้ Rolling Gates ใช้เรือ Tugboat
ในการประคองและช่วยเหลือเรือในขณะปรับระดับน้ำ
ภาพแสดงการถ่ายเทน้ำเข้าเก็บในบ่อเบซินรับน้ำด้านข้าง
ประตูกั้นน้ำใหม่จะมีบ่อรับน้ำจำนวน 3 บ่อ ซึ่งสามารถรับน้ำได้ถึง 60%
ภาพแสดงจุดที่ก่อสร้างประตูกั้นน้ำใหม่
เบื้องลึกอภิโปรเจ็กต์ 5 พัน ล. ขยายคลองปานามา
ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 30 ฉบับที่ 3840
(3040)
กรณีการลงประชามติทั่วประเทศของชาวปานามา
เพื่อตัดสินโครงการขยายคลองปานามา และพัฒนาสาธารณูปโภคที่ทันสมัย มูลค่ากว่า 5,250
ล้านดอลลาร์ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคมที่ผ่านมา
ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์บทหนึ่งของประเทศนี้ และของโลก
นับจากคลองแห่งนี้ได้รับการขุดเมื่อ 92 ปีก่อน
เพื่อเชื่อมเส้นทางการเดินทางของมหาสมุทรแอตแลนติกและมหาสมุทรแปซิฟิก
ตรรกะของโครงการนั้น มีความชัดเจนในตัวเอง
และหากมองคะแนนประชามติที่ออกมา โดยเกือบ 80%
สนับสนุนมากกว่าเสียงโหวตไม่เห็นด้วยมากกว่า 20% อย่างขาดลอย ถือว่าชาวปานามา
"ซื้อ" โปรเจ็กต์นี้ด้วยความเต็มใจ
เพราะมองเห็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ประเทศจะได้รับ
หากโครงการขยายคลองและปรับปรุงสาธารณูปโภคให้สอดรับความต้องการใหม่ๆ
โดยเฉพาะเรือบรรทุกสินค้า ที่สามารถรองรับตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต จำนวน 8,000
ตู้ และแทงเกอร์ขนาดใหญ่โตขึ้นกว่าเดิมมาก
นี่คือวัตถุประสงค์สำคัญของโครงการนี้
เพราะปัจจุบันคลองปานามามีขนาดกว้าง 33 เมตร
ทำให้ไม่สามารถรองรับเรือขนส่งขนาดใหญ่รุ่นใหม่ๆ ได้ทั้งหมด
โดยการขยายคลองปานามาจะเริ่มดำเนินการอย่างเร็วที่สุดในปี 2550 และใช้เวลา 8
ปีกว่าจะแล้วเสร็จ
ประชามติผ่านพ้นไปแล้ว หมายความว่าโครงการนี้เดินหน้าแน่
แม้จะมีความวิตกว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายที่สูงมาก
และปัญหาคอร์รัปชั่นที่อาจจะตามมา เพราะมูลค่าการก่อสร้างสูงมากกว่า 5,000
ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากตีเป็นสัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จะมากถึง 1
ใน 4 ของมูลค่าจีดีพี 20,000 ล้านดอลลาร์
หากพิจารณาตัวเลขค่าใช้จ่ายดังกล่าว ถือเป็นเรื่องใหญ่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขโครงการก็ไม่นิ่ง
เพราะสมาคมก่อสร้างและสถาปนิกแห่งปานามาประเมินว่าจะสูงถึง 7,000 ล้านดอลลาร์
ขณะที่เอกอัครราชทูตปานามาประจำอินโดนีเซีย คาดการณ์ว่าตัวเลขค่าใช้จ่ายอาจสูงถึง
20,000 ล้านดอลลาร์
นั่นหมายความว่า หากปานามาตัดสินใจลงทุนเพียงลำพัง
การลงทุนครั้งนี้จะกระทบต่อฐานะการคลังอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่หากปานามาไม่ตัดสินใจดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อปรับปรุงคลองหลักของประเทศ
ก็อาจจะเผชิญกับคู่แข่งรายใหม่ๆ ในอนาคต อาทิ นิการากัว
ที่มีโครงการจะตัดคลองที่มีขนาดใหญ่กว่า และลึกกว่าคลองปานามา ภายในปี 2562
อย่างไรก็ดี ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายอาจบรรเทาลง
เมื่อมีหลายประเทศแสดงความสนใจจะให้การสนับสนุนและมีส่วนร่วมในโครงการขยายคลองปานามา
อาทิ ประเทศเบลารุส ที่แสดงความจำนงจะจัดหาเครื่องจักรและยานยนต์สำหรับการก่อสร้าง
รวมถึงอีกหลายๆ ประเทศ ที่จะมีส่วนได้ส่วนเสียกับโครงการนี้ อาทิ สหรัฐ และสิงคโปร์
ดังกรณีของสิงคโปร์ ซึ่งเพิ่งลงนามข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับปานามา
นายจอร์จ เหยียว รัฐมนตรีต่างประเทศ ได้กล่าวสนับสนุนโครงการนี้
ระหว่างเดินทางเยือนมาพร้อมคณะ โดยให้เหตุผลว่า
ความที่สิงคโปร์ก็เป็นศูนย์กลางการขนส่งทางทะเลแห่งหนึ่ง
ตระหนักดีถึงผลประโยชน์ในการหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจจากการค้า
ยิ่งมีการเปิดกว้างให้โลกสามารถเดินเรือสมุทรได้อย่างเสรีมากขึ้นเท่าใด
ก็จะเป็นประโยชน์ต่อสิงคโปร์ และเป็นผลดีต่อระบบโดยรวม
ในขณะที่ท่าทีของสหรัฐก็ไม่แตกต่างกัน
มองในแง่ของการค้าระหว่างประเทศ
การขยายคลองจะเป็นผลดีต่อการนำเข้าและส่งออกสินค้าของบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ของสหรัฐมากยิ่งขึ้น
เหตุผลหนึ่ง คือ เป็นผลดีต่อท่าเรือตามแนวชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐ
หากมีการขยายคลอง เพราะทำให้เรือบรรทุกสินค้า และแทงเกอร์บรรทุกน้ำมันและผลิตภัณฑ์อื่นๆ
สามารถใช้ศักยภาพใหม่ของคลองปานามาได้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะคลองเก่าแก่
ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ปี 2457 นั้น ทั้งแคบ และตื้นเขิน
เมื่อเทียบกับขนาดของเรือเดินสมุทรรุ่นใหม่ๆ
ยิ่งปัจจุบันการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศในแถบเอเชียเพิ่มขึ้นทุกขณะ
ความต้องการช่องทางการขนส่งถือเป็นประเด็นสำคัญ
ประกอบกับที่ผ่านมาท่าเรือบริเวณชายฝั่งทะเลตะวันตกมักจะเผชิญปัญหาเรื่องการสไตรก์ของแรงงานอยู่บ่อยครั้ง
ทำให้การขนส่งทางทะเลชะงักงัน หนึ่งในบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้คือ ค่ายวอล-มาร์ต
ยักษ์ใหญ่แห่งวงการค้าปลีก
ดังนั้นการขยายคลองปานามาจะเพิ่มทางเลือกให้กับบริษัทได้อีกหนึ่งทางเลือก
โดยผ่านเส้นทางเรือจากท่าเรือฝั่งตะวันออก ผ่านคลองปานามา
ปัจจุบันเรือเดินสมุทรของสหรัฐถือเป็นลูกค้าที่ใช้บริการคลองปานามามากที่สุด
การขยายคลองในมุมมองของสหรัฐ จึงเป็นผลดีต่อการส่งออก
เพราะเมื่อการขนส่งด้วยเรือขนาดใหญ่ผ่านคลองนี้ได้ ค่าขนถ่ายสินค้าก็น่าจะถูกลง
และส่งผลดีต่อตลาด
ส่วนสินค้าส่งออกของสหรัฐที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการขยายคลองปานามา คือ
สินค้าเกษตร
เนื่องจากปัจจุบันผู้ผลิตอเมริกันส่งออกข้าวโพดโดยผ่านช่องทางคลองปานามากว่าครึ่งหนึ่งของผลผลิตทั้งประเทศ
โดยที่สินค้าเกษตรประเภทนี้มีสัดส่วนในตลาดโลกประมาณ 4%
แต่ประเด็นด้านลบที่บางประเทศกังวลว่าจะตามมาพร้อมกับการขยายคลองปานามา ก็คือ
การปรับค่าใช้บริการผ่านคลองปานามาที่คาดว่าจะสูงขึ้นจากเดิม