จากคลองด่านถึงเกาะสีชัง ยลมนต์ขลังแห่งอ่าวไทย
จากคลองด่านถึงเกาะสีชัง ยลมนต์ขลังแห่งอ่าวไทย
โดย ผู้จัดการออนไลน์
25 ตุลาคม 2549 18:27 น.
หมู่บ้านชาวประมงคลองด่านที่หากบ่อบำบัดปล่อยน้ำลงมา
บางทีพวกเขาอาจต้องย้ายที่หนีเพราะน้ำเน่าเสีย
แม้ โครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จะไม่ติดโผ 1 ใน 8 โครงการทุจริตที่ คตส.จะฟันคนทุจริตคอร์รัปชั่นชุดแรก
แต่ว่านี่ถือเป็นหนึ่งในโครงการอภิมหาโคตรโกงของนักการเมืองหลายคนจากหลายรัฐบาล
ซึ่งมีการโกงกินกันอย่างมโหฬารเป็นล่ำเป็นสันนับหมื่นล้านแถมยังมีการทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างใหญ่หลวง
ที่สำคัญก็คือ การเลือกพื้นที่สร้างบ่อบำบัดฯนั้นผิดตั้งแต่ต้นแล้ว?!?
เพราะคลองด่าน
ไม่ใช่พื้นที่ปล่อยน้ำเสียเนื่องจากไม่มีน้ำเสียและไม่มีโรงงานอุตสาหกรรม
หากแต่คลองด่านคือปอดใกล้กรุงที่มีพื้นที่สีเขียวแห่งใหญ่ที่สุดในสมุทรปราการด้านทิศตะวันตก
อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ประมงชายฝั่งที่ มากไปด้วย กุ้ง หอย ปู ปลา
และเป็นแหล่งเลี้ยงหอยแมลงภู่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยคือ 2 หมื่นกว่าไร่
นอกจากนี้คลองด่านยังเป็นชุมชนชายทะเลเก่าแก่ที่เดิมมีชื่อสุดเก๋ไก๋ว่า “บางเหี้ย”
เพราะบริเวณนี้มีตัวเหี้ยหรือตัวเงินตัวทองอยู่มาก ก่อนที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม
จะเปลี่ยนชื่อให้ฟังเป็นมงคลขึ้นว่า“คลองด่าน” ใน พ.ศ. 2483
ตามลักษณะของพื้นที่ที่บริเวณนี้มีด่านอยู่ตรงประตูน้ำบางเหี้ยแม่น้ำสายหลักของตำบล
แต่ละวันจะมีเรือออกจับหอยแมลงภู่เฉลี่ยแล้วตกลำละ 2 ตัน/วัน
ด้วยองค์ประกอบอันโดดเด่นต่างๆของคลองด่าน พี่สุเทพ อยู่เย็น แห่งไทยรุ่งทัวร์
ชาวคลองด่านโดยกำเนิด
จึงขันอาสาเป็นโต้โผเปิดประตูการท่องเที่ยวสู่คลองด่านโดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดมาเปิดงานอย่างเป็นทางการเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
เพื่อให้ผู้คนรับรู้ว่าคลองด่านนั้นมีดีเกินกว่าที่จะให้นักการเมืองเข้ามากอบโกยด้วยการสร้างบ่อบำบัดน้ำเสีย
มิติใหม่คลองด่าน
“ผู้จัดการท่องเที่ยว” ไม่รู้ว่าจะเรียก“อันซีนคลองด่าน” ได้หรือเปล่า???
แต่นี่ถือเป็นมุมมองใหม่ในคลองด่านที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว
โดยจุดเริ่มต้นของการเดินทางในทริปนี้(คลองด่าน-เกาะสีชัง)
เราลงเรือนำเที่ยวปรับอากาศ 2 ชั้นที่ท่าเรือไทยรุ่งทัวร์ ณ ปากคลองด่าน
ก่อนจะออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ปากอ่าวไทยที่ 2
ข้างทางเต็มไปด้วยชุมชนชาวประมงและเรือประมงจอดอยู่เรียงราย
ครั้นพอออกสู่ปากอ่าวไทย
ภาพบ้านเรือนหายไปกลายเป็นเวิ้งทะเลกว้างที่เต็มไปด้วยฟาร์มหอยแครง
และหลักเลี้ยงหอยแมลงภู่เต็มพรึ่ดไปหมด
สมดังแหล่งเลี้ยงหอยแมลงภู่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยซึ่งทำกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวด
“วิธีการเลี้ยงหอยแมลงภู่ไม่ได้ยากเย็นอะไร เพียงนำไม้ไผ่มาปักเป็นหลักทิ้งไว้
จากนั้นหอยแมลงภู่ก็จะตามมาเกาะเองตามธรรมชาติจนเป็นพวงแน่นเต็มหลักไปหมด
หอยคลองด่านแม้ตัวไม่ใหญ่เท่าหอยสุราษฎร์แต่ว่ามีรสอร่อยไม่เป็นรองใคร
และที่สำคัญในตัวหอยจะไม่มีทรายเข้าไปปะปน” พี่สุเทพ อธิบาย
ชาวประมงกำลังสาวอวนลากคู่ขึ้นสู่ลำเรือ
ทุกๆวันในช่วงเช้าไปจนถึงสายจะมีชาวบ้านออกเรือมาเก็บหอยกันอยู่ทั่วไป
และก็เป็นช่วงเวลาที่พี่สุเทพต้องการให้นักท่องเที่ยวได้เห็นถึงวิธีการเก็บหอยแมลงภู่ของชาวคลองด่าน
ที่จะมีการแบ่งงานกันทำอย่างคล่องแคล่ว
เฉลี่ยแล้วเรือแต่ละลำจะเก็บหอยได้ประมาณวันละ 2 ตันต่อวัน
ซึ่งแสดงว่าทรัพยากรหอยแมลงภู่ที่นี่ยังไม่ขาดแคลน
แต่ก็น่าแปลกว่าเหตุไฉนนักการเมืองกลับจงใจละเลยเรื่องเหล่านี้
แล้วเลือกมาสร้างอนุสรณ์แห่งความอัปยศอย่างบ่อบำบัดทิ้งไว้
ไม่เพียงแค่การเก็บหอยแมลงภู่เท่านั้น บริเวณปากอ่าวคลองด่าน
ยังมีการทำโป๊ะดักปลาการลากหอยแครง การดำลงไปเกี่ยวปลาดุกทะเล
และการกู้อวนลากคู่ที่ถือเป็นไฮไลท์แห่งท้องทะเลในช่วงเช้า
โดยไต้ก๋งเจ้าใดเมื่อจะทำการกู้อวนก็จะวิทยุบอกกับทางกับตันเรือนำเที่ยว
ให้โฉบเรือเข้าไปดูวิธีการลากอวนได้
พอเรือนำเที่ยวแล่นไปใกล้ๆ เรืออวนลาก 2 คำ
จะค่อยๆลากอวนตีวงจากกว้างให้แคบเข้ามาเรื่อยๆ จนอวนมีลักษณะคล้ายปากถุง
จากนั้นจะค่อยๆชักรอกสาวอวนขึ้นมาโดยมีการมัดเป็นระยะๆ
จนอวนกลายเป็นตุ้มหรือถุงขนาดยักษ์
ก่อนที่จะดึงขึ้นมาเทลงบนเรือและแบ่งแยกประเภทของสัตว์ที่จับได้ ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง
หอย ปู ปลา หมึก ปลาไหล กั้ง รวมไปถึงแขกไม่ได้รับเชิญอย่างงูทะเล
ซึ่งบางวันก็ได้ปลาเยอะ บางวันก็ได้น้อย ส่วนบางวันดวงแตกไม่ได้เลยก็มี
หาดถ้ำพัง หาดที่น่าลงเล่นน้ำเดินเล่นชายทะเลแห่งเกาะสีชัง
นี่แหละชีวิตตังเกของชาวประมงที่ต้องใช้ชีวิตสุ่มเสี่ยงฝ่าคลื่น ลม มรสุม
คืบก็ทะเลศอกก็ทะเล
แถมยังต้องเผชิญกับราคาน้ำมันที่มีแต่ขึ้นไม่มีลงในขณะที่ปลาในอ่าวไทยกลับมีแต่ลดลงเรื่อยๆ
หลังชมไฮไลท์กู้อวนลากคู่เรือเร่งความเร็วขึ้นมุ่งหน้าสู่เกาะสีชัง
ในขณะที่บนเรือก็เสิร์ฟอาหารที่เมนูส่วนหนึ่งซื้อมาจากการเก็บหอยและกู้อวนจากเมื่อชั่วครู่ที่ผ่านมา
อาหารกลางวันมื้อนี้จึงรับประกันได้เรื่องความสด ใหม่
ในบรรยากาศลมเย็นสบายกลางอ่าวไทย
เกาะสีชัง เกาะที่ไม่น่าชัง
ประมาณ 3 ชั่วโมงจากจุดเริ่มต้น เรือนำเที่ยวแล่นมาถึงยังเกาะสีชัง
เกาะน่าเที่ยวที่ไม่น่าชังดังชื่อเกาะ ก่อนจะพาไปจอดบริเวณ เกาะค้างคาว
เพื่อให้นักท่องเที่ยวลงแหวกว่ายเล่นน้ำ ดำน้ำดูปะการัง
หรือใครจะเลือกตกปลาก็แล้วแต่อัธยาศัย
ท้องทะเลช่องเขาขาดที่มีทางเดินสีขาวนำทางลงไปเบื้องล่าง
จากนั้นพอได้เวลาอันสมควร(ประมาณ 2 ชั่วโมง) เรือก็มาจอดเทียบท่ายังเกาะสีชัง
เพื่อนั่งรถสกายแล็ป(สามล้อเครื่อง)ไปเที่ยวชมวิว ณ ช่องเขาขาด
ที่เป็นแหลมริมทะเล มีสะพานสำหรับเดินชมทิวทัศน์ และสวนสาธารณะให้พักผ่อนหย่อนใจ
ซึ่งนี่ถือเป็นจุดชมอาทิตย์อัสดงอันสวยงามอีกแห่งหนึ่งในเมืองไทย
ก่อนที่เราจะร่ำลาตะวันไปปิดทริปแรกของวันด้วย
การล่องเรือกินอาหารค่ำที่หน้าเกาะท่ามกลางคลื่นลมบางๆในอารมณ์คืบก็ทะเลศอกก็ทะเล...
สะพานอัษฎางค์ในพระจุฑาธุชราชฐาน
...เช้าวันใหม่หลัง “ผู้จัดการท่องเที่ยว” จัดการกับมื้อเช้า
สกายแล็ปเจ้าเดิมมารับเราพาไปเล่นน้ำที่หาดถ้ำพัง
ซึ่งเป็นหาดทรายละเอียดกว้างไกลมีน้ำใสสะอาดเหมาะแก่การเล่นน้ำยิ่งนัก
ส่วนใครอยากจะเดินเล่นชายหาด เล่นบันนาน่าโบ๊ท
นั่งทอดหุ่ยจิบเบียร์เย็นรับลมชมทะเลก็สามารถเลือกทำกันได้ตามใจชอบ
สถาปัตยกรรมอันงดงามของตึกอภิรมย์ในพระราชวังจุฑาธุชธาชฐาน
เวลาอันเพลิดเพลินที่หาดถ้ำพังหมดไปค่อนข้างเร็ว
เพราะเผลอแผล็บเดียวมื้อเที่ยงมาเยือนอีกแล้ว
หลังจากนั้นเรานั่งสกายแล็ปคันเก่าไปเที่ยวยัง พระจุฑาธุชราชฐาน
สถานที่ตากอากาศเก่าแก่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ยังคงดูคลาสสิคไม่เสื่อมคลาย
เพราะมีอาคารสวยๆงามๆอยู่หลายหลัง แถมยังมีอันซีนไทยแลนด์อย่าง
สะพานอัษฎางค์สีขาวนวลที่ทอดยาวออกสู่ทะเลดูสง่าน่ามอง
ทิวทัศน์มุมสูงของเกาะสีชัง เกาะที่ไม่น่าชังดังชื่อเกาะ
นอกจากจะมีอาคารต่างๆให้ชมแล้ว
พระราชวังแห่งนี้ยังเพิ่มเสน่ห์ให้กับตัวเองด้วยการให้น้องๆหนูๆบนเกาะมาทำหน้าที่เป็นไกด์เยาวชนพานักท่องเที่ยวเดินชมตามจุดต่างๆในพระราชวังพร้อมกับคอยอธิบายและให้ความรู้อย่างเต็มที่
แม้ว่าความช่ำชองจะไม่เท่าไกด์มืออาชีพแต่ว่าความน่ารักและความตั้งใจไม่เป็นรองใครเลย
เจดีย์วัดอัษฎางค์นิมิตรตั้งโดดเด่นบนยอดเขามองเห็นเด่นชัด
ครั้นเวลาต้องลาจากเกาะสีชังก็มาถึง ซึ่งก่อนกลับ“ผู้จัดการท่องเที่ยว”ขึ้นไปกราบไหว้
เจ้าพ่อเขาใหญ่ เพื่อความเป็นสิริมงคล
พร้อมทั้งขึ้นไปดูทิวทัศน์ของเกาะในมุมกว้างที่เห็นเรือนำเที่ยวของเราลอยลำอยู่ลิบๆลำกระตี๊ดเดียว
ซึ่งนึกไปก็อดสะท้อนใจไม่ได้ว่า
มนุษย์เรานั้นหากเทียบกับธรรมชาติช่างเล็กกระจ้อยร่อยเป็นแค่เศษเสี้ยวธุลี
แต่ก็น่าแปลกที่มนุษย์เรามักจะพยายามเอาชนะธรรมชาติหรือทำร้ายธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง
สภาพบ้านเรือนบนเกาะสีชังที่ปลูกสร้างตามภูมิประเทศ
จะสังเกตเห็นทางขึ้นศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่
บางคนยิ่งเลวร้ายไปกว่านั้นอีก เพราะนอกจากจะธรรมชาติธรรมชาติแล้ว
ยังโกงกินหาเงินเข้ากระเป๋า หาผลประโยชน์จากธรรมชาติที่ตนทำร้ายอย่างไม่อายฟ้าดิน
ดังเช่นกรณีบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ที่หากว่าปล่อยน้ำเสียลงมาเมื่อไหร่ กุ้ง หอย
ปู ปลา ในบริเวณนั้นตายแทบหมดเกลี้ยง
แถมยังทำให้ชาวบ้านแถวนั้นพลอยอดตายตามไปด้วยเพราะขาดอาชีพขาดรายได้
ในขณะที่นักการเมืองผู้โกงกินกับโครงการบ่อบำบัดรวยไม่รู้เรื่อง
โอ้...อนิจจา...คลองด่าน....ที่น่าสงสาร
ตำบลคลองด่าน มีพื้นที่ประมาณ 37,500 ไร่ มีชายฝั่งทะเลยาวประมาณ 6 กม. อยู่ใน
อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ในพ.ศ. 2538
คณะรัฐมนตรีในขณะนั้นได้มีมติเห็นชอบในโครงการสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย 2 จุดใหญ่ใน จ.สมุทรปราการ
คือ ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ ต.บางปลากด อ.พระสมุทรเจดีย์
และฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ที่บริเวณบางปูใหม่ โดยทั้ง 2 บ่อใช้เงิน 13,612
ล้านบาท กระทั่งในปี พ.ศ. 2541 ได้มีการเสนอให้ยุบรวมบ่อบำบัดเป็นบ่อเดียว
โดยหวยไปออกที่คลองด่าน พร้อมกับงบประมาณที่เพิ่มขึ้นเป็น 23,701 ล้านบาท
ทั้งๆที่คลองด่านคือพื้นที่สีเขียวแห่งใหญ่
เป็นพื้นที่เกษตรกรรมและการทำประมงพื้นบ้านชายฝั่ง
ปัจจุบันคลองด่านได้เปิดประตูสู่การท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ มีทั้งทริป คลองด่าน-เกาะสีชัง
แบบไปเช้า-กลับเย็น และทริป 2 วัน 1 คืน โดยในช่วงเดือนพ.ย.-ก.พ.
จะมีทริปชมปลาโลมาที่ว่ายมายังอ่าวไทยเป็นจำนวนมาก(เริ่ม 5 พ.ย. )
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดกิจกรรมท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้ที่ บริษัทไทยรุ่งทัวร์0-2707-5599,0-9013-2567