เศรษฐกิจไร้น้ำมัน (Oil-Free Economy)
เศรษฐกิจไร้น้ำมัน (Oil-Free Economy)
โดย
กรุงเทพธุรกิจ วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550
ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
Sweden aims for oil-free economy, Evergreen... Sweden will
develop biofuels from its forests
การปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันอย่างต่อเนื่อง
และความสำเร็จของ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด ในการขุดเจาะหลุมสำรวจ
พบบ่อน้ำมันใหม่เพิ่มเติม บริเวณทะเลอ่าวไทยด้านจังหวัดชุมพร
ซึ่งมีอัตราการไหลสูงสุดถึง 9,700 บาร์เรลต่อวัน
ซึ่งเป็นการค้นพบน้ำมันดิบที่มีปริมาณสูงในบริเวณทะเลอ่าวไทย
ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ประกอบการ ในภาคอุตสาหกรรม ภาคการขนส่ง และผู้ใช้รถส่วนบุคคล
ที่จะช่วยให้ต้นทุนการผลิตและค่าครองชีพลดลงได้บ้าง
ท่ามกลางสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการและประชาชนอาจดีใจได้ไม่นานนัก เพราะในอนาคต
ราคาน้ำมันอาจจะปรับตัวสูงขึ้นอีกได้ จากการที่น้ำมันเป็นทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด
และการขุดพบบ่อน้ำมันเพิ่มเติมนั้นทำได้ยากมากขึ้นและต้องอาศัยการลงทุนสูง
นับวันน้ำมันจะมีให้ใช้น้อยลงทุกขณะ รวมทั้งมีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบ
และทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นอีก เหมือนช่วงสองปีที่ผ่านมา
ที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นมาก ทำให้อัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพของประชาชนสูงขึ้น
ด้วยเหตุนี้
ภาครัฐจึงพยายามลดการพึ่งพาน้ำมันและหันมาให้ความสำคัญพลังงานทดแทนมากขึ้น
แต่การพัฒนาด้านพลังงานทดแทน ยังเป็นไปอย่างล่าช้า
ในต่างประเทศมีการพัฒนาด้านพลังงานไปไกลมาก
เพราะไม่เพียงการพัฒนาพลังงานทดแทนเท่านั้น แต่หลายประเทศในยุโรป
กำลังพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไปในทิศทาง ที่เรียกว่า "เศรษฐกิจไร้น้ำมัน" (Oil-Free
Economy)
ดังตัวอย่างรัฐบาลสวีเดนที่ประกาศวิสัยทัศน์ว่า จะพัฒนาประเทศให้เป็น "เศรษฐกิจไร้น้ำมัน"
ภายในปี ค.ศ.2020 นับเป็นประเทศแรกของโลกที่ประกาศวิสัยทัศน์ที่ท้าทายเช่นนี้ "เศรษฐกิจไร้น้ำมัน"
ที่กล่าวถึงนี้ ไม่ได้หมายถึง การไม่ใช้น้ำมันเลย
แต่เป็นการพึ่งพาน้ำมันให้น้อยที่สุด โดยรัฐบาลสวีเดนตั้งเป้าว่า ในปี 2020
จะไม่มีการใช้น้ำมันสำหรับทำความร้อนในบ้านเรือน และอาคารพาณิชย์
ในขณะที่ภาคการขนส่งทางถนน ภาคก่อสร้าง จะลดการใช้น้ำมันลงให้ได้ร้อยละ 40-50
และภาคอุตสาหกรรมจะลดการใช้น้ำมันลงให้ได้ร้อยละ 25-40
เมื่อเปรียบเทียบวิสัยทัศน์ดังกล่าวกับนโยบายพลังงานของประเทศไทยแล้ว
นับว่านโยบายของไทยยังห่างไกลกับประเทศสวีเดนมาก เห็นได้จาก
ประเทศไทยยังขาดวิสัยทัศน์ด้านพลังงานที่ชัดเจน รัฐบาลในอดีตเคยประกาศว่า
ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางการค้าน้ำมัน ของภูมิภาค ศูนย์กลางพลังงานของอาเซียน
และศูนย์กลางพลังงานทดแทนแห่งเอเชีย
แต่เป็นเพียงการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตื่นเต้น ไม่มีความชัดเจนว่า
รัฐบาลต้องการเห็นเป้าหมายอะไรที่วัดได้ ไม่มีการกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจน
และไม่มีแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนว่า จะทำอย่างไรเพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมาย
รวมทั้งยังมีการประกาศหลายเป้าหมายจนทำให้เกิดความสับสนว่า
ตกลงแล้วรัฐบาลต้องการจะนำประเทศไปในทิศทางใด
การขาดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนนั้น ทำให้นโยบายที่ประกาศออกมา
หลายครั้งเป็นไปเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า หรือเป็นเพียงนโยบายตามกระแส
หรือใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างคะแนนเสียงของพรรคการเมือง เช่น
การตรึงราคาน้ำมันเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งเป็นการบิดเบือนกลไกราคา
ทำให้การบริโภคน้ำมันของประชาชนยังอยู่ในระดับสูง
ทำให้ภาครัฐต้องเสียเงินในการอุดหนุนราคาน้ำมันกว่าแปดหมื่นล้านบาท
หรือการสนับสนุนการผลิตไบโอดีเซล แต่ขาดนโยบายสนับสนุนที่ครบวงจรและต่อเนื่อง
ทำให้นักลงทุนไม่กล้าเข้ามาลงทุนเพื่อผลิตไบโอดีเซล เป็นต้น
วิสัยทัศน์ด้านพลังงานของไทยไม่สมเหตุสมผล
การจะพัฒนาประเทศต้องมีวิสัยทัศน์แห่งชาติ ที่ชัดเจนและเป็นจริงได้
แต่วิสัยทัศน์ด้านพลังงานของไทย เช่น การเป็นศูนย์กลางพลังงานของอาเซียนนั้น
ไม่สมเหตุสมผลและเป็นไปได้ยาก เนื่องจากมีคู่แข่งที่แข็งแกร่งมาก (สิงคโปร์)
และประเทศไทยต้องพึ่งพาต่างประเทศค่อนข้างมากในการลงทุนท่อส่งน้ำมัน และก๊าซในไทย (เช่น
รัสเซีย ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ เป็นต้น)
ซึ่งอาศัยเงินทุนมากและเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมได้ยาก
การกำหนดวิสัยทัศน์ให้ประเทศเป็นศูนย์กลางการค้าพลังงาน
มิได้เป็นการตอบโจทย์ที่แท้จริงของประเทศ นั่นคือ
การลดพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ
เพราะการเป็นศูนย์กลางการค้าพลังงานไม่ทำให้ประเทศ
สามารถลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานได้ และไม่ทำให้นำเข้าพลังงานได้ในราคาต่ำลง
เพราะราคาน้ำมันเป็นไปตามราคาตลาดโลก
ขณะที่วิสัยทัศน์ของสวีเดนในการเป็นเศรษฐกิจไร้น้ำมัน
น่าจะเป็นแนวทางที่พึงประสงค์สำหรับประเทศไทย
เนื่องจากเป็นความพยายามพึ่งพาปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก
พลังงานเป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม
และการดำเนินชีวิตของประชาชนในประเทศอย่างมาก
การกำหนดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในด้านพลังงาน
และเป็นวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ
จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต