การปราบโจรสลัดเมื่อครั้งอดีต
การปราบโจรสลัดเมื่อครั้งอดีต
โดย แอนดรูว์ ไซม่อน 19 มิถุนายน 2550 23:58 น.
สิงคโปร์ และกูชิง, ซาราวัก –
ความเกี่ยวพันกันระหว่างเหตุการณ์ในหนังฮอลลีวู๊ดเรื่อง ‘โจรสลัดแห่งหมู่เกาะแคริบเบี้ยน ’
(Pirates of the Caribbean ) ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18
ถึงต้นศตวรรษที่ 19 กับน่านน้ำที่ยังคงอุดมไปด้วยโจรสลัดรอบ ๆ
สิงคโปร์ยุคใหม่ในปัจจุบันนี้
หาได้เป็นแค่จินตนาการของนักเขียนบทหนังชาวอเมริกันเท่านั้นไม่
หากมองกันในแง่ประวัติศาสตร์แล้ว
ภาพยนตร์เรื่องนั้นเป็นเหมือนกับการเลียนแบบความตั้งใจของสหรัฐในปัจจุบัน
ที่หมายมั่นจะแผ่อิทธิพลเข้ามาในร่องน้ำทางยุทธศาสตร์ในเอเชียแห่งนี้
ในตอนท้าย ๆ ของท้องเรื่อง ผู้ชมจะได้เห็นกัปตันบาร์บารอสซา (และลูกสมุนสิงคโปร์คือกัปตันเส่าเฟ็ง)
มองหาแผนที่กับเรือที่จะแล่นไปให้สุดโลก หลบหลีกทางการอังกฤษ เพื่อไปช่วยชีวิตแจ๊ค
สแปร์โรว์ สหายรัก ให้หลุดออกมาจาก ‘อีกด้านหนึ่ง’ (คล้าย ๆ ยมโลก)
แจ๊คจะไปถึงหรือไม่ และเหตุการณ์หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร
ไกลเกินวิสัยของบทความเรื่องนี้จะตามไปสาธกได้
แต่ข้อเท็จจริงที่อังกฤษอยากจะกวาดล้างโจรสลัดในหมู่เกาะแคริบเบี้ยนให้สิ้นซาก
กับการที่จักรวรรดิอังกฤษแผ่อิทธิพลเข้ามาในสิงคโปร์ หมู่เกาะรีออ (Riau islands*)
และตอนเหนือของเกาะบอร์เนียว ในปี 1819 จนโทมัส สแตมฟอร์ด รัฟเฟิล
ผู้บริหารคนหนึ่งในบริษัทอีสอินเดียสถาปนาสิงคโปร์สมัยใหม่ขึ้นมา
ก็มีความเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด
(*หมู่เกาะรีออในปัจจุบันประกอบด้วย 3 หมู่เกาะใหญ่ 2 แห่งอยู่ทางตอนใต้ของสิงคโปร์
แห่งที่ 3 ตั้งอยู่ในทะเลทางตอนเหนือของหมู่เกาะบอร์เนียว
ปัจจุบันเป็นจังหวัดหนึ่งในอินโดนีเซีย ถือกันว่าภาษามาเลย์ถือกำเนิดขึ้นในเขตนี้)
ในตอนนั้น กฎหมายอังกฤษมอบอำนาจให้ราชนาวีอังกฤษจัดการปราบปรามคนอย่างแจ๊ค
สแปร์โรว์และบาร์บารอสซาในหมู่เกาะแคริบเบี้ยน
แต่กฎหมายก็ไม่มีการกำหนดขอบเขตทางภูมิศาสตร์เอาไว้ให้แน่ชัด
ดังนั้นอำนาจดังกล่าวจึงมีมาไกลจนถึงทะเลรอบ ๆ สิงคโปร์
ตอนนั้น กิจการอันเป็นโจรสลัดแผ่สะพัด
จนถึงขั้นขัดขวางการค้าในแถบทะเลจีนใต้และช่องแคบมะละกา วิลเลี่ยม ฟาร์กูฮาร์
ชาวอังกฤษคนแรกที่ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในสิงคโปร์
พอย่างเท้าขึ้นไปบนเกาะเมื่อเดือนกันยายน 1819 ที่ตอนนี้เป็นสวนสาธารณะลาบราดอร์
ปาร์ก ชายฝั่งตอนในทางตะวันตกเฉียงใต้ ก็ได้รับการต้อนรับด้วยหัวกะโหลกคน
ซึ่งเป็นของที่ระลึกของโจรสลัดจากรีออ เรียงกันเป็นแถว
ไม่นานพ่อค้าในสิงคโปร์ก็ฎีกาเข้าไปขอความคุ้มครองจากราชนาวีอังกฤษ
ที่แต่เดิมได้รับอำนาจให้ปราบปรามโจรสลัดที่แคริบเบี้ยน
แต่สินเชลยที่ได้ก็ให้นับหัวโจรสลัดที่ถูกจับหรือถูกฆ่า
ควบรวมไปกับทะเลจีนใต้อยู่แล้ว ดังนั้นพอกัปตันในราชนาวีที่อยู่ไกลปืนเที่ยง (เกือบจะบังคับบัญชาไม่ได้)
ได้ยินเรื่องที่จะให้ไปปราบโจรสลัด อันจะนำมาซึ่งสินเชลยมหาศาลเช่นนี้
ต่างก็พากันยินดีปรีดาที่จะได้มาช่วย
กัปตันผู้บัญชาการเรือในกองเรือราชนาวีที่โด่งดังที่สุดในตอนนั้นคือเฮนรี่ เคปเปล (ชื่อที่ตั้งตามกัปตันผู้นี้ก็ยังหลงเหลือมาในสิงคโปร์ในปัจจุบันเช่น
กลุ่มบริษัทเคปเปล ท่าเรือเคปเปล ถนนเคปเปล เป็นต้น)
ความจริงเคปเปลก็เป็นสลัดอยู่หน่อย ๆ คนท้องถิ่นขนานนามให้ว่า ‘ราชาลูอัต’ (Rajah
Laut) แปลว่า ‘ราชาแห่งท้องทะเล’ เคปเปลได้ขึ้นเป็นนายพลเรือ
และได้รับการโปรดเกล้าให้เป็นอัศวินโดยพระนางเจ้าวิคตอเรีย
และเป็นที่โปรดปรานผู้หนึ่ง
ทุกวันนี้ มองจากตะวันออกสุดของสวนลาบราดอร์ ปาร์ก ออกไปยังหมู่เกาะเซนโตซา
และปากทางเข้าท่าเรือเคปเปล
ก็ยังเห็นป้ายจารึกเตือนให้รำลึกถึงความหลังครั้งอดีตอันเลวร้าย ตั้งโดดเด่นอยู่
‘ตั้งแต่เริ่มแรก พวกโจรสลัดในน่านน้ำเหล่านี้พากันปล้นสะดมเรือพ่อค้ามาตลอด
พวกมันยกโขยงกันมาหลายลำเรือ ติดอาวุธขนาดหนัก บางครั้งยามฟ้ากระจ่าง
เราสามารถมองเห็นได้จากในตัวอ่าว พอปล้นเสร็จพวกมันก็รีบหนีหาย
กระจายกันไปตามเกาะเล็กเกาะน้อย ที่เป็นเสมือนเขาวงกตอย่างรวดเร็ว พอมาถึงทศวรรษที่
1830s สถานการณ์เลวร้ายลงถึงที่สุด เชื่อว่ามันจะทำลายการค้าในเอเซียไปจนหมดสิ้น
ขณะที่เคปเปลมีหน้าที่ที่ต้องแสดงแสนยานุภาพของอังกฤษออกไปให้ทั่วทะเลทั้งเจ็ด*
แต่ขณะที่อยู่ที่สิงคโปร์ มรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือหนุนช่วย เจมส์ บรูก
(James Brooke) นักผจญภัยชาวอังกฤษ ในการขึ้นครองดินแดนซาราวัก
ทางตอนเหนือของเกาะบอร์เนียว ในฐานะ ‘ราชาผิวขาว’
(*แนวคิดเรื่องทะเลก่อนศตวรรษที่ 15 ที่ถือว่า ‘เจ็ด’ แปลว่า ‘หลาย’)
ตามที่หนังสือ ‘ราชาผิวขาวแห่งซาราวัก : ราชวงศ์ในบอร์เนียว’ (The White Rajahs of
Sarawak: A Borneo Dynasty) ของบ๊อบ รีช นักประวัติศาสตร์ชาวออสเตรเลีย
บรูกเกิดในอินเดียขณะที่บิดาของเขาทำงานเป็นผู้พิพากษาผู้หนึ่งให้กับบริษัทอีสอินเดีย
เขาเป็นลูกผสมระหว่างคนช่างฝันและ ‘จักรพรรดินิยมอิสระ’ (freelance imperialist)
เขาใช้เรือใบเสาเดี่ยวชื่อ the Royalist มาขึ้นบกที่ซาราวัก
ในขณะที่สุลต่านแห่งบรูไน(ในตอนนั้น
ยังมีอำนาจครอบครองไปทั้งตอนเหนือของเกาะบอร์เนียว) สุลต่านฯ
กำลังเผชิญหน้ากับการขบถของชาวมาเลย์และเผ่าบิดายู (Malay and Bidayu tribes) รอบ ๆ
เมืองกูชิงในสมัยนั้น
ราชา มูดา ฮุสเซน ผู้สำเร็จราชการในองค์สุลต่านฯ ได้เกณฑ์บรูกเข้าร่วมรบ
บรูกใช้ปืนเรือของเขาข่มขู่ฝ่ายขบถจนยอมแพ้
และได้รับการตอบแทนโดยได้รับแต่งตั้งให้เป็น ‘ราชา’ ของกูชิงในปี 1841
มีหน้าที่เก็บส่วยประจำปีส่งไปถวายสุลต่านฯ และเริ่มต้นการปกครองโดยราชาผิวขาว
เป็นเอกเทศจากอังกฤษ มา 3 ชั่วรุ่นเป็นเวลา 100 ปี*
(*มีบางตำราว่าการปราบขบถของเขาเริ่มในปี 1838 แต่เขาได้รับตำแหน่ง ‘ราชา’
อย่างเป็นทางการในปี 1841 และมอบอำนาจปกครองซาราวักให้อังกฤษในปี 1946
หลังจากการยึดครองชั่วคราวของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง)
อย่างไรก็ดี สิ่งที่เรียกว่า Pax Brookania*
จะเกิดขึ้นไม่ได้โดยไม่ได้รับการหนุนช่วยจากปากกระบอกปืนแห่งราชนาวีอังกฤษ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนองเลือดที่มาในนามของ ‘การปราบปรามโจรสลัด’
เพราะแนวรบทางตะวันออก
มีผู้นำมาเลย์จำนวนมากที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มนักล่าหัวมนุษย์เผ่าอีบัน
นอกจากนั้น ก็ยังมีชนเผ่าชาวเล ‘อีลานูน’
จากตอนใต้ของหมู่เกาะฟิลิปปินส์เข้ามาผสมโรงด้วย
(*แปลตรงตัวว่า ‘สันติภาพในดินแดนของบรูก’ อนุโลมให้เรียกว่า ‘อาณาจักรบรูก’ หรือ ‘ราชวงศ์บรูก’)
เคปเปลให้การช่วยเหลือบรูกในระหว่างปี 1843-44
คือเมื่อได้รับการสนับสนุนจากพวกมาเลย์และอีบันที่อยู่ฝ่ายเดียวกับบรูก เรือ HMS
Dido ของเคปเปลก็ออกแล่นเรียบไปตามชายฝั่งตอนเหนือของบอร์เนียว
ขึ้นล่องไปตามแม่น้ำสายต่าง ๆ ระดมยิง และเผาทำลายที่มั่นทุกแห่งของข้าศึก
ตอนที่เคปเปลส่งรายงานชื่อ ‘การบุกเกาะบอร์เนียวของเรือเฮชเอ็มเอส.ดีโด้
เพื่อปราบปรามโจรสลัด’ (The Expedition to Borneo of HMS Dido for the Suppression
of Piracy) และได้รับการตีพิมพ์ในลอนดอนปี 1846
รายงานชิ้นนี้ของเขาก็เป็นที่โจษจันกันไปทั้งเมือง :
‘การทำโทษที่เราลงมือไปนั้นรุนแรงนัก
แต่ก็ยังไม่ร้ายเท่ากับอาชญากรรมที่ไอ้พวกโจรสลัด
ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังก่อขึ้น
พวกดายักผู้ช่วยของเราเก็บหัวพวกมันไปเป็นของที่ระลึกนิดหน่อย ...
ความพินาศย่อยยับของสถานที่เหล่านี้ทำให้ทั้งประเทศสะพรึงกลัวเหลือที่จะบรรยาย’
แน่นอนว่า ในศัตรูพวกนั้นจะเป็น ‘โจรสลัด’ จำนวนสักกี่มากน้อย
เป็นเรื่องที่เถียงกันไม่จบ พวกอีบันกับอีลานูนที่น่าสะพรึงกลัว ออกไล่ล่าหาทาส
และปล้นสะดมไปไกลถึงเกาะชวาและสุมาตรา
แต่ก็ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าคนจำนวนมากที่ถูกฆ่าตาย
ความจริงก็เป็นเพียงแค่คนที่ไม่ลงด้วยกับบรูกและธงอังกฤษเท่านั้น
รายงานการฆ่าฟันที่ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ เป็นต้นว่า Illustrated London
News กระพือความวิตกกังวลไปทั่วกรุงลอนดอน
นำไปสู่การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบขึ้นที่สิงคโปร์ในปี 1853
ขณะที่การกระทำของบรูกและราชนาวีได้รับอภัยโทษ
พวกเขามีผู้สนับสนุนที่สำคัญคือพ่อค้าสิงคโปร์ (ในจำนวนนี้มีสัญชาติเป็นคนอังกฤษมากแค่ไหนไม่แจ้ง-ผู้แปล)
ถึงอย่างไรก็ตาม มันก็ทำให้สินเชลยของพวกโจรสลัด
ที่แต่ก่อนเคยตกเป็นสมบัติของเรือที่เข้าปฏิบัติการในยุทธการนั้น ๆ
เป็นอันสิ้นสุดลง
มาบัดนี้เหตุการณ์ครั้งนั้นก็ล่วงเลยมาถึง 150 ปีแล้ว แต่ยุทธศาสตร์ ‘ตีโจรสลัดให้ถึงรัง ’
แบบเก่า ๆ ของตะวันตก ก็ได้รับการรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่อีกใน ‘ยุทธการปราบปรามผู้ก่อการร้าย ’
ที่สหรัฐและอังกฤษนำอยู่ในเวลานี้ ในช่วงหลายปีมานี้ วอชิงตันได้ออกมาเตือนเสมอ ๆ
ว่า กลุ่มก่อการร้ายอิสลามอาจจะหยุดยั้งกระแสการค้าโลกให้ขาดตอนได้
โดยโจมตีท่าเรือสำคัญ ๆ รวมทั้งแผนการที่จะพุ่งเรือบรรทุกระเบิดเข้าใส่สิงคโปร์
ที่ระบุว่าล้มเหลวไปแล้วด้วย
ในปี 2005 โดนัลด์ รัมสเฟลด์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐในตอนนั้น
ยกตัวเลขทางการพาณิชย์และความมั่นคงขึ้นมาอ้าง โดยเสนอให้กองทัพเรือสหรัฐ
มีสิทธิออกไล่ล่าผู้ก่อการร้ายที่แอบแฝงมาในรูปโจรสลัด
ตามช่องแคบมะละกาและบริเวณโดยรอบ
เขาอ้างว่าช่องแคบแห่งนั้นเป็นเส้นทางเดินสมุทรของน้ำมันกว่า 70% ที่จีนนำเข้า
และหากในอนาคตสหรัฐจะต้องรบกับจีน ช่องแคบแห่งนั้นก็อาจจะตันได้
ขณะที่สิงคโปร์ซึ่งเป็นพันธมิตรกับสหรัฐเห็นด้วยกับข้อเสนอของรัมสเฟลด์ครั้งนั้นเป็นบางส่วน
แต่มาเลเซียและอินโดนีเซียรีบปฏิเสธทันควัน
ในกรณีที่ต้องมีการเรียกร้องให้กองเรือตะวันตก เข้ามาช่วยปราบปรามโจรสลัดในย่านนี้
บางทีพวกเขาอาจจะระลึกถึงประวัติศาสตร์
ของสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกับความมั่นคงและบูรณภาพเหนือดินแดนของประเทศ
หรือของย่านนั้น ๆ ก็ได้