แบพติสตินา ดาวเคราะห์น้อยถล่มโลก
แบพติสตินา ดาวเคราะห์น้อยถล่มโลก
โดย
หนังสือพิมพ์มติชน คอลัมน์ โลกสามมิติ วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30
ฉบับที่ 10780
โดย บัณฑิต คงอินทร์ bandish.k@psu.ac.th
ภาพวาดดาวเคราะห์น้อยชนโลกที่อ่าวเม็กซิโก (ภาพ Donald E. Davis)
ดาวเคราะห์น้อยชนโลกเมื่อ 65 ล้านปีก่อนเป็นสาเหตุทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ (ภาพDonald
E. Davis)
ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปเมื่อ 65 ล้านปีก่อนเกิดจากสาเหตุใด?
มีทฤษฎีอยู่หลายทฤษฎีที่อธิบายสาเหตุการล้มตายของไดโนเสาร์ อาทิ
การระเบิดของซุปเปอร์โนวา แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และดาวเคราะห์น้อย (Asteroid)
หรือดาวหางชนโลก
ปัจจุบันทฤษฎีที่น่าเชื่อที่สุดคือ ทฤษฎีดาวเคราะห์น้อยชนโลก
ซึ่งทำให้เกิดฤดูหนาวนิวเคลียร์ หลักฐานสนับสนุนทฤษฎีนี้คือ หลุมอุกกาบาต "ชิคซูลูป"
(Chicxulub) บริเวณก้นอ่าวเม็กซิโก คาบสมุทรยูคาตัน
นับตั้งแต่ค้นพบหลุมอุกกาบาตชิคซูลูป ตั้งแต่ปี 1991 เป็นต้นมา
นักวิทยาศาสตร์ได้เพียรพยายามจะพิสูจน์หาแหล่งที่มาของดาวเคราะห์น้อยดวงที่ชนโลกดวงนี้
แต่ก็ยังไม่พบร่องรอย
หลุมอุกกาบาต "ชิคซูลูป" (Chicxulub) บริเวณก้นอ่าวเม็กซิโก
ล่าสุดทีมนักวิทยาศาสตร์สหรัฐจาก Southwest Research Institute (SwRI)
เมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด และนักวิทยาศาสตร์เชกจาก Charles University กรุงปราก
เผยผลการศึกษาในวารสารเนเจอร์ ฉบับวันที่ 6 กันยายน 2007 ว่า
ดาวเคราะห์น้อยดวงที่พุ่งชนโลกในครั้งนั้น
เป็นเศษของดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่สองดวงที่ชนกันในวงแหวนดาวเคราะห์น้อย
ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้เบาะแสจากการค้นพบดาวเคราะห์น้อยตระกูลใหม่ที่ชื่อว่า "แบพติสตินา"
(Baptistina) หนึ่งในตระกูลดาวเคราะห์น้อยมากกว่า 40 ตระกูล
การศึกษาโดยการคำนวณจากโมเดลคอมพิวเตอร์พบว่า
ดาวเคราะห์น้อยตระกูลแบพติสตินาเป็นกลุ่มดาวเคราะห์น้อยที่แตกออกจากการชนกันของดาวเคราะห์น้อยขนาด
170 กิโลเมตรกับดาวเคราะห์น้อยขนาดประมาณ 60
กิโลเมตรในบริเวณวงแหวนหรือเข็มขัดดาวเคราะห์น้อย (Asteroid Belt)
ซึ่งอยู่ระหว่างวงโคจรของดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดีเมื่อ 160 ล้านปีก่อน
ภาพวาดดาวเคราะห์น้อยชนกันเมื่อ 160 ล้านปีก่อนบริเวณวงแหวนดาวเคราะห์น้อย
เศษจากการชนกันของดาวเคราะห์น้อยในครั้งนั้นกลายเป็นดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่กว่า 10
กิโลเมตร ประมาณ 300 ดวง และขนาดใหญ่กว่า 1 กิโลเมตรประมาณ 140,000 ดวง
ในจำนวนนี้เป็นดาวเคราะห์น้อยตระกูลแบพติสตินามากกว่า 2,000 ดวง
ดวงที่ใหญ่ที่สุดมีขนาด 40 กิโลเมตร
ดาวเคราะห์น้อยตระกูลแบพติสตินาถูกแรงโน้มถ่วงของดาวอังคารและดาวพฤหัสบดีเหวี่ยงเข้ายังด้านในของระบบสุริยะและกาลต่อมาได้พุ่งชน
ดาวศุกร์ โลก และดวงจันทร์ของโลก
ดร.วิลเลียม บอตต์เก้ หนึ่งในทีมนักวิทยาศาสตร์จาก SwRI อธิบายว่า
ดาวเคราะห์น้อยบางส่วนโคจรเข้ามาในบริเวณวงโคจรของโลกและดวงจันทร์
และมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่บางดวงจะชนกับดาวเคราะห์ด้านในของระบบสุริยะ
ทีมนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าในจำนวนนี้มีดาวเคราะห์น้อยสมาชิกของตระกูลแบพติสตินาดวงหนึ่งพุ่งชนดวงจันทร์เมื่อ
108 ล้านปีก่อนจนทำให้เกิดหลุมอุกกาบาตไทโค ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 85 กิโลเมตร
และอีกดวงหนึ่งซึ่งมีขนาด 10 กิโลเมตรพุ่งชนโลกที่อ่าวเม็กซิโก เมื่อ 65
ล้านปีก่อนทำให้เกิดหลุมอุกกาบาตชิคซูลูป ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 185 กิโลเมตร
และเป็นสาเหตุทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์
หลักฐานสำคัญชิ้นหนึ่งที่สนับสนุนว่ามีความเป็นไปได้สูงนั่นคือ
การพบว่าองค์ประกอบทางเคมีของดาวเคราะห์น้อยตระกูลแบพติสตินาเหมือนกับองค์ประกอบทางเคมีในหลุมอุกกาบาตชิคซูลูป
ดร. วิลเลียม เบตต์เก้ กล่าวว่า "พวกเราเชื่อว่ามีความเชื่อมโยงกันโดยตรงระหว่างเหตุการณ์การชนกันในครั้งนั้นซึ่งทำให้เกิดกลุ่มดาวเคราะห์น้อยกับผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงเมื่อ
65 ล้านปีก่อนซึ่งเชื่อกันว่าได้ทำลายล้างไดโนเสาร์จนสูญพันธุ์"
หลุมอุกกาบาตไทโคบนดวงจันทร์
ในอดีตโลกเคยถูกดาวหางและดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนมาแล้วหลายครั้ง
ครั้งที่รุนแรงที่สุดจนทำให้สิ่งมีชีวิตบนโลกเกือบทั้งหมดสูญพันธุ์เกิดขึ้นในปลายยุคเพอร์เมียน-ไทรแอสสิก
(251 ล้านปีก่อน) ซึ่งเรียกกันว่ายุคแห่งการล้มตายครั้งยิ่งใหญ่ (the great dying)
ครั้งนั้นทำให้สิ่งมีชีวิตในท้องทะเลประมาณ 95%
ของสายพันธุ์ทั้งหมดและสิ่งมีชีวิตบนทวีปซึ่งขณะนั้นมีเพียงทวีปเดียวคือแพนเจีย (Pangea)
ประมาณ 70% ล้มตายและสูญพันธุ์ไปจากโลก
ดร.ลูแอน เบกเกอร์
และทีมนักวิทยาศาสตร์ค้นพบตำแหน่งที่ดาวเคราะห์น้อยชนโลกในปลายยุคเพอร์เมียน-ไทรแอสสิก
ที่ก้นทะเลนอกชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของออสเตรเลียซึ่งเป็นขอบทวีปออสเตรเลียที่เรียกกันว่า
"เนินเบดูต์"
การศึกษาตัวอย่างหินใต้ดินลึกถึง 3,000 เมตรที่ใจกลางเนินเบดูต์
ซึ่งบริษัทน้ำมันเก็บไว้เมื่อครั้งขุดเจาะสำรวจหาน้ำมันและก๊าซเมื่อต้นทศวรรษปลายทศวรรษ
1970 แล้วพบว่ามีเศษผลึกแก้ว
หลักฐานนี้ชี้ว่ามันเกิดจากการชนอย่างรุนแรงของวัตถุขนาดใหญ่ซึ่งทำให้เกิดความร้อนมหาศาลซึ่งหลอมละลายแร่ธาตุ
และเมื่ออุณหภูมิค่อยๆ ลดลงแร่ธาตุก็รวมตัวกันใหม่เป็นผลึก
การตรวจวัดอายุของหินใต้เนินเบดูต์พบว่ามันมีอายุประมาณ 250.1 ล้านปี
ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับยุคแห่งการล้มตายครั้งยิ่งใหญ่พอดี
ดาวเคราะห์น้อยชนโลกครั้งสุดท้ายที่ทังกัสกา ไซบีเรีย เมื่อปี 1908
อานุภาพการทำลายในครั้งนั้นเท่ากับระเบิดนิวเคลียร์ 15 เมกะตัน
ทำให้ผืนป่าแบนราบกว่า 2,150 ตารางกิโลเมตร
โชคดีที่มันไม่ได้ชนโลกในเขตชุมชนหนาแน่นอย่างเมืองใหญ่ๆ ของโลก
นักดาราศาสตร์บางคนเชื่อว่า
มนุษยชาติจะไม่อาจหลีกเลี่ยงมหันตภัยจากดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหางชนโลกได้
หลุมอุกกาบาตบนโลกเป็นประจักษ์พยานอย่างดีว่าได้เกิดอะไรขึ้นในอดีต
ปัจจุบันองค์การนาซามีโปรแกรม NASA"s Spaceguard Survey
โปรแกรมตรวจจับดาวเคราะห์น้อยและดาวหางที่มีวงโคจรตัดกับวงโคจรของโลกที่เรียกว่า
เทหวัตถุใกล้โลก ซึ่งขณะนี้พบแล้วมากกว่า 800 ดวง และนาซาหวังว่าจนถึงปี 2008
จะสามารถตรวจพบเทหวัตถุใกล้โลกได้จำนวน 90%
ปี 2029 ชาวโลกจะต้องระทึกใจ เมื่อดาวเคราะห์น้อยอโพฟิส (99942 Apophis) ขนาด 300
เมตร จะโคจรเฉียดโลกในระยะใกล้เพียง 18,640 ไมล์ หรือ 30,000 กิโลเมตร
ใกล้กว่าดาวเทียมหลายดวง ในวันที่ 13 เมษายน 2029