พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางทะเล
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางทะเล-ออสเตรเลีย
โดย
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2550
ดินแดนทะเลโอบอย่างประเทศออสเตรเลียย่อมมีร่องรอยหลักฐานการพาณิชย์นาวีโบราณอยู่ไม่น้อย
ยุวดี มณีกุล
บอกเล่าเนื้อหาการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางทะเลแห่งชาติออสเตรเลีย
รวมถึงการขุดค้นแหล่งเรือจมบางแหล่ง
ด้านหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
แนวความคิดในการจัดการพิพิธภัณฑ์มีชีวิต (Live Museum)
อาจเพิ่งปรากฏเป็นรูปธรรมในสังคมไทยไม่เกิน 5 ปี ที่ผ่านมา
แต่ในประเทศพัฒนาแล้วได้มีการยกระดับการจัดการพิพิธภัณฑ์เป็นเรื่องสำคัญลำดับต้นๆ
ของการพัฒนาสังคม เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับประชาชน
ที่มหานครซิดนีย์ เมืองใหญ่แห่งรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย
มีพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง ทั้งพิพิธภัณฑ์เมือง พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์-ธรรมชาติ
พิพิธภัณฑ์เฉพาะทางต่างๆ และหอศิลป์ประจำเมือง
หุ่นจำลองแสดงการใช้เรือพายเป็นพาหนะ
ความที่มีดินแดนติดทะเลและมหาสมุทรแปซิฟิค
เมืองซิดนีย์จึงเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางทะเลแห่งชาติออสเตรเลีย
(Australian National Maritime Museum) ริมอ่าวซิดนีย์
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นอาคารขนาดใหญ่ แบ่งเป็น 2 ชั้นแบบเล่นระดับ
จากโถงบริการมีทางลาดนำขึ้นสู่ห้องจัดแสดงชั้นสอง
ข้างทางมีร้านขายของที่ระลึกเกี่ยวกับสิ่งจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์และหนังสือว่าด้วยประวัติศาสตร์-โบราณคดีทางทะเล
โดยเฉพาะหนังสือเกี่ยวกับแหล่งเรือโบราณที่จมลงรอบๆ เขตน่านน้ำประเทศออสเตรเลีย
โครงกระดูกมนุษย์ในตู้แสดง
ก่อนถึงชั้นลอยมีตู้กระจกแสดงสัญลักษณ์เกี่ยวกับการเดินเรือเป็นการกระตุ้นความสนใจของผู้ชม
บริเวณชั้นลอยนี้มีพื้นที่บริการสอนต่อเรือโบราณจำลองแบบต่างๆ โดยไม่เสียค่าเรียน
ผู้สอนเป็นอาสาสมัครเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 11.00-15.00 น.
ไม่ไกลกันจัดแสดงสมอไม้เรือเก่าแก่ที่นำมาจากการทำงานขุดค้นโบราณคดีใต้น้ำ
พร้อมป้ายคำบรรยายเกี่ยวกับการสงวนรักษาโบราณวัตถุจากใต้ทะเลชิ้นนี้
รวมถึงเครื่องประกอบตัวเรือจำพวกตะปู สลัก ฯลฯ ที่จัดแสดงในตู้กระจกใกล้ๆ กัน
กล่าวได้ว่าเป็นห้องจัดแสดงโบราณวัตถุจากการทำงานโบราณคดีใต้น้ำนั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีการจำลองบางส่วนของเรือสำเภาโบราณที่ติดตั้งปืนใหญ่ประจำเรือไว้สำหรับป้องกันภัยจากโจรสลัดระหว่างการเดินทางท่องทะเล
โถงจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียนบริเวณไม่ไกลกันนำเสนอภาพถ่ายขาวดำ
เป็นภาพเรือแบบต่างๆ ต่อด้วยห้องนิทรรศการเกี่ยวกับสิ่งนำทางในการเดินเรือสมัยต่างๆ
มีหอประภาคารจำลองตั้งโดดเด่นกลางห้อง
ตามผนังมีป้ายคำบรรยายเกี่ยวกับพัฒนาการของสิ่งบอกทางเหล่านี้
หากต้องการเข้าใจภาพเรือสินค้า ก็ต้องชมห้องนิทรรศการการติดต่อค้าขาย
ผู้ออกแบบพิพิธภัณฑ์ได้จัดพื้นที่ว่างสำหรับแสดงอุปกรณ์ชักรอกลังสินค้าโดยใช้เชือกแหขนาดใหญ่เกี่ยวตะขอยกลังสินค้าขึ้น-ลงเรือ
แม้จะเป็นการจำลองฉากแต่ก็ใช้สัดส่วนเสมือนจริง
สิ่งจัดแสดงชิ้นนี้ตั้งอยู่ด้านล่างพุ่งสูงไปถึงระเบียงทางเดินชั้นสอง
ป้ายคำบรรยายระบุถึงสินค้านำเข้าและส่งออกในสมัยโบราณจากหลักฐานเอกสารประวัติศาสตร์
เครื่องถ้วยญี่ปุ่นพบจากแหล่งเรือจม
ห้อง passengers exhibition
ทำทางเข้าด้านหน้าเป็นรูปปั้นเด็กชายนักท่องสมุทรนั่งอยู่บนกองกระเป๋าเสื้อผ้า
ห้องนี้บอกเล่าความเป็นมาของเรือโดยสารขนาดใหญ่ที่จมลง
ลักษณะคล้ายเรือสำราญแบบไททานิค
มีลูกเรือและผู้โดยสารหลากหลายอาชีพเดินทางไปกับเรือลำนี้
การจัดแสดงยังได้จำลองห้องโดยสารของผู้โดยสารบางส่วน
สะท้อนให้เห็นความแตกต่างทางสถานะสังคมและเศรษฐกิจ
นิทรรศการที่น่าสนใจอีกห้องหนึ่ง ได้แก่
เรื่องราวของกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ตามช่องแคบและเกาะเล็กๆ
นั่นคือกลุ่ม Merana Eora Nora เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีวิถีชีวิตแบบนักท่องทะเล
ยังชีพด้วยการจับสัตว์น้ำ
พวกเขาคิดค้นอุปกรณ์พื้นบ้านอย่างเรียบง่ายในการล่าสัตว์ทะเล
กลุ่มชาติพันธุ์นี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมบนแผ่นดินที่รู้จักกันในนามกลุ่มอะบอริจินิส
นักขว้างบูมเมอแรงแห่งแดนจิงโจ้
ตู้จัดแสดงยังให้รายละเอียดเกี่ยวกับพิธีกรรมของชนเผ่านี้ด้วย
เมื่อมองจากระเบียงเล่นระดับด้านบนลงมายังพื้นห้อง
จะเห็นการจัดแต่งแสงและลวดลายที่ดึงดูดความสนใจได้ดี
ลวดลายแสงไฟกระทบพื้นเป็นรูปปลา 3 ตัว ไล่ล้อกันเป็นวงกลม
ห้องแสดงกลุ่มชาติพันธุ์ EORA
ห้องนิทรรศการต่างๆ เชื่อมต่อกันด้วยระเบียงทางเดินลักษณะคล้ายทางเดินบนเรือ
เป็นทางแคบๆ มีราวจับด้านข้าง และมีแสงสว่างพอมองเห็นทาง
ก่อนจะนำสู่ห้องนิทรรศการที่ติดตั้งระบบไฟตามเนื้อหา
บนระเบียงทางเดินนี้เอง
ผู้ชมจะเห็นเฮลิคอปเตอร์ที่ใช้ในการสงครามในอดีตติดตั้งอยู่กลางอากาศ
หลายคนสงสัยว่าเหตุใดเฮลิคอปเตอร์จึงมาเกี่ยวข้องกับเรื่องทางทะเล
ก็สามารถฟังคำบรรยายบนจอคอมพิวเตอร์ระบบสัมผัสได้
บนผนังโล่งกว้างด้านหนึ่งยังมีการฉายภาพยนตร์สั้นเกี่ยวกับฉากการสงครามในอดีต
โบราณวัตถุจากการขุดค้นทางโบราณคดีใต้น้ำ
ครั้นเดินไปตามระเบียงชั้นสองจนสุดทาง จะมีบันไดขั้นเล็กๆ นำสู่ชั้นล่าง
ห้องจัดแสดงชั้นล่างหากเริ่มต้นตั้งแต่โถงทางเข้าจะพบ USA Gallery
จัดแสดงเนื้อหาความร่วมมือในกิจการพาณิชย์นาวีของสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย
ห้องนิทรรศการ Navy exhibition
แสดงวัตถุและเรื่องราวความเป็นมาของกองทัพเรือออสเตรเลีย
จำลองห้องพักโดยสารของทหารเรือ และห้องควบคุมเรือ
เครื่องแบบทหารเรือชายและหญิงสมัยต่างๆ
นอกเหนือจากคำบรรยายบนจอคอมพิวเตอร์ระบบสัมผัสแล้ว
ห้องนี้ยังมีบอร์ดเครื่องหมายตราที่ผู้เยี่ยมชมสามารถพลิกดูข้อมูลเองได้
โดยจะมีข้อมูลตำแหน่งประจำตรายศนั้นๆ ระบุไว้
ก่อนผ่านไปสู่ห้องแสดงต่างๆ มีกล้องส่องที่ปรับมาจากกล้องส่องผิวน้ำของเรือดำน้ำ
ผู้ชมสามารถเล็งกล้องโดยหมุนไปรอบทิศ เด็กบางคนเพลิดเพลินกับกิจกรรมนี้
เขาบอกว่าลองส่องแล้วจะเห็นเฮลิคอปเตอร์ที่ติดตั้งตรงระเบียงชั้นสองชัดเจน
ถัดไปเป็น Watermarks exhibition
แสดงเครื่องยนต์ที่ใช้ในการขับเคลื่อนเรือแบบดั้งเดิม
ด้านท้ายของโถงแสดงเป็นนิทรรศการร่วมสมัย เน้นนำเสนอเรื่องของกีฬาทางน้ำ
ทั้งกระดานโต้คลื่น เรือใบ เรือพาย
มีเรือคยัครุ่นโบราณและกระดานโต้คลื่นแบบโบราณเรียงรายไปตามผนังห้อง
แถมด้วยภาพขาวดำของนักกีฬาโต้คลื่นที่มีชื่อเสียง
พร้อมโล่รางวัลจากการแข่งขันกีฬาทางน้ำประเภทต่างๆ
ใกล้กับห้องนิทรรศการร่วมสมัยนี้ปรากฏแบบเรือสำเภาโบราณจำลองขนาดประมาณ 3 คนโอบ
ที่มองจากด้านบนจะเห็นเป็นเรือสำเภาสีเขียว
แต่เมื่อมองในระยะใกล้พบว่าสร้างขึ้นจากกระป๋องเบียร์เปล่าต่อเรียงเป็นรูปเรือสำเภา
นับเป็นการนำวัสดุใช้แล้วมาดัดแปลงได้อย่างน่าสนใจ
นอกจากนี้ยังมีส่วนบริการ ประกอบด้วยห้องพักผ่อนสำหรับสมาชิกพิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด
ศูนย์การเรียนรู้สำหรับเด็ก และห้องสุขา
ผู้เยี่ยมชมนิทรรศการถาวรและนิทรรศการหมุนเวียนในอาคารพิพิธภัณฑ์ไม่ต้องเสียค่าเข้าชมแต่อย่างใด
ทั้งยังสามารถบันทึกภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวได้ด้วย
เริ่มด้วยการติดต่อเจ้าหน้าที่ตรงเคาน์เตอร์บริเวณโถงต้อนรับ
เจ้าหน้าที่จะแจกสติ๊กเกอร์ไว้ติดหน้าอกเสื้อเป็นใบเบิกทาง
ผู้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่มาเป็นครอบครัว
แม้จำนวนผู้เข้าชมต่อวันจะเทียบไม่ได้กับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เลือกไปเยือนสวนสัตว์และสวนสัตว์น้ำติดแอร์ฝั่งตรงข้ามอ่าวซิดนีย์
ซึ่งต้องเสียค่าบัตรผ่านประตูในราคาแพง แต่ก็นับว่าเป็นจำนวนที่น่าพอใจ
อาจเป็นเพราะพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีบริษัทเอกชนหลายรายให้การสนับสนุนจึงมีทุนมากพอสำหรับการเนรมิตบรรยากาศและเนื้อหาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ
ชนิดที่ต้องใช้เวลาเป็นครึ่งวันสำหรับการเดินชมให้เต็มอิ่ม
เมื่อออกจากอาคารพิพิธภัณฑ์แล้ว ใครต้องการเดินชมเรือโบราณของกัปตันคุก
และเรือดำน้ำที่เคยใช้ในการสงคราม ซึ่งจอดเทียบท่าด้านหน้าพิพิธภัณฑ์
ก็ต้องซื้อบัตรผ่านประตู
แม้พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางทะเลแห่งชาติออสเตรเลียจะประจำการอยู่ที่ซิดนีย์
แต่เมืองในรัฐต่างๆ ทั้ง 6 รัฐ
ของประเทศออสเตรเลียก็มีพิพิธภัณฑ์โบราณคดีใต้น้ำตั้งอยู่เช่นกัน
เน้นจัดแสดงโบราณวัตถุและเรื่องราวของแหล่งเรือจมตามแหล่งขุดค้นใต้ทะเลจุดต่างๆ
ในเขตน่านน้ำออสเตรเลีย
เจเรมี กรีน (jeremy Green) นักโบราณคดีใต้น้ำชื่อดังประจำ Department of Maritime
Archaeology พิพิธภัณฑ์ออสเตรเลียตะวันตก เขียนถึงเรือโบราณบัตตาเวีย (Batavia)
ไว้ในบทความชื่อ 'Batavia 1629' ในหนังสือ 'Shipwreck Archaeology in Australia'
ตีพิมพ์ใหม่เอี่ยมปีนี้
มีใจความว่าทางฝั่งตะวันตกของออสเตรเลียมีสถานะเป็นเมืองท่าชายฝั่งมานานกว่า 4
ศตวรรษ พ่อค้าชาวดัตช์ประจำอินเดียตะวันออก (VOC)
ได้ออกเดินทางจากยุโรปที่มหาสมุทรอินเดียจนถึงจุดหมายคือสถานีการค้าย่อย VOC
ของพวกดัตช์ในแถบหมู่เกาะชวาหรืออินโดนีเซียในปัจจุบัน
ระหว่างการเดินทาง เรือสำเภาจำนวนหนึ่งของกลุ่มพ่อค้าชาวดัตช์แห่ง VOC
ได้อับปางลงใกล้ชายฝั่งออสเตรเลีย เรือบัตตาเวียคือหนึ่งในนั้น
บัตตาเวียล่มลงในปี ค.ศ.1629(พ.ศ.2172) โดยมีเรือที่จมลงก่อนหน้านี้ 7 ปี
หลังจากนั้นมีเรือสำเภาล่มลงใกล้ชายฝั่งตะวันตกของออสเตรเลียอีกอย่างน้อย 3 ลำ
เรือทั้งหมดมีอายุอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 17-18
เรื่องราวของผู้รอดชีวิตกว่า 200 คน (เมื่อ 300 ปีเศษ)
ต้องเผชิญภาวะการเอาตัวรอดบนเกาะที่ขาดแคลนน้ำจืด
นำไปสู่โศกนาฏกรรมที่ไม่อาจลืมเลือนเมื่อผู้นำกลุ่มตัดสินใจก่อฆาตกรรมครั้งใหญ่
ในที่สุดมีผู้เหลือรอดไม่ถึง 100 ชีวิต
ต่างเดินทางไปหาเกาะใกล้เคียงแห่งใหม่ที่มีน้ำจืด
ส่วนศพผู้ถูกฆ่าทั้งชายหญิงและเด็กถูกฝังไว้บนเกาะเล็กๆ แห่งนั้น
จนเพิ่งมีการขุดค้นพบโครงกระดูกในช่วงปี คศ.1999-2001 (พ.ศ.2542-2544)
ทุกวันนี้ ซากหลงเหลือของเรือบัตตาเวียยังคงอยู่ที่ความลึกราว 5 เมตร
ไม่นับรวมเรือลำอื่นๆ
เรือโบราณบัตตาเวีย (Batavia)
นักโบราณคดีใต้น้ำเริ่มสำรวจเรือบัตตาเวียอย่างจริงจังราวต้นปี ค.ศ.1970 (พ.ศ.2513)
ต่อมารัฐบาลออสเตรเลียสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมจึงมีการขุดค้นอย่างต่อเนื่องถึง 3
ปี (พ.ศ.2516-2519) พบสมอเรือขนาดต่างๆ 9 ชิ้น ภาชนะทองเหลืองหลายแบบ
ภาชนะดินเผามากมาย เหรียญเงินเก่าแก่ของพ่อค้าชาวดัตช์
หินทรายรูปทรงเหลี่ยมแบบต่างๆ 137 ชิ้น และโบราณวัตถุอีกมากมายในระวางสินค้า
นอกจากนี้ยังพบคำเรียกหน่วยเงินอันเป็นต้นแบบของ 'dollar' ว่า 'thaler'
หลักฐานโบราณคดีเหล่านี้นำไปเสริมข้อมูลจากเอกสารประวัติศาสตร์ว่าด้วยการพาณิชย์นาวีโบราณ
เช่นเดียวกับแหล่งเรือจมแห่งอื่นๆ
และเป็นเนื้อหานำไปสู่การจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางทะเลในที่สุด
Australian National Maritime Museum เปิดบริการตั้งแต่เวลา 9.30 น.-17.00 น. (เปิดถึง
18.00 น. ช่วงเดือนมกราคม) ตั้งอยู่ริมอ่าวซิดนีย์ บนถนนดาร์ลิง ฮาร์เบอร์
เชิงสะพานเพียร์มอนท์ (สะพานคนเดินที่มีรถไฟฟ้ารางเดียว Monorail ข้ามผ่าน)
หรือเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์
www.anmm.gov.au
ภาพ : ยุวดี มณีกุล