วันเดียว เที่ยวเมืองปากน้ำ
วันเดียว..เที่ยวเมืองปากน้ำ
โดย
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2270 15 พ.ย. - 17 พ.ย. 2550
ไม่ต้องลางาน ไม่ต้องรอวันหยุดยาว วันเดียวก็เที่ยวได้
ของทางสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ได้จัดทริปสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาว่าง แถมสบายกระเป๋า สะดวกการเดินทาง
และสถานที่เที่ยวก็ไม่เป็นรองที่อื่น นั่นคือ สมุทรปราการ หรือที่เราเรียกติดปากว่า
"เมืองปากน้ำ" นั่นเอง
จุดแรกที่จะไปนั้นเป็นสิ่งที่สร้างด้วยน้ำมือของมนุษย์ แม้จะไม่ใหญ่โต
อลังการเท่าที่พระเจ้าเนรมิต
แต่ก็ไม่เป็นรองในเรื่องความงามและศิลปะที่ก่อให้เกิดก่อให้เกิดความอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็น
อย่างพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ที่เกิดจากความคิดริเริ่มของคุณเล็ก วิริยะพันธุ์
ที่สร้างความตื่นตาให้แก่ผู้พบเห็น ขนาดอันมหึมา
เฉพาะส่วนหัวช้างสามเศียรก็มีน้ำหนัก 100 ตัน ลำตัวช้างหนัก 150 ตัน
หุ้มด้วยทองแดงทั้งตัว
ซึ่งเป็นประติมากรรมลอยตัวที่ใช้เทคนิคการเคาะโลหะด้วยมือเป็นแห่งแรกที่ไม่มีที่ไหนในโลกกล้าทำ
และยังมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย
ด้านตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ซึ่งเปรียบเสมือนโลก เป็นอาคารทรงกลมก่ออิฐถือปูน
สีพูอ่อนตามแบบของปราสาทหิน ให้ความรู้สึกถึงความงามและความสงบ
เป็นการลงสีฉาบปูนด้วยกรรมวิธีโบราณที่เรียกว่า ปูนตำ ผสมปูนกินหมาก
จนได้สีชมพูอ่อนดั่งปราสาทหินทรายที่ทนแดดทนฝนหลายชั่วอายุขัย
ส่วนบริเวณท้องช้างและหัวช้างออกแบบให้เป็นส่วนพิพิธภัณฑ์จัดแสดงวัตถุของมีค่า
ในขณะที่ส่วนขาช้างทั้งสี่ขา ผ่านกระบวนการคิดอันแยบยลของผู้สร้าง
ใช้เป็นที่เก็บซ่อนอุปกรณ์สาธารณูปโภคจำเป็น เช่น ลิฟต์ ท่อแอร์ สายไฟฟ้า ท่อประปา
ฯลฯ ยืนอยู่เหนือยอดโดมของอาคารที่รองรับ ดูราวกับช้างตัวนี้เหยียบอยู่บนโลก
ภายในพิพิธภัณฑ์ แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนล่าง ได้แก่ฐานอาคารศาลา
ซึ่งเปรียบเสมือนโลก และชั้นใต้ดินหรือบาดาล (นาคพิภพ)
เป็นที่จัดแสดงของมีค่าจำนวนมากอาทิ พระพุทธรูป
เทวรูปมัยต่างๆและเครื่องลายครามของจีนสมัยราชวงศ์หยวน ราชวงศ์ชิง
ชามสังคโลกสมัยสุโขทัย เครื่องเคลือบเขียวสมัยอยุธยา พระพุทธรูปสำคัญประมาณค่ามิได้
ฯลฯ และมีนิทรรศการแสดงประวัติของการสร้างเมืองโบราณ ปราสาทสัจธรรม
และพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ อีกด้วย
บริเวณที่สองภายในอาคารทรงโดม หรือโลกมนุษย์
จัดแสดงโบราณวัตถุทั้งจากทางตะวันตกและตะวันออก
การตกแต่งภายในเป็นการผสานศิลปะหลากหลายรูปแบบ อาทิ เพดานกระจกสี
รูปแผนที่โลกและจักรราศีซึ่งเป็นศิลปะแบบตะวันตก
งานปูนปั้นฝีมือช่างเพชรบุรีบริเวณบันไดและซุ้มพระเกตุ
และงานดีบุกดุนลายที่หุ้มเสาอาคารทั้งสี่ต้น
แสดงเรื่องราวทางศาสนาและคุณธรรมอันดีงามที่ค้ำจุนโลกให้เกิดสันติสุข
ส่วนบริเวณสุดท้าย คือท้องช้าง หรือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ซึ่งได้ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปสมัยต่างๆ
ส่วนผนังและเพดานตกแต่งด้วยภาพเขียนสีฝุ่นรูปสุริยจักรวาล ส่วนพื้นที่รอบๆ
พิพิธภัณฑ์ เป็นอุทยานพรรณไม้ในวรรณคดี รวมทั้งพันธุ์ไม้หายากต่างๆ
และประดับงานประติมากรรมลอยตัวรูปสัตว์หิมพานต์ตามมุมต่างๆ ภายในอุทยานอันร่มรื่น
ระหว่างการชมในแต่ละส่วนจะมีเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์มาบรรยายให้ความรู้อย่างเต็มที่
เรียกว่ามาแล้วไม่เบื่อ มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย แทรกอยู่ตลอดเวลา
เพราะที่นี่ไม่ใช่เป็นพิพิภัณฑ์เพียงอย่างเดียว
เรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่แพ้ที่อื่น ดังนั้นเห็นผู้คนเหมารถบัส
รถตู้มากราบไหว้สักการะอยู่เป็นประจำ เรียกว่าใครใคร่ขอก็ขอ ใครใคร่ไหว้ ก็ไหว้
ส่วนจะสำเร็จหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความเชื่อ เรียกว่า ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่
จากนั้นก็เดินทางแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของสมุทรปราการ นั่นคือ
พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ จะอยู่ตรงกันข้ามกับโรงเรียนนายเรือ จากแยกบางนาไปสำโรงประมาณ
10 กิโลเมตร บริเวณด้านหน้าของตัวอาคารจะโดดเด่นด้วยเครื่องบินขนาดยักษ์
ถัดเข้าไปก่อนถึงตัวอาคารจะเป็นรถสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก ,เรือดำน้ำ ,รถถัง ,ปืนใหญ่
วางเรียงราย ซึ่งทางทหารเรือบอกว่าสิ่งของเหล่านี้ล้วนเคยใช้งานมาแล้วทั้งสิ้น
จุดนี้เองจึงทำให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ต่างจากที่อื่น
ส่วนบริเวณภายในอาคาร จะมีนิทรรศการบุคคลสำคัญที่เกี่ยวกับกองทัพเรือ
อาทิพระเจ้าตากสินมหาราช , พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
ที่จัดแสดงอาวุธประจำพระองค์ ตำรายา ตำราดูลักษณะม้า ภาพวาดฝีพระหัตถ์
อุปกรณ์เครื่องใช้ประจำพระองค์ เป็นต้น
นอกจากนั้นยังมีห้องอาวุธยุทโธปกรณ์ประเภทต่างๆ อาทิ ปืนสามล้อ
ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ตอร์ปิโดแบบ 53 ก. ของ ร.ล.พระร่วง ปืนเที่ยง
ปืนล้อสนามที่ทหารเรือเคยใช้ยิงเพื่อบอกเวลาเที่ยงวัน สมัยรัชกาลที่ 5 ชั้น ,มีจัดแสดงกระบวนเรือพระราชพิธี
(จำลอง) ตลอดจนเครื่องมือเดินเรือ เรือรบของกองทัพเรือ(จำลอง)
แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดในพิพิธภัณฑ์ที่หาชมได้ยาก ก็คือ เรือหลวงมัจฉานุ
ซึ่งเป็นเรือดำน้ำรุ่นแรกของกองทัพเรือไทย ที่บางส่วนได้ถูกเก็บรักษาไว้ ณ
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ซึ่งเปิดให้เข้าชมฟรี ทุกวัน เวลา ๐๙.๐๐ น. - ๑๕.๓๐ น.
ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์
ปิดท้าย "เมืองโบราณ" พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่ 50 ไร่
เป็นเมืองที่รวบสิ่งดีๆ ของไทยนับแต่โบราณกาลมารวบรวมไว้ให้เป็นรูปธรรมที่นี่
ซึ่งได้แก่โบราณสถานต่างๆ ภาพจำลองวิถีชีวิตไทยในอดีต เช่นตลาดโบราณและตลาดน้ำ
รวมไปถึงความเชื่อจากตำนานต่างๆ เช่นเรื่องเทพเจ้า นิทานต่างๆ
รวมถึงเรื่องราวในวรรณคดีไทยทั้งหมดนั้นได้นำมาจัดสร้างเป็นโบราณสถานจำลอง
เช่นพระธาตุ ปราสาทหินจำลองจากสิ่งที่มีอยู่
แต่บางครั้งก็จัดสร้างจากการศึกษาประวัติศาสตร์
รวมไปถึงการทำผาติกรรมโยกย้ายและทดแทน
และยังมีประติมากรรมจากนิทานในวรรณคดีเรื่องต่างๆ มารวบรวมไว้ในที่แห่งนี้
เรียกว่ามาเที่ยวแห่งเดียวเหมือนไปทั่วประเทศ
นอกเหนือจาก สถาปัตยกรรม สิ่งก่อสร้าง ที่จำลอง และจัดวางตามแผนผัง ภาคต่างๆ
ของประเทศไทยแล้ว ยังมีส่วน "อาณาบริเวณรังสรรค์" ซึ่งเป็นการขยายพื้นที่
ทางทิศตะวันตกออกไป แล้วทำสิ่งก่อสร้างใหม่ ตามความคิด ความเชื่อ เพิ่มเข้าไป เช่น
เขาพระสุเมรุ ศาลาทศชาติ ฯลฯ เป็นต้น นับว่าเป็นทัวร์วันเดียว เที่ยวคุ้มจริงๆ
เหมาะกับยุคสมัย
ตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกด้วย