เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙ นาวาสถาปัตยกรรมแห่งรัชสมัย
เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙ นาวาสถาปัตยกรรมแห่งรัชสมัย
โดย
หนังสือพิมพ์กรุงเทพวันอาทิตย์ - กรุงเทพธุรกิจ ปีที่ 20 ฉบับที่ 593
วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2550
ปิ่นอนงค์ ปานชื่น เรียบเรียงจากหนังสือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
กับงานศิลปะและการออกแบบ ประกอบบทสัมภาษณ์ รองศาสตราจารย์ ชินศักดิ์ ตัณฑิกุล
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุนนท์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา
สถาปัตยกรรม คือ ศิลปะ หรือ วิชาว่าด้วยการก่อสร้าง
ส่วน นาวา ตามราชบัณฑิตยสถานฉบับ พ.ศ. 2542 ได้บัญญัติไว้หมายถึง
เรือ โดยศาสตราจารย์
พลเรือโทสมภพ ภิรมย์ ศิลปินแห่งชาติ
และราชบัณฑิตซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนาวาสถาปัตยกรรมได้ให้ความหมายไว้ว่า
วิชานาวาสถาปัตยกรรมศาสตร์ (Naval Architecture)
คือวิชาที่เกี่ยวเนื่องกับศิลปะและเทคนิคการออกแบบเรือและประโยชน์ในการใช้สอยเรือ
ดังนั้นเราคงจะพออนุมานความหมายของนาวาสถาปัตยกรรมไว้ว่า
ศิลปะและเทคนิคว่าด้วยการออกแบบและการสร้างเรือ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุนนท์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา
ประธานอนุกรรมการฝ่ายรวบรวมงานในพระราชกรณียกิจ
ให้เหตุผลในการเลือกรูปเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙
มาเป็นภาพบัตรเชิญ โปสเตอร์ สูจิบัตร และ หนังสือชื่อ สำหรับนิทรรศการ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับงานศิลปะและการออกแบบ
" ในโครงการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษ
80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 มีใจความว่า
"งานครั้งนี้มีความสำคัญ เพราะว่าเป็นงานที่เกี่ยวกับ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นเรื่องเกี่ยวกับศิลปะและการออกแบบ
และเป็นเรื่องที่มหาวิทยาลัยทางศิลปะรับผิดชอบ
ผมคิดว่าน่าจะมีบุคลิกทางการออกแบบบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตัวหนังสือที่ใช้
รวมไปถึงการเลือกรูป ฝ่ายออกแบบเสนอว่าให้เป็นรูปโขนเรือนารายณ์ทรงสุบรรณ
เรือลำนี้คลาสสิก ในการออกแบบ คือ คลาสสิกจริงแต่มีดีไซน์ร่วมสมัย คือ
ไม่ใช่รูปโขนเรืออย่างเดียว แต่มีดีไซน์ของเราเข้าไปด้วย
ทุกคนสามารถถ่ายรูปโขนเรือนำมาเป็นปกได้แต่ว่าของเรามีอย่างนี้
ให้เห็นว่าเป็นดีไซน์ของเรา" ผศ.สุนนท์
กล่าวถึงลายเส้นคล้ายเกลียวคลื่นที่ปรากฏอยู่บนสื่อสิ่งพิมพ์
"ประเด็นของโขนเรือนารายณ์ทรงสุบรรณ
ในแง่ของทางศิลปะเราถือว่าเป็นงานที่สร้างสรรค์ขึ้นในรัชสมัย
เพราะเหตุว่าคนออกแบบเขาคิดลายก้านขดหัวลายเป็นครุฑ เป็นลายที่พัฒนาขึ้นมาในรัชสมัย
คือ คนออกแบบเขาศึกษามาจากลายในอยุธยา วิธีคิดผสมผสานกับลวดลายแบบ symmetryของ
รัตนโกสินทร์แล้วพัฒนาขึ้นมาเป็นลายก้านขดหัวครุฑ เพราะว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมี
ในด้านศิลปกรรมถือว่าเป็นงานสร้างสรรค์ขึ้นในรัชกาล
ด้วยเหตุที่เรือนารายณ์ทรงสุบรรณ ถือว่าเป็นงานศิลปกรรมที่สร้างสรรค์ขึ้นในรัชกาล
ประกอบกับองค์ความรู้ที่ใส่ไปในการออกแบบและสร้างเรือลำนี้
เป็นการรวมความรู้ทางด้านจิตรกรรม เรือพระที่นั่งเป็นนาวาสถาปัตยกรรม
เกี่ยวข้องกับคณะสถาปัตย์ งานศิลปะตกแต่งเกี่ยวข้องกับคณะมัณฑนศิลป์
ส่วนโขนเรือเดิมอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจัดเป็นโบราณวัตถุ
เกี่ยวข้องกับคณะโบราณคดี เกี่ยวข้องกับคณะทั้งหมดที่ร่วมมือการทำงาน
แถมยังบ่งบอกถึงงานศิลปกรรมประจำรัชสมัยจึงมีความสมบูรณ์ ครบถ้วน"
ทั้งความหมายและคณะทำงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ คณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะมัณฑนศิลป์ และ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
"พอได้ภาพนี้แล้ว ในการออกแบบต้องมีอนุกรมของมัน เพราะในด้านสิ่งพิมพ์จะมีหนังสือ
โปสเตอร์ สูจิบัตร บัตรเชิญ จะต้องจำลองดีไซน์ของอันนี้ลงไปในสูจิบัตร บัตรเชิญ
โปสเตอร์จึงเป็นรูปโขนเรือพิมพ์ลงกระดาษทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีข้อมูลครบ
สูจิบัตรเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเล็กลงมาหน่อยเป็นหนังสือเล่มเล็ก
มีข้อมูลครบถ้วน ที่เราคิดว่าจะต้องเกี่ยวข้องคือบัตรเชิญ คิดให้มันดึงดูด
เป็นเรื่องซีรีส์ของการออกแบบ ให้มีความสัมพันธ์กัน "
นาวาสถาปัตยกรรมแห่งรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
ทรงสนพระราชหฤทัยในงานด้านนาวาสถาปัตยกรรมมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
โดยขณะที่พระองค์ทรงศึกษาอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ก็ได้ทรงประดิษฐ์เรือรบจำลองด้วยพระองค์เอง
และต่อมาพระองค์ก็ทรงต่อเรือใบพระที่นั่งอีกหลายลำ ไม่ว่าจะเป็นเรือราชปะแตน
เรือใบมด จนถึงเรือโม้ก
หรือแม้แต่การที่พระองค์ทรงมีพระราชดำริให้กองทัพเรือต่อเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดต.91
และพัฒนาเรื่อยมาจนถึงเรือต.991
ซึ่งพระองค์ท่านได้พระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยอันเป็นประโยชน์ต่อคณะทำงานเป็นอย่างยิ่ง
และยังรวมถึงการที่พระองค์โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามเรือพระที่นั่งลำใหม่ว่า “เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ
รัชกาลที่ ๙”
ซึ่งกองทัพเรือและกรมศิลปากรได้นำนามพระราชทานนี้มาเป็นแนวทางในการจัดสร้างเรือพระที่นั่งดังกล่าวเพื่อน้อมเกล้าฯ
ถวายพระองค์ท่านในเวลาต่อมา และสิ่งต่างๆ
เหล่านี้ล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพในงานด้านนาวาสถาปัตยกรรมใน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นอย่างดี
ผศ.สุนนท์ อธิบายถึงนาวาสถาปัตยกรรมให้เข้าใจอย่างง่ายๆ
โดยเปรียบเทียบให้เห็นภาพกล่าวคือ "การสร้างเรือ เป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง
ยกตัวอย่างง่าย คุณดูเรือมหาเศรษฐี อย่างเช่น ไททานิค นั่นมันโรงแรมนะ
มีห้องดินเนอร์ ห้องจัดเลี้ยง เป็นสถาปัตยกรรมที่ลอยอยู่ในน้ำ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มี
เรียกง่ายๆโรงแรมลอยน้ำ เหล่านี้คือ นาวาสถาปัตยกรรม"
อาจารย์สุนนท์เปิดเผยว่า เดิมทีไม่ได้สนใจเรือพระที่นั่งลำนี้มากเท่าไรนัก
ครั้นเมื่อได้ลงมือค้นคว้า สืบค้นข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นเอกสาร หรือ การสัมภาษณ์บุคคล
ยิ่งมีข้อมูลมากเท่าไร ยิ่งพบว่าเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙
นี้มีความสำคัญ มีความน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่การลงมือสร้าง
ไปจนถึงงานศิลปกรรมที่รวมทั้งศาสตร์และศิลป์แห่งรัชสมัย
"เรือพระที่นั่งสร้างด้วยไม้ที่มีลักษณะแตกต่างกัน กล่าวคือ
ส่วนลำเรือใช้ไม้ตะเคียนทอง โขนเรือเป็นไม้สัก เรียกว่า ส่วนพ้นน้ำเป็นไม้สักทอง
ส่วนที่อยู่ในน้ำเป็นไม้ตะเคียนทอง เป็นไม้ที่โดนน้ำแล้วสบายบรื๋อเลย
วิธีการสร้างก็น่าสนใจมากเลย แรกๆ ก็เฉยๆ นะแต่พอได้ไปอ่านหนังสือของกองทัพเรือ
เวลาสร้างเขาเขียนไว้ชัดเจนเลยตั้งแต่วันวางกระดูกงูจนถึงวันสุดท้าย
ผมเข้าใจว่าเป็นเอกสารที่ต่อเนื่องมาจากสมัยอยุธยามีขั้นตอนละเอียด เช่น
วางกระดูกงูเมื่อไหร่ ขึ้นกง กระดูกงู คือกระดูกปลายสันหลัง
อ่านแล้วเข้าใจเลยว่าการสร้างเรือไม่ว่าจะยุคโรมัน หรือสมัยไหน
สร้างขึ้นตามระบบร่างกายมนุษย์ทั้งสิ้น กงเรือตอนแรกผมไม่เข้าใจพอภาษาอังกฤษบอกว่า
rib นี้เข้าใจเลย
วิธีสร้างพอประกอบกระดูกงูเรือ กงเรือ เปลือกเรือ
ถามว่าเขาจะทำลายทำอย่างไร เขาจะใช้ไม้ปะกับไปกับเปลือกเรือ แล้วลอกลายลงไป
ถอดออกมาแกะข้างนอก นำมาประกอบใหม่ พวกนี้เป็นไม้ชิ้นๆ นำมาต่อกัน น่าสนใจมาก"
นอกจากนี้อาจารย์ยังพบว่า
เดิมทีทางกองทัพเรือมีความคิดที่จะสร้างเรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์ขึ้นอีกหนึ่งลำ
(เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
เป็นเรือพระที่นั่งที่สร้างใหม่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
แต่มาเสร็จสมบูรณ์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งเรือลำแรกนั้นมีนามว่า เรือศรีสุพรรณหงส์
สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช --วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)
จึงไปปรึกษากับทางกรมศิลปากร
"กรมศิลป์แนะว่าไม่ควรสร้าง แต่เสนอให้สร้างเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ
เพราะว่าเรือสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๓ เดิมไม่มีพระนารายณ์ต่อมาลำเรือโดนระเบิด
ลำเรือเสียหาย โขนเรืออยู่ในพิพิธภัณฑ์ กรมศิลปากรเสนอว่าสร้างลำนี้สิ
ตกลงสร้างแล้วกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ
เดิมคิดว่าจะก๊อบปี้ ทั้งขนาดเพราะมีบันทึกเอาไว้หมด
เมื่อพระองค์ท่านพระราชทานนามว่าเรือนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙ พี่อาวุธ (เงินชูกลิ่น)
เขาถวายงานพระองค์ท่านมามาก รู้เลยว่าทรงมีพระราชประสงค์ไม่ให้ก๊อบปี้
แต่ให้ใช้แบบโขนเรือเดิม จึงสร้างใหม่ทั้งลำ
สั้นกว่าเรือสุพรรณหงส์ เทียบจากน้ำหนัก ฝีพาย พอพระราชทานนามมา
พี่อาวุธสบายใจว่าไม่ให้ก๊อบปี้ให้ครีเอทขึ้นมาใหม่
ปัญหาคือไม่รู้ว่าจะให้ใครมาเขียนลาย
วันหนึ่งพี่อาวุธไปที่สำนักช่างสิบหมู่ไปเห็นลาย คนเขียนไม่รู้ไปไหน
ก็ไปตามตัวมาชื่อนิคม พลเยี่ยม มีโจทย์ว่า
ต้องเป็นงานที่สร้างขึ้นมาใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๙ เขาก็คิดขึ้นมาใหม่ ตรงนี้สำคัญ
ไม่ได้ลอก แต่เป็นการสืบสานและพัฒนา ไม่ได้ลอกแต่ต้องรู้ของเก่า คนนี้มีฝีมือ
ผมเชิญเขามาถวายคำอธิบายแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ในวันที่เสด็จมาทรงเปิดนิทรรศการ ที่ศิลปากรเรามีประเพณี คือ เราให้เกียรติคนทำงาน
"
แม้จะออกตัวว่าเป็น "ช่าง" ไม่ถนัดงานเขียนหนังสือ แต่เมื่อได้ลงมือเป็นนักเขียน
ค้นคว้าข้อมูล รวมทั้งเป็นบรรณาธิการ
หนังสือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับศิลปะและการออกแบบ ผศ.สุนนท์
กล่าวว่างานนี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจ ความพยายาม ของคณะทำงานทุกคน "ในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง
...มีโอกาสที่จะได้ทำอะไรให้พระองค์ท่าน ก็เต็มใจทำโดยที่ไม่ต้องการอะไร"
อาจารย์กล่าวสั้นๆ ก่อนเชื้อเชิญคนไทยไปชมนิทรรศการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
กับศิลปะและการออกแบบ จัดแสดงพระราชกรณียกิจด้านจิตรกรรม มัณฑนศิลป์ และสถาปัตยกรรม
ซึ่งเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙ ถือเป็นหนึ่งใน "ผลงานชิ้นเอก"
ในด้านนี้
"แต่ก่อนเราอาจรู้สึกว่าเราไม่ค่อยทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ท่านทรงงานอะไรบ้าง ส่วนใหญ่ที่คนเห็นชัดๆ คือการทรงดนตรี งานครั้งนี้พอทำไปเรื่อยๆ
เราพบงานที่มีลักษณะที่น่าสนใจ
เกี่ยวข้องกับงานทัศนศิลป์ซึ่งผมคิดว่ามีความกว้างขวาง ครอบคลุม
เป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่านอกจากเป็นประโยชน์ด้านสุนทรียภาพแล้วยังมีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันของประชาชน
เช่น การแก้ไขปัญหาด้านการจราจร การบำบัดน้ำเสีย น้ำท่วม
ท่านทรงงานไว้ค่อนข้างครบถ้วนเราคิดว่าการรวบรวมครั้งนี้จะทำให้ประชาชนเข้าใจความมีอัจฉริยภาพของท่านในแง่ที่นอกเหนือไปจากศิลปะด้านอื่นๆ
รวมถึงการออกแบบที่เรารับทราบโดยทั่วกัน
เรายังมีเรื่องอีกหลายเรื่องในด้านศิลปะและการออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นในสเกลใหญ่ๆ
ด้านสถาปัตยกรรมที่มีพระราชดำริ มีพระราชวินิจฉัยไว้
และงานออกแบบทางมัณฑนศิลป์ที่เป็นงานเล็กๆ จะเห็นว่ามีความครบถ้วน น่าสนใจมาก
คิดว่าคนอาจไม่ค่อยทราบกันมากนัก
การรวบรวมครั้งนี้เปรียบเสมือนการบันทึกอันหนึ่งซึ่งทำให้ประชาชน
คนทั่วไปและคนที่รักในงานทัศนศิลป์จะได้ทราบถึงที่มาที่ไปของแต่ละงาน
มันไม่ได้มาจากผู้ออกแบบอย่างเดียวแต่ท่านทรงมีส่วนร่วมในด้านการให้พระราชวินิจฉัยต่างๆ
ซึ่งทำให้งานมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น"
รองศาสตราจารย์ ชินศักดิ์ ตัณฑิกุล คณบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
ประธานคณะกรรมการดำเนินงาน กล่าวเสริมว่า
ทั้งนี้นิทรรศการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับงานศิลปะและการออกแบบ
จัดแสดงผลงานภาพจิตรกรรมในพระราชนิพนธ์พระมหาชนก (ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจำลองภาพ)
ภาพขยายเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙ ขนาดสองเมตร
หุ่นจำลองพระเมรุมาศสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี หุ่นจำลองพระมหาธาตุเฉลิมราชศรัทธา
เป็นต้น ณ หอศิลป์ วังท่าพระ มหาวิทยาลัยศิลปากร ระหว่างวันที่ 1-28 ธันวาคม 2550
ส่วน หนังสือรวบรวมพระราชกรณียกิจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับศิลปะและการออกแบบ
มีวางจำหน่ายในนิทรรศการ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่งานประชาสัมพันธ์
สำนักงานอธิการบดี โทร. 02-880-7730
เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙
เนื่องในมหามงคลวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ
50 ปี ในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2539
กองทัพเรือจึงได้มีหนังสือพระราชทานพระบรมราชานุญาตสร้างเรือพระที่นั่งลำใหม่เพื่อน้อมเกล้าฯ
ถวาย โดยพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามเรือลำนี้ว่า “เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ
รัชกาลที่ ๙ นับเป็นเรือพระราชพิธีลำแรกที่สร้างขึ้นในรัชกาลปัจจุบัน
หลังจากแผ่นว่างเว้นการต่อเรือพระที่นั่งในกระบวนเรือพระราชพิธีมาแล้วกว่า 80 ปี
ซึ่งเรือนารายณ์ทรงสุบรรณลำเดิมนั้นสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์มีชื่อว่า "เรือมงคลสุบรรณ" มีหัวเรือเป็นรูปครุฑพ่าห์
แต่ไม่มีพระนารายณ์ทรงประทับ
โดยมีพระราชประสงค์ในการสร้างตามที่ปรากฏความในพระราชพงศาวดารว่าไว้เป็นเกียรติยศสำหรับแผ่นดิน
ซึ่งต่อมาในสมัยรัชกาลที่๔ ได้มีการเสริมรูปพระนารายณ์ประทับยืนบนหลังพญาสุบรรณ
แล้วขนานนามเรือลำใหม่นี้ว่า “เรือนารายณ์ทรงสุบรรณ”
การจัดสร้างเรือนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙ นั้น
เดิมทีกองทัพเรือจะจัดสร้างเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ขึ้นมาอีกลำหนึ่ง
เพื่อเคียงคู่กับเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ลำเดิม แต่นาวาเอก อาวุธ เงินชูกลิ่น
ศิลปินแห่งชาติและอดีตอธิบดีกรมศิลปากรเห็นว่าจะเป็นการไม่สมควรที่จะมีเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ถึง
2 ลำในเวลาเดียวกัน
จึงเสนอว่าควรนำโขนเรือนารายณ์ทรงสุบรรณซึ่งถูกเก็บรักษาอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติมาซ่อมแซม
โดยกองทัพเรือจะเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนที่เป็นโครงสร้างเรือเพื่อทดแทนเรือลำเดิมที่ถูกระเบิดเสียหายไปหมด
ส่วนกรมศิลปากรจะเป็นผู้รับผิดชอบในงานที่เกี่ยวกับศิลปกรรมของเรือทั้งหมด
โดยยึดแบบอย่างเรือนารายณ์ทรงสุบรรณลำเดิมไว้ทุกประการ และยังใช้ชื่อเดิมว่า “เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ”
ต่อมาเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2537
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานนามเรือพระราชพิธีลำใหม่นี้ว่า
“เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙”
และคณะทำงานได้รับพระราชทานแนวทางในการออกแบบเรือลำใหม่ โดยการวิเคราะห์จากชื่อเรือ
ซึ่งมีความหมายว่าในการออกแบบเรือลำใหม่นั้น
คณะทำงานไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลอกแบบเรือลำเดิมทั้งหมด
เนื่องจากเป็นเรือที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่๙
ดังนั้นเรือลำใหม่นี้จึงได้รับการออกแบบขึ้นมาใหม่
แต่ยังคงยึดถือแบบเรือลำเดิมเฉพาะส่วนที่เป็นโขนเรือรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ
ซึ่งทำให้กองทัพเรือและกรมศิลปากรสามารถดำเนินการจัดสร้างเรือพระที่นั่งลำใหม่ได้โดยสะดวกและมีความรวดเร็วขึ้น
การสร้างเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙
ใช้วิธีการของยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นผสมกับเทคนิคการต่อเรือสมัยใหม่
การออกแบบและการคำนวณโครงสร้างใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการทำงาน
การต่อเรือใช้วิธีประกอบโครงสร้างเรือขึ้นจากกงเรือและกระดูกงูเรือ
จานนั้นใช้ไม้แผ่นประกอบเป็นเปลือกเรือแล้วจึงประกอบโขนเรือและส่วนหางท้ายเรือเข้ากับลำตัวเรือ
โขนเรือแกะสลักขึ้นใหม่ตามแบบเดิม แต่มีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย
โครงสร้างโดยทั่วไปเป็นไม้ตะเคียนทอง โขนเรือและส่วนหางท้ายเรือเป็นไม้สักทอง
เรือพระที่นั่งลำใหม่ใช้ความยาวของเรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์เป็นเกณฑ์แต่มีขนาดสั้นกว่าเล็กน้อย
ฝีพายมีจำนวนเท่ากับฝีพายของเรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์
ส่วนลวดลายประดับเรือนั้น
เรือพระที่นั่งลำเดิมเป็นลวดลายดอกพุดตานซึ่งเป็นลายที่นิยมกันมากในสมัยรัชกาลที่ ๓
แต่ลวดลายใหม่เป็นลวดลายที่ออกแบบขึ้นตามแนวคิดที่ได้พัฒนามาจากชื่อเรือนารายณ์ทรงสุบรรณ
รัชกาลที่ ๙ ลวดลายดังกล่าวออกแบบโดย นายนิคม พลเยี่ยม ช่างศิลป์ของกรมศิลปากร
ลายบริเวณหัวเรือมีลักษณะเป็นก้านขดใบเทศ มีครุฑประกอบที่กัวก้านขด
ส่วนท้ายเรือบริเวณแก้มเรือตกแต่งด้วยลดลายก้านขดกนกเปลว
ตอนปลายสุดของท้ายเรือเป็นลายสร้อยหางครุฑ
ลายประดับเรือพระที่นั่งพัฒนาขึ้นมาจากลายก้านขดสมัยอยุธยาผสมผสานกับลักษณะลายแบบสมมาตรของลายไทยสมัยรัตนโกสินทร์
และเนื่องจากเป็นลวดลายที่ได้พัฒนารูปแบบขึ้นมาใหม่
จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นลายไทยสมัยรัชกาลที่ ๙ ซึ่งออกแบบโดยคนร่วมสมัย
และสามารถแสดงเอกลักษณ์ทางศิลปกรรมของเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙
ให้มีความโดดเด่นขึ้น
ในส่วนของบัลลังก์กัญญาเรือนั้น
ลวดลายที่บริเวณพนักบัลลังก์เป็นลายแกะสลักรูปครุฑลงรักปิดทองประดับกระจก
แผงพนักพิงแกะเซาะร่องเป็นลวดลายพรรณพฤกษาลงรักปิดทอง ไม่ประดับกระจก
ส่วนสีของเรือยังคงใช้สีตามแบบเรือพระที่นั่งลำเดิม
หลังคาเป็นผ้าประดับด้วยแผ่นทองแผ่ลวด ผ้าม่านประดับด้วยทองคำแผ่ลวดเช่นเดียวกัน
เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙ เป็นเรือพระที่นั่งกิ่ง
มีฐานะเป็นเรือพระที่นั่งรอง
ทอดบัลลังก์กัญญาเทียบเท่าเรือพระที่นั่งอนันตนาคราชและเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์
โขนเรือจำหลักรูปพระนารายณ์ ๔ กร ทรงเทพศาสตรา อันได้แต่ ตรี คฑา จักร สังข์
ทรงเครื่องภูษิตาภรณ์และมงกุฎยอดชัย ประทับยืนบนหลังพญาครุฑซึ่งกำลังหยุดนาค
โขนเรือแกะสลักจากไม้ลงรักปิดทองประดับกระจก
ลำเรือแกะสลักลงรักปิดทองประดับกระจกโดยตลอด
พื้นเรือสีแดงชาดเช่นเดียวกับสีลำตัวของพญาครุฑ ตัวเรือมีขนาดกว้าง 3.20 เมตร
น้ำหนัก 20 ตัน ฝีพายจำนวน 50 นาย และนายท้าย 2 นาย