เปิดเล เขเรือ ตัวตนคนทะเล
เปิดเล เขเรือ ตัวตนคนทะเล
โดย
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2550
ส่วนหนึ่งของเรือหัวโทงของชาวเลกว่า 300 ลำ ที่ลอยลำรอรับ "เกลอควน"
(เพื่อนที่อยู่ดอน) ลงทะเล ในงาน "เปิดเล เขเรือ" ครั้งที่ 2
'เปิดเล เขเรือ'
กิจกรรมทางวัฒนธรรมของชาวเกาะลันตา
จังหวัดกระบี่ที่เกิดขึ้นเพื่อแสดงถึงการฟื้นตัวหลังเหตุการณ์คลื่นสึนามิ
นอกจากแสดงความพร้อมในการกลับมาดำเนินชีวิตปกติหลังคลื่นร้ายพัดผ่านไป
การแสดงคารวะต่อท้องทะเล ยังต่อเนื่องไปถึงการยืนยันวัฒนธรรมของพวกเขาเหล่าคนทะเล
แม้นวาด กุญชร ณ อยุธยา มีรายงาน
คันท้ายติดเครื่องยนต์เอี้ยวหมุนด้วยแรงโถม เมื่อใบพัดที่หมุนติ้วกลับคืนทะเล
เรือหัวโทงก็บ่ายหน้าหมุนวนไปตามทิศทางที่ 'บังเษม' หรือ เกษม หาญทะเล
คัดท้ายเลี้ยวรอบเทียวทักเรือหัวโทงลำอื่นๆ
ราวกับปลุกปลอบกำลังใจให้เพื่อนชาวประมงนับร้อยฮึกเหิมก่อนออกรบ
ครั้นได้ฤกษ์งามยามเหมาะ
โต๊ะอิหม่ามและโต๊ะหมอทำพิธีขอพรจากพระเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในท้องทะเลบนท่าเรือ
อวยชัยให้เรือหัวโทงเดินหน้าตามความมุ่งมั่น เครื่องยนต์เรือหัวโทงกว่า 300
ลำพร้อมใจคำรามกู่เสียงก้อง
พาเรือและเจ้าของทะยานสู่ท้องทะเลเฉกเช่นที่เป็นมาแต่ดึกดำบรรพ์
เพียงจุดหมายในวันนี้มิได้อยู่ที่แหล่งกุ้งปลา แต่เป็นการ 'เขเรือ'
หรือแล่นเรือรอบเกาะลันตาเพื่อทวงถามถึงสิทธิแห่งเจ้าของบ้านและผู้ดูแลทรัพยากร
เรือแล่นลิ่ว ทิวธงพลิ้วสะบัด เจ้าของเรือทั้งที่เป็นชาวไทยเชื้อสายอูรักลาโว้ย
ไทยมุสลิม และไทยจีนยืนเด่นเป็นสง่า
นี่คือความหลากหลายทางชาติพันธุ์อันเป็นเสน่ห์แห่งการอยู่ร่วมอย่างกลมเกลียวบน 'เกาะลันตา'
จังหวัดกระบี่ แหล่งท่องเที่ยวสุดท้ายในทะเลอันดามันที่กำลังเติบใหญ่
และกำลังถูกหมายปองจากโครงการพัฒนาและการท่องเที่ยวทุกรูปแบบ
สมชาย มุดา หรือ 'บังแหมน'
ยืนมองเรือหัวโทงอยู่หน้าพิพิธภัณฑ์ชุมชนชาวเกาะลันตาที่เพิ่งเปิดตัวได้อย่างสวยงาม
ในใจคงคิดถึงวันที่คลื่นซัดเข้าฝั่ง พัดพาเรือ บ้าน และทำลายทุกสิ่งที่ขวางทาง แต่
6 เดือนที่อาศัยอยู่ในเต็นท์ชั่วคราวในฐานะผู้รอรับบริจาค เรือไม่มีออกทะเล
กลับเป็นเวลาที่พวกเขาได้ทบทวนความหมายและความต้องการของตัวเอง
บังแหมนย้อนเล่าเรื่องราวตอนนั้นว่า หลังจากคลื่นยักษ์พัดผ่านไป แต่ละหมู่บ้านค่อยๆ
ทยอยลุกขึ้นมาช่วยเหลือกันซ่อมบ้านสร้างเรือ กระทั่งชาวประมงได้เรือและเครื่องยนต์
124 ลำกลับคืน บ้านริมทะเลที่เสียหาย 40 หลังซ่อมเสร็จ
บ้านที่ซ่อมไม่ได้ก็สร้างขึ้นใหม่ 54 หลัง
สามารถฟื้นฟูความสามารถในการพึ่งพิงตนเองขึ้นมาใหม่ รองเง็ง-รำมะนาของชาวเกาะกลับมาให้เสียงสดใสกับผู้คนอีกครั้ง
งาน 'เปิดเล เขเรือ ครั้งที่ 1' เมื่อ 8 ธันวาคม 2549 เป็นเวลาที่ชาวหมู่บ้านในนาม
'เครือข่ายชุมชนฟื้นฟูเกาะลันตา' ได้แสดงความขอบคุณความช่วยเหลือจากองค์กร
แหล่งทุนต่างๆ และได้ประกาศตัวอย่างเป็นทางการยืนยันจะสืบสานปรัชญา
แห่งชีวิตที่บรรพบุรุษของพวกเขาเคยใช้
คือการน้อมรับและปรับตัวไปตามธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน
ตรงข้ามฝั่งทะเลที่บังแหมนยืนอยู่คือบ้านเกาะปอของบังเษม เกาะเล็กๆ
ที่อยู่ห่างจากเกาะลันตาใหญ่ประมาณ 10 นาทีโดยเรือหัวโทง
ชาวเกาะได้ร้องขอไฟฟ้าไปเมื่อปี 2538 วันนี้ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึงหมู่บ้าน
แต่ชาวเกาะปอกลับดีใจและไม่อยากได้ไฟฟ้าอีกแล้ว
แบบจำลองเรือปลาจั๊ก ทำจากพลาสติก พิพิธภัณฑ์ชาวเกาะลันตา
เอียด ย่าเหม ผู้ใหญ่บ้านเกาะปอ เกาะเล็กๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะลันตา
เล่าถึงเรื่องนี้ว่า หลังจากปี 2538 เรื่อยมา จนถึงช่วงก่อนวิกฤติหลังสึนามิ
ที่ดินบนเกาะลันตาและเกาะปอถูกนายทุนกว้านซื้อไปเกินกว่าครึ่ง
ในวันนี้ที่เกาะปอแม้จะยังไม่เห็นการปลูกสร้างแปลกปลอมใดๆ ในพื้นที่
แต่ชาวเกาะปอก็เกรงว่าเมื่อหากไฟฟ้าเข้ามาถึงเกาะ
ธุรกิจการท่องเที่ยวก็จะเกิดตามขึ้นมาด้วย
ชาวเกาะปอซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นมุสลิมที่เคร่งครัดจึงเกรงว่าวัฒนธรรมใหม่จากนักท่องเที่ยวต่างแดนอาจจะเข้ามาทำลายศรัทธา
ความเชื่อ และวัฒนธรรมของลูกหลานบนเกาะ
ดังเช่นที่เห็นตัวอย่างมาแล้วในหลายพื้นที่บนเกาะลันตาใหญ่
หลังการทำงานมา 3 ปีเป้าหมายในปัจจุบันของ 'เครือข่ายชุมชนฟื้นฟูเกาะลันตา'
อยู่ที่การฟื้นฟูวัฒนธรรมและความเชื่อของทุกชาติพันธุ์บนเกาะที่ยังดำรงชีวิตมาอย่างเคารพในทรัพยากรและธรรมชาติ
ดังที่ได้ประกาศเจตนารมณ์ในงานเปิดเล เขเรือ ครั้ง 2
ซึ่งจัดขึ้นเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาว่า
“ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาหลังเหตุการณ์สึนามิ
เรายังคงทำงานอย่างจริงจังในการดูแลรักษาป่าชายเลน ด้วยการปลูกเพิ่ม
รักษาพื้นที่ป่าที่มีอยู่เดิมไว้ให้คงสภาพเดิมมากที่สุด
เราออกลาดตระเวนตรวจจับการลักลอบตัดไม้ และสร้างกฎระเบียบชุมชนขึ้นมา
เพื่อให้ชาวชุมชนรู้จักใช้ทรัพยากรอย่างพอดี
ฉลาดที่จะใช้ประโยชน์และรู้จักวิธีดูแลรักษาปกป้องมัน
เรา...เฝ้าระวังปกป้องทะเล ทักท้วงและส่งเสียงร้องบอก อย่าทำร้ายทะเล
เพราะทะเลคือชีวิตของเรา ให้สรรพสัตว์เป็นอาหาร
เพราะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับทะเล
อาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตของครอบครัวและญาติพี่น้องของเราที่วันนี้ยังพึ่งพาอยู่กับทะเล
สิ่งที่เราทำในวันนี้...คือการดูแลและปกป้องสิทธิของธรรมชาติที่ควรให้เขาอยู่อย่างสงบไม่มีใครไปรบกวนเขามากจนเกินไป
เราร่วมกันร่างกฎระเบียบชุมชนบังคับใช้ในหมู่พี่น้องของเราที่ครอบคลุมถึงความร่วมมือ
การประพฤติปฏิบัติให้เป็นไปตามครรลองศาสนาและจารีตวัฒนธรรม
รวมถึงการอนุรักษ์ทะเลและทรัพยากรธรรมชาติ
เราวางแผนการจัดการทรัพยากรในวันนี้เพื่อให้ลูกหลานได้ใช้ในวันข้างหน้า
และรักษาสมดุลของธรรมชาติให้มีวิวัฒนาการไปตามครรลองของธรรมชาติ ...เพื่อประกาศว่าเราพร้อมใจกันที่จะทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์รักษาทะเลและธรรมชาติด้วยชีวิตของเรา
เราขออัลลอักบัร ขออัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่จงคุ้มครองผองเราและลูกหลาน
และขอตั้งจิตสื่อสารถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในทะเลในมหาสมุทรที่เรานับถือ
ช่วยเป็นพยานและสานฝันให้ความมุ่งมั่นตั้งใจของเราจงประสบผล...”
ริ้วขบวนเรือหัวโทงยังคงโต้คลื่นไปข้างหน้า
ใต้ท้องเรือในทะเลแห่งนี้ยังมีปูปลากุ้งหอยให้หากิน
ผ่านแนวยาวของป่าชายเลนที่ชุมชนช่วยกันดูแลฟื้นฟูและจัดรูปแบบการท่องเที่ยวโดยชุมชนเพื่อชุมชนไว้เป็นทางเลือก
บนภูสูงป่าไม้ ต้นน้ำ และสรรพชีวิตได้รับการปกป้องรักษา ป่า เขา ที่ราบ และทะเล
ต่อไปชุมชนจะพัฒนาให้เป็นแหล่งเศรษฐกิจพอเพียงของชุมชนอย่างครบวงจร
“ถามว่าเราแข็งแรงหรือยัง
ตอบได้ว่าเรายังไม่เต็มที่เท่าไหร่เพราะเรายังทำงานหนักอยู่
ชุมชนหลายชุมชนเพิ่งเริ่มปรับตัวมาตั้งรับกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
แต่ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาทำอะไร เราเห็นอนาคตแน่นอนว่าเกาะนี้เราคงอยู่ต่อไปไม่ได้
เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับเกาะท่องเที่ยวอื่นๆ
ที่เกาะกลายเป็นของนายทุนและนักท่องเที่ยวทั้งหมด
มาถึงตอนนี้เราก็ยังบอกอนาคตตัวเองไม่ได้
เราจะอยู่ยังไงก็บอกไม่ถูกเพราะคนนอกมันเยอะ สิ่งที่ทำก็หวังว่าทุกคนจะเห็น
ซึ่งพอเป็นรูปธรรมชุมชนบนเกาะทั้งหมดน่าจะร่วมมือกันได้ดียิ่งขึ้น” ผู้ใหญ่เอียดบอก
เรือแล่นมาถึงชายหาดย่านการท่องเที่ยว
อูรักลาโว้ยบนเรือหลายลำยังมองลึกลงไปใต้ผืนทรายที่บรรพบุรุษของเขาฝังร่างอยู่ 'เปลว'
หรือสุสานบนหาดคลองดาวยังคงเห็นพวงมาลัยประดับให้นักไวโอลินของบ้านในไร่ที่เพิ่งสิ้นลมหลังจากสีไวโอลินก่อนพิธีลอยเรือปาจั๊ก
เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
สมบูรณ์ ช้างน้ำ หรือ 'บังบูรณ์'
ผู้สืบเชื้อสายยิปซีทะเล 'อูรักลาโว้ย' เล่าว่า เมื่อ 500
ปีที่แล้วบรรพบุรุษของเขาตัดสินใจครั้งใหญ่ จอดเรือที่ใช้ต่างบ้าน
อพยพขึ้นมาบุกเบิกอาศัยบนเกาะลันตาเป็นชนกลุ่มแรก
ก่อนมุสลิมและชาวจีนจะตามเข้ามาอยู่อีก 300 ปีให้หลัง
อูรักลาโว้ยมักจะใช้พื้นที่บนชายหาดเป็นที่ฝังศพญาติมิตรเพื่อให้ผู้จากไปได้นอนหลับฟังเสียงคลื่นลมทะเล
คอยอวยพรให้ลูกหลานที่ออกทะเลไปหาปลา
และต้อนรับกลับเมื่อถึงฝั่งอย่างปลอดภัยมาถึงทุกวันนี้
แต่ช่วงสิบปีเรื่อยมาจนถึงหลังสึนามิสุสานบนหาดค่อยๆ กลายเป็นที่มีเอกสารสิทธิ
พื้นที่ทางจิตวิญญาณถูกเบียดบังให้เล็กลงด้วยรั้วรอบของบังกะโล-รีสอร์ท
สุสานหลายพื้นที่ลูกหลานจำต้องขุดร่างบรรพบุรุษทยอยขึ้นไปฝังยังแผ่นดินอื่น
ในขณะที่นักท่องเที่ยวใช้ชีวิตบนเกาะได้อย่างเสรี
แต่ที่อยู่ที่ทำกินของอูรักลาโว้ยผู้บุกเบิกเกาะหาได้มีเอกสารสิทธิยืนยันความเป็นเจ้าของ
ในสายตาของบังบูรณ์
ตลอดแนวชายหาดท่องเที่ยวที่เรือหัวโทงนับร้อยกำลังแล่นผ่านอย่างคึกคักนั้น
อาจเทียบไม่ได้กับความคลาคล่ำของสถานประกอบการท่องเที่ยว
และรูปแบบชีวิตและพฤติกรรมใหม่ๆ ของคนต่างถิ่น
ที่คอยดึงดูดชาวเกาะให้ผกผันวิถีชีวิตจากประมงหรือเกษตรกรรมเข้าสู่ระบบจ้างงานในธุรกิจการท่องเที่ยว
และค่อยๆ กลืนกินกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมให้สูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง
ด้วยจิตวิญญาณแห่งความสงบของทะเลที่ไหลเวียนอยู่ในสายเลือด
บังบูรณ์อดสะท้อนใจไม่ได้เมื่อเห็นนักท่องเที่ยวมองดูพวกเขาอย่างเวทนา
หรือเห็นพิธีกรรมของอูรักลาโว้ยกลายเป็นสินค้าทางการท่องเที่ยว ลูกหลานลืมภาษา
ลืมรากเหง้า และทักษะการพึ่งตนเอง
ในขณะที่จิตใจภายในยังไม่ได้ตั้งรับกับความเปลี่ยนแปลงของสังคม
“เพราะเรายังอยากอยู่กันอย่างสงบ เราต้องไม่กลัว
เราต้องออกไปบอกว่าเราเป็นอูรักลาโว้ย เราอยู่ที่นี่
แล้วก็ไปดูว่าข้างนอกเป็นกันอย่างไร เขาคิดอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง
แล้วเอากลับมาเล่าให้คนในหมู่บ้านฟัง ...อูรักลาโว้ยจะอยู่ได้ก็ต้องมาจากคนอูรักลาโว้ยช่วยกันคิดช่วยกันทำทั้งหมดด้วย”
บังบูรณ์พูด
ในที่สุดไต๋เรือก็นำขบวนหัวโทงวิ่งมาเกือบครบรอบ เมื่อผ่านหมู่บ้านสังกาอู้
หนึ่งในถิ่นฐานของอูรักลาโว้ยบนเกาะลันตา
ศิลปินรองเง็งและนางรำก็คอยท่าเตรียมพร้อมจะบรรเลงบทเพลงแห่งจิตวิญญาณอยู่บนศาลารองเง็ง
- หอชาติพันธุ์ชาวเลที่เพิ่งสร้างแล้วเสร็จ
ปาณัสม์ ชูช่วย ครึ้ม ไชยสาร และวิทิต เติมผลบุญ
ศิลปินผู้รวบรวมและถ่ายทอดเรื่องราวของภูมิปัญญา วิถีชีวิต
ขนบธรรมเนียมประเพณีของอูรักลาโว้ย
บรรยายถึงความสง่างามลึกซึ้งของเอกลักษณ์เฉพาะตัวแห่งชนเผ่าผ่านงานจิตรกรรมและประติมากรรมไว้ราวกับมีชีวิต
เมื่อศาลาแห่งนี้รวมไว้ด้วยอูรักลาโว้ย ชาวบ้าน และผู้ที่มารอชมการแสดงแน่นขนัด
ศิลปินพื้นบ้านและนางรำต่างแสดงความรู้สึกภาคภูมิออกมาทางรอยยิ้มและสายตา
“สวัสดีพี่น้องอูรักลาโว้ย” เหง็ม ทะเลลึก
นักร้องอาวุโสร้องทักบนเวทีด้วยภาษาอูรักลาโว้ย
ก่อนที่นักดนตรีวงรองเง็งแห่งหมู่บ้านสังกาอู้จะวาดลวดลายอันอ่อนหวานไพเราะ
และแฝงจังหวะสนุกสนานบนไวโอลิน-ฆ้อง-กลอง ด้วยวิชาที่สืบทอดมาแต่บรรพกาล
สดับสำเนียงเสียงร้องมลายูและภาษาอูรักลาโว้ยของนักร้องที่เล่าเรื่องราวถึงธรรมชาติและทะเลผสานเครื่องเสียงไปได้ไม่กี่เพลง
นางรำในชุดไทยมุสลิมสีสันฉูดฉาดก็ขึ้นเวทีมาร่ายรำอย่างอ่อนช้อย
ส่วนลูกหลานอูรักลาโว้ยที่มาร่วมชุมนุมก็ลุกขึ้นร่วมร้องรำไปตามทำนอง
มาถึงวันนี้ บังบูรณ์คิดว่าศาลารองเง็ง-หอชาติพันธุ์ชาวเล
ที่ประกอบด้วยศาลบรรพชนในจุดกึ่งกลาง ล้อมรอบด้วยหอลอยเรือ หอปู่ย่าเล หอรองเง็ง
หอชาติพันธุ์ จะเป็นแหล่งเล่าขานประวัติความเป็นมา
และวิถีชีวิตตามปรัชญาการเคารพธรรมชาติของอูรักลาโว้ย
ศาลาต่างๆ จะใช้เป็นโรงเรียนสอนรำมะนารองเง็ง จะมีเด็กๆ สนใจเข้ามาเรียน นักดนตรี-นางรำอาวุโสในหมู่บ้านจะเป็นครูผู้ถ่ายทอดการเล่นดนตรีและฝึกสอนการร่ายรำให้ลูกหลาน
ภาษาอูรักลาโว้ยจะได้รับการสืบทอด อูรักลาโว้ยจะเกิดความภูมิใจ ความเคารพในตนเอง
และได้รับความเคารพจากผู้อื่น
ส่วนวงรองเง็งแห่งบ้านสังกาอู้ที่เคยสีดสีให้จังหวะนางรำมาหลายรุ่นจะขับกล่อมลูกหลานไปอีกนานแสนนาน
บังบูรณ์ยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้มิได้ปิดกั้นนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาเยี่ยมชมแต่อย่างใด
“การฟื้นฟูสอนรองเง็ง หรือสอนภาษาอูรักลาโว้ย เราทำขึ้นเพื่อบอกให้ลูกหลานรู้ว่า
การละเล่นของเราเป็นยังไง นี่แหละเราเตือนสติให้คนข้างหลัง
ให้เด็กจำว่าของเรายังมีแบบนี้ ไม่ใช่มีแต่ไฮเทคที่เห็นกันได้ทั่วไป
ผมไม่ว่านะถ้าใครจะโปรโมท แต่ไม่อยากให้เผยแพร่ให้คนนอกรู้
ผมอยากให้บ้านเรายังเหมือนเดิม ถ้าใครอยากจะมาดูรองเง็งก็ให้มาดูตรงนี้
ไม่ใช่เราทำเพื่อรอให้นักท่องเที่ยวเข้ามา” บังบูรณ์พูด
เสียงไวโอลินฉ่ำหวานยังคงเคล้าคลอบรรยากาศอันรื่นเริง
หากจิตวิญญาณของนักสีไวโอลินแห่งบ้านในไร่ยังสถิตอยู่บนหาดทราย
สายลมคงพาบทเพลงรองเง็งที่บ้านสังกาอู้ไปปลอบประโลม
จากบ้านสังกาอู้มาถึงเวทีใหญ่ในงาน เปิดเล เขเรือ ครั้งที่ 2
นักดนตรีชุดเดิมนางรำคนเดิมก้าวออกสู่สายตาโลกภายนอกอีกครั้ง
เส้นเสียงและท่ารำยังคงพลิ้วไหว ศรัทธา หนูแก้ว แห่งวงอัสลีมาลา
ศิลปินที่เข้ามาคลุกคลีกับเสียงดนตรีรองเง็งบนเกาะลันตามาหลายปีส่งสายตาบ่งบอกถึงการยกย่องอย่างหมดใจ
“นักดนตรีพื้นบ้านเหล่านี้ไม่ใช่ตีเล่นอย่างเดียว มันต้องมีความลึกซึ้งด้วย
รองเง็งเป็นดนตรีของเขาเองจนกลายเป็นเครื่องดนตรีของชนเผ่า
เขาเล่นดนตรีกันมาตามความรู้สึกที่ถ่ายทอดกันมาหลายชั่วคน ใช้เล่นในงานพิธีกรรม
การแก้บน-ลอยเรือมาตลอด ถ้าพูดถึงฝีมือต้องเรียกว่าอยู่ในระดับเทพหรือระดับครู
อย่างพวกผมจะเล่นกันตามโน้ต แต่พวกเขาเล่นตามเสียงที่จำมา
ถ้าร่วมเล่นกับวงเราเขาก็เล่นได้เพราะหลายเพลงที่เขาเล่นมาจากรากเดียวกัน
ถึงเขาจะจำโน้ตได้ไม่หมด เล่นเสียงเพี้ยนบ้าง
แต่เพลงก็ยังเป็นเพลงของเขาเป็นเอกลักษณ์ของเขาเอง”
สำหรับศรัทธา
เขาเชื่อว่าการชูเรื่องรองเง็งของชนเผ่าบนเกาะลันตาจะเป็นทางหนึ่งในการปกป้องเผ่าพันธุ์อูรักลาโว้ยไม่ให้สูญหาย
ส่วนรองเง็งของอูรักลาโว้ยที่เกาะจำ เกาะพีพี เกาะหลีเป๊ะ เกาะอาดัง ราวี
เกาะบุโหลน เกาะสิเหร่ หาดราไวย์ บ้านสะปา จ.ภูเก็ต ก็คือรองเง็งเดียวกัน
มีรากเหมือนกัน ไม่ว่าบทเพลงรองเง็งจะบรรเลงที่ไหนหนใด
ก็ล้วนเป็นเพลงของอูรักลาโว้ยเช่นกัน
“รองเง็งเป็นดนตรีและเพลงที่ทั้งรูปแบบและเนื้อหาเป็นวิญญาณของชนเผ่า
เป็นมหรสพหนึ่งเดียวไม่มีอย่างอื่นที่เป็นตัวของเขาเองมากที่สุด
ดังนั้นรองเง็งคือดนตรีของชาติพันธุ์ของเขา คือจิตวิญญาณแท้ๆ ของเขา
เมื่อไหร่ที่มันแสดงออกมามันก็คือตัวแทนของพวกเขาทั้งหมด”
คืนนี้หลังจากเขเรือกรำแดดมาทั้งวัน ชาวประมง-ชาวเกาะได้ใช้ชีวิตกับความรื่นเริงที่มีมาแต่เก่าก่อน
รองเง็ง รำมะนา กาหยง มโนราห์ สลับผลัดเปลี่ยนกันให้ความสุขแก่ผู้คน
บนใบหน้าของอูรักลาโว้ย มุสลิม จีน ไทยฉายความเอิบอิ่มที่ออกมาจากใจ
บังเษม ยืนยันด้วยรอยยิ้มว่า “งานเปิดเล เขเรือ อยากจะจัดต่อไป
ให้เป็นเทศกาลของชุมชน”
เมื่อเขาแหงนหน้าขึ้นไปมองฟ้ากว้าง พระจันทร์มิได้บดบังแสงดาวระยิบ
บริเวณงานหน้าศาลาว่าการอำเภอเก่าที่ปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์ชุมชนชาวเกาะลันตา
ยังคงกล่าวขานถึงความทรงจำอันงดงามร่วมกันของวิถีชุมชน 4
ชาติพันธุ์ครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่ความพยายามของชุมชนที่ต้องการรักษาอัตลักษณ์ของตนเอง
ความต้องการที่อยากจะอยู่อย่างเจ้าของบ้าน
ความหวังที่จะดำรงทรัพยากรและรักษาวิถีชีวิตที่พึ่งพิงกับธรรมชาติจะคงอยู่ต่อไปได้นานเพียงไร
15 ชุมชนบนเกาะลันตาอาจมิได้เป็นผู้กำหนดชะตาแต่เพียงผู้เดียว