10 สุดยอดภาพจากอวกาศ - เนชันแนล จีโอกราฟิก
10 สุดยอดภาพจากอวกาศ - เนชันแนล จีโอกราฟิก
โดย
ผู้จัดการออนไลน์ วันอังคารที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2551
อวกาศกว้างใหญ่และดวงดาวบนฟ้าไกลเป็นดินแดนแห่งความมหัศจรรย์ที่มนุษย์เฝ้าฝันจะฝ่าฟันเดินทางไปหยั่งรู้พื้นที่ที่ไม่รู้ว่าจบลงตรงไหน
นานมาหลายศตวรรษเท่าที่มนุษย์รู้จักแหงนมองท้องฟ้า
ภาพแสงระยิบระยับล้วนจับตาจับใจไม่น้อย
และเมื่อมนุษย์สามารถประดิษฐ์กล้องส่องทางไกลจนขยายใหญ่ถึงกล้องโทรทัศน์
ภาพดวงดาวที่ไกลโพ้นก็ชัดเจนขึ้นทุกขณะ
ทว่า เมื่อกล้องโทรทรรศน์ได้รับการพัฒนาให้มีความสามารถสูงขึ้น
ถึงขนาดส่องไกลได้ถึงหลายร้อยหลายพันปีแสง และยังออกไปโคจรนอกโลกบันทึกภาพต่างๆ
แทนดวงตาของมวลมนุษยชาติ ภาพจากอวกาศในช่วงหลังๆ จึงได้สวยงามและอัศจรรย์ยิ่งนัก
แม้จะล่วงเลยปี 2550 มาหลายเวลาแล้ว แต่ “ภาพอวกาศ”
ที่ไร้กาลเวลาก็ยังน่าดูอยู่เสมอ ท่ามกลางภาพอวกาศมากมาย เราจึงขอหยิบยก 10 สุดยอด
“ภาพอวกาศ” ที่ความสามารถของมนุษย์จะบันทึกได้มานำเสนอ
โดยเป็นลำดับความนิยมจากเว็บไซต์เนชันแนล กราฟิก นิวส์
ที่ได้ประมวลไว้เมื่อครั้นที่ภาพเหล่านี้เผยแพร่สู่สาธารณชน
1. วาระสุดท้ายของฝาแฝดดวงอาทิตย์
เมื่อกลางเดือน ก.พ.2550 องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา)
ได้เผยภาพดาวฤกษ์ที่ตายแล้ว อยู่ในสภาพ “ดาวแคระขาว”
มีแสงสว่างเป็นจุดอยู่ใกล้ใจกลางเนบิวลา NGC 2440 และที่น่าสนใจคือ
ดาวดังกล่าวมีลักษณะคล้ายดวงอาทิตย์
ดาวฤกษ์ขนาดเล็กและกลางอย่าง “ดวงอาทิตย์” ส่วนใหญ่มีจุดจบเป็น “ดาวแคระขาว”
เมื่อไฮโดรเจนซึ่งเป็นสารประกอบส่วนใหญ่ของดาวเปลี่ยนเป็นฮีเลียม
ดาวดวงนั้นเริ่มกลายเป็นดาวสีแดงยักษ์ และพ่นสิ่งต่างๆ ออกสู่เนบิวลา
จากนั้นก็จะเหลือใจกลางที่ร้อน และเปลี่ยนเป็นดาวแคระขาวไปในที่สุด
ภาพดาวแคระขาวที่บันทึกได้นี้ห่างจากโลกออกไป 4,000 ปีแสง
นับว่าเป็นดาวแคระขาวที่ร้อนที่สุดเท่าที่นักวิทยาศาสตร์เคยบันทึกมา
คือมีอุณหภูมิสูงถึง 200,000 องศาเซลเซียส แสงอัลตราไวโอเล็ต (สีม่วง-ฟ้า)
ที่เห็นตรงใจกลางภาพนั้นคือกลุ่มก๊าซที่พวยพุ่งออกมาจากใจกลางของดวงดาว
ดวงอาทิตย์ของเราก็จะมีชะตากรรมเหมือนดาวดวงนี้ แต่ยังไม่เกิดขึ้นภายใน 5
พันล้านปีนี้แน่นอน
(เครดิตภาพ NASA/ESA)
2.
วัตถุประหลาดวนรอบดาว
ภาพวัตถุประหลาดมวลเท่าดาวเคราะห์โคจรรอบดาวนิวตรอน ในเดือน ก.ย.50
นับเป็นเทห์วัตถุที่แปลกสุดๆ เท่าที่นักดาราศาสตร์เคยพบเห็น
แทนที่วัตถุชิ้นนี้จะโคจรรอบดาวฤกษ์ธรรมดาทั่วไป
แต่กลับโคจรรอบดาวพัลซาร์หรือนิวตรอนอย่างรวดเร็ว
ดาวนิวตรอนหมุนรอบตัวเองร้อยกว่ารอบใน 1 วินาที เร็วกว่าเครื่องปั่นในครัวเสียอีก
ปกติแล้วดาวชนิดนี้ก็จะหมุนช้าลงตามอายุ
แต่ดูเหมือนว่าวัตถุประหลาดจะช่วยส่งพลังให้ดาวดวงนี้เพิ่มความเร็วขึ้นไปอีก
จากภาพจะเห็นมวลหมู่แก๊สผุดออกมาในลักษณะที่ไม่เสถียร
วัตถุมวลประหลาดนี้ห่างจากดาวที่มันโคจรรอบๆ ประมาณ 370,149 กิโลเมตร
ใกล้กว่าโลกกับดวงจันทร์ และสามารถสังเกตเหตุการณ์นี้ได้จากโลก
นักดาราศาสตร์คาดว่าระบบวัตถุประหลาดโคจรรอบดาวนิวตรอนนี้เกิดขึ้นจากดาวฤกษ์ 2
ดวงเมื่อหลายพันล้านปีก่อน และแม้ว่าดาวฤกษ์ดวงใหญ่จะกลายเป็นซูเปอร์โนวาไป
แต่ก็ยังซ่อนอยู่เบื้องหลังดาวนิวตรอน
ส่วนดาวดวงเล็กกว่าก็ขยายตัวกลายเป็นดาวยักษ์แดง
แต่ยังไม่มีใครระบุได้แน่ชัดว่าดาวดวงเล็กจะมีอายุยืนยาวไปถึงเมื่อใด
(ภาพ Aurore Simmonet/Sonoma State University)
3.
ร่องรอยแห่งน้ำจากดาวอังคาร
ภาพจากดาวเทียมที่โคจรรอบดาวอังคารเผยให้เห็นว่าครั้งหนึ่งเคยมีน้ำไหลผ่านอยู่บนชั้นหิน
ซึ่งปรากฎรายงานผลการศึกษาในวารสารวิทยาศาสตร์เมื่อเดือน ก.พ.50
โดยรอยแยกที่ชั้นหินเหนือหลุมเบคเกอเรลทำให้เห็นชั้นหินสีสว่างและเข้ม
และเมื่อใช้กล้องความละเอียดสูงจากยานสำรวจดาวอังคารบันทึกสู่โลก
นักวิทยาศาสตร์ก็ตื่นตะลึงเมื่อผลวิเคราะห์ออกมาว่า
ที่รอยแยกดังกล่าวมีน้ำซึมอยู่ก่อนหน้า
และน่าจะมีความหวังว่าหากขุดเข้าไปในพื้นผิวของดาวแดง น่าจะพบแหล่งน้ำอย่างแน่นอน
(ภาพ Science)
4.
เนบิวลาบิดเกลียว
ฝุ่นผงจากดาวหางรายล้อมดาวฤกษ์ให้ดูเหมือนดวงตาในใจกลางเนบิวลารูปหอย (Helix
nebula) อันห่างไกล ภาพนี้บันทึกจากกล้องโทรทัศน์อวกาศสปิตเซอร์ของนาซา
และเปิดเผยสู่สาธารณชนเมื่อวันที่ 12 ก.พ.50 เนบิวลานี้ห่างจากโลก 700 ปีแสง
ประกอบด้วยดาวฤกษ์ที่มีลักษณะเหมือนดวงอาทิตย์แต่ดายไปแล้ว
กลายเป็นดาวแคระขาวสีสันหลากหลาย
ยังมีเนบิวลาที่มีลักษณะใกล้เคียงกันเช่นนี้มากมายในกาแลกซีทางช้างเผือกที่พวกเราอาศัยอยู่
แต่เนบิวลารูปหอยเป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงให้เห็นหลักฐานถึงการรอดชีวิตในจักรวาล
ก่อนที่ดาวจะหมดอายุขัย ดาวหางก็โคจรผ่านเข้ามาสู่ระบบพอดี
ขณะที่ดาวดายลงก็ขยายตัวออก เกิดมวลปะทะกัน
ฝุ่นผงจากทั้งคู่ดันเข้าหากันและหมุนวนรอบดาวแคระขาว
อันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ทิ้งไว้หลังดาวฤกษ์สูญสลาย
(ภาพ NASA/JPL-Caltech/University of Arizona)
5.
ดาวแม่เหล็กระเบิด
ภาพจำลองเทห์วัตถุอวกาศที่พบได้ยากยิ่ง “ดาวแม่เหล็ก”
ขณะกำลังระเบิดและปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปรังสีเอ็กซ์
ดาวดวงนี้ห่างจากกลุ่มดาวคนยิงธนูประมาณ 15,000 ปีแสง
เป็นดาวนิวตรอนหมุนเร็วขนาดเล็ก
และก่อนหน้าการระเบิดปลดปล่อยรังสีเอ็กซ์ออกมาเป็นจำนวนมาก
ดาวแม่เหล็กดวงนี้มีความกว้างเพียงแค่ 15 กิโลเมตร แต่มีมวลมากพอๆ กับดวงอาทิตย์
ซึ่งองค์การอวกาศยุโรป (อีซา)
ผู้นำในการศึกษาครั้งนี้พบว่าดาวดังกล่าวมีสนามแม่เหล็กรุนแรงมากเป็นอันดับต้นๆ
ในจักรวาล สูงมากกว่า 600 ล้านล้านล้านเท่าของสนามแม่เหล็กโลก
(ภาพ NASA/Swift/Sonoma State University/A. Simonnet)
6.
มนุษย์ต่างดาวอาจจะแปลกประหลาดกว่าที่คิด
นี่เป็นภาพจำลองการลงจอดของยานแหย่ (โพรบ) ฮอยเกนของนาซาและอีซา
ที่ตกลงท่ามกลางทะเลสาบมีเทนของ “ไททัน” บริวารแห่งดาวเสาร์
และจากการจมจ่อมอยู่ในของเหลวแบบนั้น
ทำให้ทางภาคพื้นดินได้รับข้อมูลว่าสิ่งมีชีวิตนอกโลกอาจจะแปลกประหลาดไปจากที่เคยคาดการณ์กันไว้
นักวิทยาศาสตร์มีข้อมูลส่วนหนึ่งที่จะพิจาณาถึงคำจำกัดความของ “ชีวิต”
ในอีกรูปแบบหนึ่งที่แตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างสิ้นเชิง ที่โลกเราพึ่งพา “คาร์บอน”
เป็นองค์ประกอบสำคัญ แต่ชีวิตที่ต่างดาวที่ได้รับข้อมูลจากไททันนั้น
น่าจะมีความแปลกประหลาดอย่างยิ่ง และที่สำคัญสามารถดำรงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สุดขั้ว
อย่างทะเลกรดได้
(ภาพ : Gregor Kervina, courtesy NASA/JPL)
7.
ซูเปอร์โนวาทำลาย “หอคอยฝุ่น”
“พิลลาร์ส ออฟ ครีเอชัน” (Pillars of Creation) หรือ “แท่งฝุ่นแห่งการสร้าง”
ซึ่งเป็นกลุ่มก๊าซรูปแท่งขนาดใหญ่ที่เป็นหน่ออ่อนสำหรับการอนุบาลดาวฤกษ์รุ่นใหม่
ในเนบิวลานกอินทรี ซึ่งนักดาราศาสตร์ได้คาดการณ์มานับพันๆ ปีแล้วว่าพิลลาร์ ออฟ
ครีเอชันจะถูกทำลายด้วยแรงระเบิดของซูเปอร์โนวาจากมรณกรรมของดาวฤกษ์ยักษ์ในบริเวณใกล้เคียง
ในช่วงเดือน ม.ค.2550
แท่งที่อัดแน่นไปด้วยฝุ่นก๊าซแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของการก่อกำเนิดดาวใหม่
กลายเป็นภาพสำคัญเมื่อฮับเบิลบันทึกได้ในปี 2538
โดยส่วนที่หนาแน่นที่สุดนั้นถูกคลื่นกระแทกจากซูเปอร์โนวาตั้งแต่ 6 พันปีก่อน
ซึ่งกว่าที่เราจะได้เห็นภาพเนบิวลาที่ถูกทำลายแล้วนั้นก็ต้องย้อนไปถึง 7
พันปีแสงอันเป็นระยะทางที่เนบิวลาดังกล่าวห่างจากโลก
ภาพในย่านแสงอินฟราเรดจากกล้องสปิตเซอร์แสดงให้เห็นในส่วนสีแดงว่าเนบิวลานกอินทรีนั้นร้อน
และขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ซึ่งพื้นที่ที่เปลี่ยนแปลงในส่วนนี้ถูกกระตุ้นจากพลังของซูเปอร์โนวา
ทำให้หอคอยดังกล่าวซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ที่ถูกอิทธิไม่สามารถทนทานต่อสภาพดังกล่าวได้จึงเกิดการสลายไปในที่สุด
อย่างไรก็ดี การระเบิดของหอคอยแหล่งกำเนิดแห่งดวงดาวก็หาใช่ข่าวร้ายซะทีเดียว
ซึ่งนักดาราศาสตร์เชื่อว่าคลื่นกระแทกของซูเปอร์โนวาจะเป็นเชื้อไฟทำให้เกิดดาวใหม่ท่ามกลางกลุ่มควันที่คลื่นย่างกรายไปถึง
(ภาพ NASA/JPL-Caltech/Institut d’Astrophysique Spatiale)
8.
ระบบสุริยะเป็นรูป “กระสุน”
ภาพกราฟิกแสดงให้เห็นถึงระบบสุริยจักรวาล ที่เต็มไปด้วยอนุภาคที่อัดเกาะกันไว้ (สีเหลือง)
ขณะกำลังผ่านเข้าสู่สนามแม่เหล็กระหว่างดวงดาวของกาแลกซีทางช้างเผือก (แนวเส้นสีน้ำตาล)
ซึ่งภาพจำลองนี้เป็นผลมาจากการค้นพบครั้งใหม่โดยข้อมูลจากยานวอยเอเจอร์ที่เดินทางท่องอวกาศมาเกือบ
30 ปีว่า ภาพของระบบสุริยะนั้นมีลักษณะเป็นวงรีหรือกระสุน
(ภาพ Opher et al., 2007/Science)
9.ลำแสงแห่งดาวพฤหัส
แสงสีม่วงที่ปรากฏตรงขั้วเหนือและใต้ของดาวพฤหัสที่เห็นในภาพนี้บันทึกในย่านรังสีเอ็กซ์
โดยกล้องโทรทัศน์จันทรา ขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา)
และผนวกเข้ากับภาพในคลื่นแสงที่ตามองเห็นจากกล้องฮับเบิล
นับเป็นภาพที่ได้รับความสนใจไม่น้อย
ลำแสงดังกล่าวสร้างความประหลาดใจให้แก่นักวิทยาศาสตร์ไม่น้อยว่ามีแสงที่ขั้วออกมาได้อย่างไร
ทั้งที่ดาวเคราะห์ดวงใหญ่สุดแห่งระบบสุริยะ
มีการเปลี่ยนขั้วแม่เหล็กอย่างรวดเร็วและรุนแรงทุกๆ 10 ชั่วโมง
สร้างแรงดันไฟฟ้าได้ถึง 10 ล้านโวลต์ที่รอบๆ ขั้วทั้ง 2
ทั้งนี้การโยกไปมาของดาวพฤหัส เกิดจากการกระตุ้นของอนุภาคภูเขาไฟจากดวงจันทร์ไอโอ
ซึ่งดูเหมือนการแสดงที่ไม่มีวันจบสิ้น
ความเชื่อมโยงระหว่างอุภาคภูเขาไฟที่ได้รับจากจันทร์บริวารดวงเล็กๆ
ถึงกับมีผลต่อขั้วของดาวเคราะห์อย่างพฤหัสเลยหรือ...นี่คือปริศนาที่นักวิทยาศาสตร์ยังงุนงงอยู่
(ภาพ NASA)
10. ดาวหาง “แมกนอต”
สุกสว่างเหนือท้องฟ้าซีกโลกใต้
การเดินทางมาเยือนโลกของดาวหางแมกนอต เมื่อต้นปี 2550 ที่ผ่านมา
นับเป็นช่วงที่ดาวหางดวงนี้สว่างสุกใสที่สุดในรอบ 40 ปี
ซึ่งสว่างมากจนสามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า
แม้ในยามที่ดาวหางปรากฏใกล้กับช่วงพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าก็ยังมองได้อย่างชัดเจน
โรเบิร์ต แมกนอต นักดาราศาสตร์ชาวออสเตรเลียเป็นผู้ค้นพบดาวหางที่สุกสว่างนี้
เป็นครั้งแรกเมื่อเดือน ส.ค.ปี 2549 ในรัฐนิวเซาธ์เวลส์ ออสเตรเลีย
แต่น่าเสียดายที่ดาวหางดวงนี้สังเกตได้เฉพาะจากท้องฟ้าทางซีกโลกใต้
ซึ่งภาพที่บันทึกได้นี้ เป็นดาวหางแมกนอตที่มีความกว้าง 10 กิโลเมตร
กำลังพุ่งดิ่งเหมือนกำลังตกลงมาจากท้องฟ้าด้วยความเร็วประมาณ 100 กิโลเมตรต่อวินาที
เหนือพื้นที่เมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ ห่างจากโลกออกไป 120 ล้านกิโลเมตร
(ภาพ Simon Baker/Reuters)