มองผ่านเลนส์ ... โลกใต้น้ำ กับนัท สุมนเตมีย์
มองผ่านเลนส์ ... โลกใต้น้ำ กับ ‘ นัท สุมนเตมีย์ ’
โดย
ผู้จัดการรายสัปดาห์ วันที่ 28 มกราคม 2551
เรื่อง: อรพรรณ สกุลเลิศผาสุข
ภาพ: นัท สุมนเตมีย์
- เปิดประสบการณ์ไม่ต่ำกว่า 10 ปีกับนักเล่าเรื่องใต้ท้องทะเลผ่านภาพนิ่ง
- “1 ใน 55 ช่างภาพโลก” บันทึกความงามทะเลไทยลง “Thailand : 9 Days in the
Kingdom”
- กับเส้นทางอาชีพกว่าจะถึงฝั่งฝันในวัยเยาว์
ชี้รายได้ไม่คุ้มค่าแม้ผลงานเทียบชั้นต่างประเทศ
- เคาะ “3 หนทาง” เด็กใหม่ก้าวสู่อาชีพ “ดำน้ำเก่ง-รู้จักรอคอย-ศึกษาข้อมูล”
หากความงามใต้ท้องทะเลมีเพียงแค่ “นักดำน้ำ”
ดูจะเป็นการตัดโอกาสสำหรับผู้ที่ดำน้ำไม่เป็น
“ช่างภาพใต้น้ำ”
เป็นอาชีพหนึ่งที่ทำให้คนรู้ว่าโลกใต้ทะเลมีความงดงามมากเพียงใด
“Smart job” จะถ่ายทอดเรื่องราวของ “ช่างภาพใต้น้ำ”
จากภาพนิ่งที่บรรยายถึงความงามสู่ตัวอักษรที่พร้อมเล่า วิถีชีวิต ขั้นตอนการทำงาน
เส้นทางอาชีพ กว่าจะมาถึงฝั่งการเป็นมืออาชีพที่ช่างภาพระดับโลกยอมรับ พร้อมแนะ 3
ทักษะที่ช่างภาพใต้น้ำควรมี
จากความชอบสู่อาชีพ
“นัท สุมนเตมีย์” เริ่มอาชีพการเป็นนักเล่าเรื่องใต้ท้องทะเล
หรือช่างภาพใต้น้ำ จากการที่เคยดำน้ำมาตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อเป็นนักดำน้ำ
หลังจากนั้น เคยมีโอกาสได้มาฝึกงานที่อนุสาร อ.ส.ท. 3 เดือน
ซึ่งจังหวะที่เขาเข้ามาเป็นช่วงที่หนังสือกำลังโปรโมทการดำน้ำเป็นการท่องเที่ยวประเภทใหม่
เขา บอกว่า ก่อนหน้ากระแสความนิยมดำน้ำในไทยเป็นที่รู้จักแค่กลุ่มคนเล็กๆ เท่านั้น
อย่างนักธุรกิจ หรือคนที่เรียนจบจากต่างประเทศ
แต่ขณะนั้นกำลังจะโปรโมทให้กระแสความนิยมดำน้ำมีวงกว้างขึ้น
ปัจจุบัน “นัท” ไม่ได้ทำงานกับ อ.ส.ท.แล้ว แต่ทำให้กับหนังสือ “Nature Explorer
” และยังเป็น 1 ใน 55 ช่างภาพทั่วโลก หรือ 1 ใน 11 ช่างภาพไทย
ที่มีโอกาสได้ถ่ายภาพลงหนังสือภาพถ่าย “ไทยแลนด์ ไนน์ เดย์ อิน เดอะ คิงดอม”
(Thailand : 9 Days in the Kingdom)
ซึ่งเป็นการให้ช่างภาพจากทั่วโลกมาบันทึกภาพเมืองไทยในเวลา 9 วัน
เพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ
80 พรรษา
เหตุที่เขาตอบตกลงร่วมงานนี้โดยไม่คิดมาก เพราะสมัยที่เป็นเด็กเคยเห็นหนังสือ
“Thailand : 7 Days in the Kingdom” แล้วฝันไว้ว่า สักวันหนึ่งอยากได้ทำงานแบบนี้
และครั้งนี้เป็นโอกาสของเขา ที่ได้มีโอกาสถ่ายทอดภาพในมุมที่ถนัด คือ ภาพโลกใต้น้ำ
ชีวิตสรรพสัตว์ ธรรมชาติความงามของท้องทะเลไทย
ในอันดามันเพื่อให้ชาวโลกได้รู้ว่าหลังจากเมืองไทยผ่านเหตุการณ์สึนามิมาแล้ว
ใต้ท้องทะเลก็ยังมีธรรมชาติของแนวปะการัง
และสัตว์น้ำใต้ทะเลที่ยังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่
โดย “นัท” ยังรู้สึกดีที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับมืออาชีพ ได้เห็นการทำงานที่เป็นสากล
และเห็นว่างานที่ทำทุกวันนี้ได้ค่าตอบแทนไม่คุ้มค่า เพราะเขาทำงาน 9
วันได้ค่าตอบแทน 100,000 บาทเป็นระดับเดียวกับช่างภาพต่างประเทศ
ซึ่งจากนี้เขาจะรับงานจำกัด
เพราะใครก็ตามที่ต้องการจ้างต้องจ่ายค่าตอบแทนให้เหมาะสม
แม้ว่าหลายคนอาจจะมองว่าสูงเกินไป แต่สำหรับเขาถือว่าเป็นรายได้ปกติ
เพราะไม่ได้ถ่ายรูปทุกวัน และผลงานก็เป็นที่ยอมรับของช่างภาพระดับโลกด้วย
ไขขั้นตอนสร้างภาพ
ถ้าถามถึงขั้นตอนในการทำงานเป็นช่างภาพใต้น้ำ “นัท” เล่าว่า
ปกติหนังสือจะมีการประชุมประจำปีก่อน เพื่อทราบว่าแต่ละเดือนทำธีมใด
เมื่อถึงเดือนก็จะมาประชุมอีกทีว่าควรจะมอบหมายให้นักเขียน หรือช่างภาพคนใดทำ
การจะได้งานใดขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคน แต่สำหรับเขาจะได้รับมอบหมายให้ “ถ่ายภาพใต้น้ำ”
จนกลายเป็นงานหลัก
บางครั้งเขามีโอกาสเดินทางไปที่ใด ก็จะเก็บภาพและเรื่องราวกลับ
เพราะสำหรับเขาการเที่ยวกับงานแยกกันไม่ออก
ทุกครั้งที่ลงไปดำน้ำไม่เคยลงไปโดยไม่มีกล้อง
ซึ่งแหล่งดำน้ำบางแห่งขายเรื่องราวได้แค่ครั้งเดียว แต่บางแหล่งก็ได้หลายครั้ง
โดยก่อนที่จะออกเดินทางไปทำงาน เขาจะหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ไป ซึ่งอินเทอร์เน็ท
คือ อุปกรณ์สำคัญแม้ว่าจะเชื่อถือได้บางส่วนก็ตาม ข้อมูลที่ต้องหา คือ
ข้อมูลพื้นฐาน อย่าง เดือนที่จะเดินทางสภาพอากาศเป็นแบบใด เพื่อเตรียมความพร้อม
ส่วนระยะเวลาในการทำงานจะใช้เวลาไม่นาน 4-5 วัน หากถามว่าเวลาแค่นี้เพียงพอหรือไม่
เขา บอกว่า เวลายิ่งมากยิ่งได้งานดี
การทำงานสองวันกับเดือนหนึ่งผลงานต่างกันอยู่แล้ว
นอกจากว่าบังเอิญไปสองวันแรกแล้วได้งานดีเลย
สำหรับความแตกต่างของช่างภาพใต้น้ำทั่วไปกับถ่ายสำรวจ “นัท” บอกว่า ต่างกัน
เขายกตัวอย่างเช่นการถ่ายสำรวจเรือจ่มต้องถ่ายให้เห็นภาพรวมของเรือ
และจุดที่สามารถจะผูกใช้สายโยงเกี่ยวเรือขึ้นมา
แต่ถ้าถ่ายแบบทั่วไปก็จะถ่ายให้เห็นความสำคัญ เรื่องราว ของเรือจ่ม
มือสมัครเล่นดึงงานมืออาชีพ
“นัท” ได้เล่าถึงการแข่งขันในอาชีพว่า ช่างภาพทุกประเภทมีการแข่งขันที่สูง อย่าง
คนเดินมา 10 คน เป็นช่างภาพไปแล้ว 8 คน เพราะนักดำน้ำบางคนก็ถ่ายรูปได้ดี
ในขณะที่ปริมาณงานไม่ได้มีมากจนถึงขั้นขาดแคลน
“แต่การจะมาทำเป็นอาชีพผมพิสูจน์แล้วยากในการจะดำรงชีวิตอยู่ได้
เพราะรายได้น้อยมากๆ หากเทียบกับหลายอาชีพอื่น
อาชีพนี้ในไทยต่อเรื่องได้หมื่นกว่าบาทก็หรูแล้ว
อย่างผมรายได้ในการเขียนเรื่องไม่เกิน 15,000 บาท แต่ผมยังมีรายได้จากส่วนอื่น
คือขายภาพสต๊อกเพื่อใช้ในงานโฆษณา”
ด้วยความที่ช่างภาพมือสมัครเล่นมีปริมาณมากขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อช่างภาพอาชีพ
แต่สำหรับเขาไม่ได้มีผลกระทบโดยตรงแต่เป็นทางอ้อม
เพราะถ้าองค์กรธุรกิจใดต้องการงานของเขาไปใช้นั้นหมายความว่าองค์กรนั้นต้องการภาพที่ดีที่สุดไปใช้งาน
แต่บางครั้งองค์กรธุรกิจก็มองข้ามเรื่องสถาบันอาชีพไป
อย่างเช่นต้องการภาพสำหรับทำปฎิทินก็ไม่นำภาพของช่างภาพมืออาชีพไปลง
แต่นำของช่างภาพมือสมัครเล่นซึ่งคนกลุ่มนี้เขาต้องการให้ภาพของตัวเองได้ตีพิมพ์อยู่แล้ว
หรือบางครั้งช่างภาพสมัครก็เข้ามาตัดราคามืออาชีพ
ทำให้ขณะนี้อาชีพช่างภาพทั่วโลกกำลังถูกคลุกคามจากองค์กรธุรกิจที่ไม่ได้มองการถ่ายภาพเป็นวิชาชีพ
“ผมมองเรื่องของวิชาชีพคนทำงานเป็นหลัก
มีคนถามทำไมไม่รวมเล่มพ็อคเกตบุ๊ค เพราะผมไม่พอใจระบบ 10% ที่ให้นักเขียน คือ
กระดาษที่มาพิมพ์เป็นหนังสือจะไม่มีประโยชน์เลยถ้าไม่ผ่านหัวสมองของนักเขียนแต่นักเขียนได้แค่
10% หรือเคยมีหลายบริษัทมาขอรูปไปใช้แล้วจะลงเครดิตให้ผม ผมก็จะตอบอย่างง่ายๆ
ว่าถ้าให้คุณออกแบบนิทรรศการให้แล้วผมจะลงเครดิตให้คุณจะพอใจหรือเปล่า
คนทุกคนทำงานก็ต้องมีรายได้เลี้ยงตัวเองเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้”
ส่วนอุปสรรคการทำงาน “นัท” บอกว่า ภูมิอากาศ อย่าง คลื่นลม
เพราะวันใดที่ออกทะเลและเจอคลื่นแรงๆ จะเหนื่อยเป็นพิเศษ
บางครั้งไปสายการบินต้นทุนต่ำถ้าเอาอุปกรณ์ไปมากก็จะต้องโดนชาร์จค่าขนส่ง
ด้านความประทับใจในการทำงานเกิดขึ้นตลอดเวลา เพราะมีโอกาสได้ไปในที่ต่างๆ
ที่คนอื่นไม่ได้ไป ได้เห็นโลกกว้างที่มากกว่ากรุงเทพฯ
“ผมไม่เคยไปปารีส ลอนดอน นิวยอร์ค ผมเคยไปประเทศแปลกๆ อย่าง ปาปัวนิวกินี
เกาะกาลาปากอซ ได้มีเพื่อนอยู่ทุกมุมโลก”
แนะช่องทางเข้าวงการ
“นัท” ยังได้บอกหนทางการเข้าสู่อาชีพ ว่า
หากต้องการเริ่มต้นทำอาชีพนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะค่าใช้จ่ายในการเดินทางค่อนข้างสูง อย่าง สิมิลัน ทริปละ 20,000 บาท
ต่อการเดินทาง 4 วัน แต่สำหรับเขาต้นทุนการเริ่มอาชีพดีอยู่แล้ว
เนื่องจากรู้จักคนมากบางครั้งมีทริปจัดขึ้นมามีที่ว่างก็จะชวนเขาไปด้วย
แต่หากใครต้องการเข้าสู่เส้นทางอาชีพควรยึดหลัก 3 ประการ คือ
1.มีทักษะดำน้ำที่ดี
2.รู้จักการรอคอย และสร้างความไว้วางใจให้กับสัตว์
3.ต้องศึกษาให้รู้จักสิ่งที่จะถ่ายอย่างถี่ถ้วน
“ผมว่าทุกอาชีพควรจะรักงานที่ตัวเองทำ ถ้าไม่รักหรือคิดว่าไม่ใช่ไม่ควรทำ
ผมรู้แต่ว่าการเกิดเป็นคนได้ทำอะไรที่รักเป็นสิ่งที่วิเศษสุด
ผมเคยขึ้นรถไฟตู้นอนกลับจากตรังเจอพนักงานปูเตียงคนหนึ่งเขามีความสุขกับการปูเตียงให้กับผู้โดยสาร
ผมคิดว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งพิเศษที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้
โดยไม่ต้องรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ด้วยซ้ำ”