เขาคนนั้นคือ John Martin จิตรกรชาวเมืองผู้ดี ผู้เป็นผู้ให้กำเนิดภาพวาดสีน้ำมัน
The End of the World หรือแปลเป็นไทยง่ายๆ ว่า วันโลกาพินาศ
เขาได้แรงบันดาลใจมาจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของมหานครลอนดอน
และการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ซึ่งความเจริญนี้ได้ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพแก่ธรรมชาติที่เคยอยู่คู่โลกมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล
เขาสื่อออกมาเป็นภาพโทนสีถมึงทึงหม่นหมองสยองขวัญ
มันคือภาพการสิ้นสุดของโลกที่มนุษย์สร้างขึ้น
ทุกสิ่งถูกทำลายล้างโดยน้ำมือภัยธรรมชาติ ในภาพมีพายุ ฟ้าผ่า โหมกระหน่ำ
ภูเขาไฟระเบิด ลาวาพวยพุ่ง แผ่นดินไหวสะเทือน ปฐพีแยกออกจากกัน
คลื่นยักษ์กลืนกินผู้คนทั้งเป็น
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติประเทศอังกฤษวิเคราะห์ว่า ภาพวาดของ John Martin ภาพนี้
สะท้อนเรื่องราวของจุดจบของโลก จาก Revelation 6
ในพระคัมภีร์ไบเบิล
ที่กล่าวถึงแผ่นดินไหวครั้งยิ่งใหญ่ เปลี่ยนดวงอาทิตย์เป็นสีดำ
พระจันทร์เป็นสีเลือด ดวงดาวร่วงลงสู่พื้นดิน ลมพัดกระหน่ำจนแม้ต้นไม้ใหญ่ก็ยืนหยัด
นอกจากภาพจะหลอนแล้ว ประวัติของมันก็น่ากลัวไม่แพ้กัน
เพราะนี่คืองานชิ้นสุดท้ายในชีวิตของผู้วาด
เขามีความคิดที่จะเขียนภาพสามภาพเกี่ยวกับจุดจบของโลกทั้งหมด
ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือภาพ The End of the World นี่เอง แต่แล้วในวันที่ 12 พฤศจิกายน
ค.ศ.1853 อยู่ๆ เขาก็เป็นอัมพาต
มันร้ายแรงขนาดเขาไม่สามารถใช้แขนขวาหรือพูดได้อีกต่อไป หลังจากทรมานอยู่ระยะหนึ่ง
ในที่สุดเขาก็สิ้นลมลงในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1854
เป็นเหตุให้รูปทั้งสามภาพสุดท้ายของเขากลายเป็นรูปที่เขียนยังไม่เสร็จไป
เมื่อเขาจากไป ภาพของเขาได้ถูกนำไปแสดงตามเมืองสำคัญต่างๆ ในอังกฤษ
แม้ผู้คนจะให้การตอบรับเป็นอย่างดี แต่ Royal Academy of Art
พิพิธภัณฑ์ศิลปะเก่าแก่และยิ่งใหญ่แห่งกรุงลอนดอน กลับไม่ยอมรับงานของ John Martin
ไปจัดแสดง ด้วยเหตุผลว่าเป็นภาพที่ไม่เหมาะสม จนในที่สุด Tate Gallery แห่ง
National Gallery of British Arts เห็นความสำคัญ
และซื้อไปจัดแสดงเป็นการถาวรจนถึงทุกวันนี้
หาก John Martin ยังมีชีวิตอยู่ในวันนี้ เขาคงจะได้รับข่าวสารถึงภัยพิบัติต่างๆ
ที่เกิดขึ้นจริงทั่วโลก ซึ่งไม่ได้ต่างไปจากในภาพวาดของเขาเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว