1 ใน 3 ของปะการังใกล้สูญพันธุ์
1 ใน 3 ของปะการังใกล้สูญพันธุ์
โดย
มติชน วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
ปีที่ 31 ฉบับที่ 11088
คอลัมน์ โลกสามมิติ
โดย บัณฑิต คงอินทร์ bandish.k@psu.ac.th
1 ใน
3 ของปะการังที่สร้างแนวปะการังกำลังถูกคุกคามจนเผชิญกับภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
จากการประเมินของทีมผู้เชี่ยวชาญปะการังร่วมกับองค์กรอนุรักษ์หลายองค์กรเพื่อกำหนดสถานภาพของปะการังแต่ละสปีชีส์เพื่อการอนุรักษ์
รายงานการศึกษาที่ชื่อว่า One-third Of Reef-building Corals Face Extinction
ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Science ชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงของอากาศ การพัฒนาชายฝั่ง
การจับปลาที่มากเกินไป และมลภาวะเป็นภัยคุกคามหลักต่อปะการัง
ปะการัง Floreana หนึ่งในปะการังที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ สูงมากที่สุด
รายงานฉบับนี้ระบุว่าปะการังที่สร้างแนวปะการังเป็นกลุ่มสัตว์ที่ถูกคุกคามมากกว่ากลุ่มสัตว์ที่อาศัยอยู่บนบกทุกชนิด
ยกเว้นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเท่านั้น
ก่อนปี 1998 มีปะการังที่สร้างแนวปะการังเพียง 13 สปีชีส์เท่านั้นที่อยู่ในสภาวะถูกคุกคามจนเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์จากจำนวนที่ถูกประเมินทั้งสิ้น
704 สปีชีส์ ทว่าปัจจุบันมีมากถึง 231 สปีชีส์
โดยแบ่งออกเป็นสถานภาพเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์สูงมากที่สุด (Critically endangered)
จำนวน 5 สปีชีส์ เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์สูงมาก (Endangered) จำนวน 25 สปีชีส์
และเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์สูง (Vulnerable) จำนวน 201สปีชีส์
นอกจากนั้นยังมีปะการังที่อยู่ในภาวะใกล้ถูกคุกคาม (Near threatened) จำนวน 176
สปีชีส์และน่ากังวลน้อยที่สุด (Least concern) จำนวน 297 สปีชีส์
ทะเลแคริบเบียนมีปะการังเสี่ยงต่อการสูญพันธ์ในระดับ Critically Endangered และ
Endangered มากที่สุด
หนึ่งในปะการังที่เสี่ยงสูงพันธุ์สูงมากที่สุดคือปะการัง iconic elkhorn
ส่วนสามเหลี่ยมปะการัง (Coral Triangle) ในบริเวณหมู่เกาะอินโด-มาเลย์-ฟิลิบปินส์
ทางตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก
ปะการังส่วนใหญ่อยู่ในสถานภาพ Vulnerable และ Near-Threatened
สามเหลี่ยมปะการัง (Coral Triangle) ในบริเวณหมู่เกาะอินโด-มาเลย์-ฟิลิบปินส์
ปะการังเผชิญกับภัยพิบัติครั้งรุนแรงที่สุดจากปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Nino) เมื่อปี
1997-1978
ทำให้พวกมันลดจำนวนลงอย่างมากเพราะอุณหภูมิของน้ำทะเลในเขตร้อนที่เพิ่มขึ้น
ศาสตราจารย์ เคนต์ คาร์เพนเตอร์
ผู้นำเขียนรายงานวิจัยนี้บอกว่าผลการศึกษานี้น่ากลัดกลุ้มมาก
เมื่อปะการังลดจำนวนลงอย่างรุนแรง
พืชและสัตว์ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณแนวปะการังเพื่ออาหารและใช้เป็นเกราะกำบังภัยก็จะเป็นแบบเดียวกัน
และว่าสิ่งนี้สามารถนำไปสู่การพังทลายของระบบนิเวศทั้งหมด
ปะการังฟอกขาว
แนวปะการังเกิดขึ้นมานานหลายล้านปีแล้ว ประมาณ 1 ใน 4
ของสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลอาศัยแนวปะการังบางช่วงเวลาในการดำรงชีวิต
ปลาจำนวนมากอาศัยแนวปะการังตลอดทั้งชีวิต
และปลาบางชนิดใช้แนวปะการังในการอนุบาลลูกน้อย
ทำให้แนวปะการังเป็นระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุด ดังนั้น
หากปะการังสูญสิ้นไปก็จะส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของปลาจำนวนมาก
และทะเลจะสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
ปะการังยังเป็นปราการป้องกันเมืองและชุมชนชายฝั่งจากการกัดเซาะชายฝั่งและน้ำท่วมจากพายุเขตร้อนด้วย
อเล็กซ์ โรเจอส์ หนึ่งในทีมนักวิทยาศาสตร์จำนวน 39 คน
ที่ศึกษาเรื่องนี้จากสมาคมสัตววิทยาแห่งลอนดอน กล่าวว่า
มันเป็นภาพที่น่าหวาดกลัวและไม่เป็นเพียงแค่ข้อเท็จจริงที่ว่าบางสิ่งอย่างเช่น 1 ใน
3 ของปะการังที่สร้างแนวปะการังทั้งหมดถูกคุกคาม
แต่เราอาจจะกำลังเผชิญกับสูญเสียพื้นที่ของระบบนิเวศขนาดใหญ่นี้ภายในเวลา 50 - 100
ปี
โรเจอร์ยังบอกว่า
นัยของมันก็คือสภาวะที่ไม่มั่นคงอย่างแท้จริงซึ่งไม่เพียงเฉพาะความหลากหลายทางชีวภาพเท่านั้น
แต่รวมถึงทางเศรษฐกิจด้วย
ทุกวันนี้ผู้คนหลายล้านคนอาศัยปะการังในการทำมาหากิน
แผนงานสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme - UNEP)
ประเมินเมื่อสองปีก่อนว่า ปะการังมีมูลค่าอยู่ในระหว่าง 100,000-600,000
เหรียญสหรัฐต่อตารางกิโลเมตรต่อปี ซึ่งทำให้มีมูลค่ารวมทั้งโลกอยู่ในระหว่าง
30,000-180,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี แต่บางพื้นที่มีมูลค่าสูงกว่านั้น
ปะการังตายด้านซ้ายตายเพราะโรค White Plague และโรคระบาดไปยังปะการังด้านขวา
อย่างเช่นที่ศรีลังกา มีมูลค่าสูงกว่ามูลค่าเฉลี่ยของโลกถึง 10 เท่า
ขณะที่รายจ่ายเพื่อการปกป้องคุ้มครองพื้นที่ปะการังมีเพียง 0.2%
ของจำนวนรายได้จากปะการังเท่านั้น
นักวิทยาศาสตร์พบว่า ภัยคุกคามหลักต่อปะการัง คือการเปลี่ยนแปลงของอากาศ
การจับปลาที่มากเกินไป คุณภาพของน้ำที่ลดน้อยลงเพราะมลภาวะ
และการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์บริเวณชายฝั่ง
การเปลี่ยนแปลงของอากาศเป็นสาเหตุทำให้อุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นและรับรังสีจากดวงอาทิตย์มากขึ้น
ซึ่งทำให้ปะการังฟอกขาว (Coral Bleaching) และอ่อนแอต่อโรคจนล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
ปะการังในเขตน้ำตื้นมีชีวิตโดยพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันกับสาหร่ายซูแซนเธลลี
(zooxanthellae) ซึ่งอาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อของปะการัง
สาหร่ายซูแซนเธลลี
(zooxanthellae) ซึ่งอาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อของปะการัง
สาหร่ายชนิดนี้จะให้อาหาร ออกซิเจน
แก่ปะการังจากกระบวนการสังเคราะห์แสงของมันและยังทำให้ปะการังมีสีสันสวยงามอีกด้วย
อุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้นจะทำให้สาหร่ายซูแซนเธลลีหลุดออกจากเนื้อเยื่อของปะการัง
ซึ่งทำให้เกิดภาวะปะการังฟอกขาว และปะการังจะขาดอาหาร และอ่อนแอต่อโรค
คาร์เพนเตอร์บอกว่า ปัญหาใหญ่ก็คือ
หากเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวถี่ขึ้นจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างที่นักวิทยาศาสตร์คาดว่าจะเกิด
เราจะได้เห็นพื้นที่ของปะการังถูกทำลายจนราบเป็นหน้ากลอง
นักวิทยาศาสตร์ยังเชื่อว่าอุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้น
มลภาวะและตะกอนดินที่น้ำพัดพาลงทะเลก็เป็นสาเหตุทำให้ปะการังอ่อนแอต่อโรคเช่นกัน
การจับปลาที่มากเกินไปเกิดขึ้นในท้องทะเลหลายแห่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ระเบิดจับปลาในทะเลของเอเชียตะวันออก
รวมทั้งการใช้อวนลากขนาดใหญ่จับปลาทำให้ปะการังกลายเป็นเศษปูน
ภาวะความเป็นกรดในน้ำทะเลจะเป็นภัยคุกคามใหม่ของปะการังในอนาคตอันใกล้
น้ำทะเลที่มีความเป็นกรดสูงขึ้นจากการที่มหาสมุทรดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศ
จะส่งผลกระทบต่อการสร้างโครงสร้างภายนอกของปะการังที่เป็นหินปูนซึ่งสร้างจากแคลเซียม
คาร์บอเนต
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้ว่าผลกระทบนี้จะทำลายล้างปะการังจำนวนมากภายในระยะเวลาเท่าใด
มันอาจจะเป็นสองสามทศวรรษข้างหน้า หรือบางทีอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ก็ได้