ลิลี่แพดเมืองลอยน้ำ
ลิลี่แพดเมืองลอยน้ำ
จาก
หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 4049
คอลัมน์ Technology
เรื่อง Nobit
สมใจคนชอบ Experimental Design สำหรับนวัตกรรมการออกแบบเมืองลอยน้ำ "ลิลี่แพด" (Lilypad
City) บ้านใหม่แห่งอนาคตที่สามารถแก้ไขปัญหาได้จริง
ในการช่วยเหลือคนทั้งโลกที่ต้องการลี้ภัยน้ำท่วมอันเกิดจากวิกฤติโลกร้อน
ที่กำลังคุกคามอย่างรุกคืบ จากความคิดอันเฉียบคมของ วินเซนต์ คาเลโบต์
สถาปนิกคนเก่งจากเบลเยียม
การออกแบบเมืองนี้ คาเลโบต์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรูปทรงของใบบัวขนาดใหญ่
อะมาโซเนีย วิคตอเรีย เรเจีย ลิลี่แพด
ที่มีลักษณะเป็นใบกว้างลอยอยู่เหนือน้ำคอยรองรับน้ำฝนและฟอกน้ำให้สะอาด
โดยคาเลโบต์ได้ออกแบบให้เมืองนี้ เข้าออกด้วยท่าจอดเรือที่มีอยู่ 3 ทาง และมีภูเขา
3 ลูก เพื่อให้ผู้คนที่อยู่บนเมืองลอยน้ำแห่งนี้ได้เพลิดเพลินกับการเปลี่ยน
วิวทิวทัศน์ ไม่ซ้ำซากจำเจ
สำหรับสภาวะแวดล้อมของเมืองนั้น
วินเซนต์ได้ออกแบบให้ทั้งเมืองปกคลุมไปด้วยต้นไม้ที่ปลูกอยู่ด้านบน
โดยมีเป้าหมายของการสร้างอยู่ที่การสร้างความกลมกลืนในการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ
ลิลี่แพดจะเป็นเมืองที่เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี
มีลักษณะเป็นเมืองสะเทินน้ำสะเทินบกที่ไม่จำเป็นต้องมีรถหรือมีถนนใดๆ
สามารถแก้ไขปัญหาระยะยาวของระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น
ทั้งยังช่วยเหลือผู้คนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์น้ำท่วม
อย่างรุนแรงได้เป็นอย่างดี โดยจะลอยตัวอยู่ในทะเลบริเวณผิวดินเดิมที่ถูกน้ำท่วมมิด
กล่าวคือเป็นเมืองที่ลอยอยู่ทั่วโลกเหมือนเรือยักษ์
หรือลอยไปตามกระแสน้ำไหลของมหาสมุทรทั่วโลก
ที่สำคัญคือพลังงานที่ใช้ในเมืองจะมาจากแหล่งพลังงานที่สามารถนำกลับมาใช้ได้ใหม่
รวมถึงการใช้พลังงานจากธรรมชาติอย่างพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานความร้อน พลังงานลม
พลังงานน้ำ และพลังงานคลื่น
โดยพลังงานที่ได้ทั้งหมดจะมากเกินความจำเป็นที่คนทั้งเมืองต้องการใช้
แถมยังไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมด
ขณะที่ขยะก็จะถูกนำไปรีไซเคิล
แน่นอนว่าความคิดอันน่าชื่นชมของวินเซนต์สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศด้านการออกแบบเมืองแห่งอนาคตมาครอง
ได้เป็นผลสำเร็จ
ทั้งยังเป็นแนวทางการแก้ปัญหาที่สอดรับกับการคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญที่ว่า
น้ำแข็งจะละลายเพราะโลกร้อน ทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นถึง 88 เซนติเมตร (เกือบ 3
ฟุต) ภายในปี 2643 และจะเกิดภัยคุกคามต่อพื้นที่ขนาดใหญ่บริเวณชายฝั่ง
รวมทั้งเมืองใหญ่ๆ ของโลก เช่น กรุงลอนดอนในอังกฤษ นครนิวยอร์กในสหรัฐฯ
และกรุงโตเกียวในญี่ปุ่น
โดยเฉพาะเมืองที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่เกิน 50 เซนติเมตร
และเกาะน้อยใหญ่ในมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น เกาะตูวาลู เกาะคิริบาติ หรือเกาะมัลดีฟส์
ซึ่งหากน้ำทะเลสูงขึ้นเพียง 50 เซนติเมตร พื้นที่ของเกาะก็จะถูกคลื่นทะเลซัดกร่อน
หรือจมอยู่ใต้น้ำ หรือแม้บางเกาะจะอยู่เหนือทะเลได้
แต่ประชากรในพื้นที่คงต้องเผชิญกับปัญหาน้ำดื่มขาดแคลนกันน่าดู
เพราะน้ำทะเลรุกล้ำเข้ามายังแหล่งน้ำจืด
อันเป็นคลื่นกระทบต่อชีวิตผู้คนหลายสิบล้านคนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ชายฝั่งในเอเชียใต้
เช่น ปากีสถาน อินเดีย ศรีลังกา บังกลาเทศ พม่า รวมทั้งประเทศไทยด้วย
นับเป็นแนวคิดที่ล้ำสมัยที่เมืองไทยน่าจะมีผู้นำมาปรับใช้บ้าง
เนื่องจากมีผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า อีกประมาณ 30 ปี น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ
และจังหวัดใกล้เคียง งานนี้เห็นทีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองคงต้องพักรบ สงบใจ
หันหน้าปรองดองกันเพื่อทุกชีวิตในประเทศไทยบ้างแล้ว