เรือนไฟแห่งชีวิต บนเกาะตะเภาน้อย
เรือนไฟแห่งชีวิต บนเกาะตะเภาน้อย
จาก
กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 30 มีนาคม 2552
โดย : นิภาพร ทับหุ่น
ตามรอยประภาคาร ประวัติศาสตร์นักเดินเรือบนเกาะตะเภาน้อย ณ อ่าวมะขาม
สัมผัสผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์เหนือหมู่เกาะทะเลใต้
วันที่ 28 มีนาคม 2552 กรุงเทพมหานครรณรงค์ให้คนกรุงลุกขึ้นมาปิดไฟตอน 2 ทุ่ม
เป็นเวลา 1 ชั่วโมงเพื่อช่วยกันประหยัดพลังงานของโลก และลดสภาวะเรือนกระจก
ซึ่งเป็นสาเหตุของโลกร้อน
ไม่เฉพาะคนกรุงเทพฯ
ต่อให้คนทั่วโลกได้ยินกิจกรรมนี้ก็ยินดีให้ความร่วมมือด้วยทั้งนั้น ทุกบ้าน
ทุกหน่วยงาน สามารถดับไฟได้ตามคำร้องขอ ทว่า
สถานที่แห่งหนึ่งไม่สามารถให้ความร่วมมือได้อย่างจริงใจ
เพราะทุกวินาทีเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของชีวิต นั่นก็คือ ประภาคาร
กรุงเทพฯ - อากาศร้อนจนบางคนต้องนอนเปิดแอร์ที่อุณหภูมิ 20 องศา
ภูเก็ต - แม้เข็มเทอร์โมมิเตอร์จะพุ่งขึ้นมาแตะที่ตัวเลข 38
แต่คนเฝ้าประภาคารบางคนก็มีเพียงพัดลมตัวเล็กๆ เท่านั้นที่เอาไว้คอยบรรเทาอาการ “เหงื่อซึม”
ดูเหมือนใจดำ หรือเมินเฉยต่อกิจกรรมดีๆ ที่จะช่วยลดการใช้พลังงานของโลก
แต่ถ้าลองพิจารณากันตามจริง พัดลมย่อมสร้างมลภาวะน้อยกว่าเครื่องปรับอากาศเป็นไหนๆ
ถ้าลองเปลี่ยนจากปิดไฟ มาปิดแอร์ เชื่อแน่ๆ ว่าโลกจะรู้สึกเย็นสบายขึ้น
ไม่ได้ก่นด่าหรือเยาะหยันชะตาชีวิตของคน 2 กลุ่มที่แตกต่าง
แต่กำลังจะพาทุกคนไปยังเกาะที่ห่างไกลจากชายฝั่ง
ทว่าเต็มตื้นไปด้วยความรื่นรมย์ของผืนป่า นานาสัตว์ ประวัติศาสตร์ของประภาคาร
และวิถีชีวิตของคนเฝ้าดวงไฟที่ไม่มีวันดับ
นก คน บนเกาะแห่งความพิสุทธิ์
“รีบหน่อยคุณ” บุรุษหนุ่มผู้กุมพวงมาลัยเรือสั่งเสียงเข้ม
หลังจากนั่งรอผู้โดยสารอยู่ที่ท่าเรืออ่าวมะขามมานานร่วมชั่วโมง
เป็นธรรมดาของชายชาติทหารที่ยึดมั่นต่อการตรงต่อเวลาเป็นที่สุด
เมื่อมาเจอลูกเรือจอมโอ้เอ้อย่างเรา จึงอดรนทนไม่ได้ที่จะตะแบงเสียงใส่
แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายความรู้สึกของใคร เพราะใต้ปีกหมวกนั้นมีรอยยิ้มจางๆ ซ่อนอยู่
"ใส่ชูชีพด้วย"
คำสั่งสุดท้ายก่อนทิ้งหางเสือเรือทำเอาทุกคนตะลีตะลานหยิบเสื้อลอยน้ำขึ้นมาสวมโดยฉับพลัน
ไม่ได้กลัว แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง เรือสปีดโบตลำนั้นจึงเต็มไปด้วยผู้โดยสารสีส้ม (สีของชูชีพ)
นึกชื่นชมในความเคร่งครัดของพลขับจริงๆ เพราะหากเป็นเรือโดยสารอื่นๆ กับระยะทางแค่
15 นาที คงไม่มีใครมาใส่ใจกับระบบป้องกันภัยง่ายๆ แบบนี้ และที่มีข่าวเรือล่ม คนตาย
หลายชีวิตที่เสียไปก็เพราะไม่มีเสื้อนิรภัยติดตัว
เรานั่งมองฟองน้ำที่กระจุยกระจายอยู่ท้ายเรือเพียงชั่วครู่
เสียงเครื่องยนต์ก็ดับลงพร้อมเทียบท่าส่งผู้โดยสารที่บริเวณหน้าหาดทรายขาวนวล
บนเกาะตะเภาน้อย
เสียงขอบคุณของเรา แลกกับภาพฟันขาวๆ ใต้รอยยิ้มจริงใจของนายทหารเรือ-พลขับ
ใครบ้างจะไม่รับน้ำจิตน้ำใจครั้งนี้
เราเดินเปลือยเท้าตามหาดทรายขาวขึ้นไปตรงสวนสน ป้าย "ประภาคาร เกาะตะเภาน้อย
กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ" เติมความมั่นใจให้เรารู้สึกว่า มาถูกที่แล้ว
เกาะตะเภาน้อย ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าอ่าวมะขาม ตำบลวิชิต อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต
เป็นเกาะขนาดเล็กที่ยังคงสภาพผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์
โดยมีดัชนีชี้วัดเป็นฝูงนกแก๊กเกือบ 100 ชีวิต ซึ่งนอกจากธรรมชาติอันสวยงามแล้ว
บนเกาะแห่งนี้ยังมีสิ่งหนึ่งที่สำคัญยิ่งต่อทุกชีวิตบนผืนทะเล นั่นคือ ประภาคาร
เครื่องหมายช่วยในการเดินทางของชาวเรือ
เดือนมีนาคม แดดร้อนจัดจ้า ทว่า ใต้ป่าผืนใหญ่บนเกาะตะเภาน้อยมีสายลมพัดเอื่อยอ่อย
ทำให้รู้สึกเย็นสบาย
"ป่าที่นี่ค่อนข้างสมบูรณ์ สังเกตได้จากมีนกแก๊กมาอยู่ที่นี่ประมาณ 50 คู่
เป็นนกแก๊กที่อยู่บนเกาะตะเภาใหญ่ และเกาะตะเภาน้อย ทั่วโลกมีนกเงือกอยู่ 54
สายพันธุ์ ในเอเชียมี 50 สายพันธุ์ ในไทยเองมี 12 สายพันธุ์ ที่นี่มี 1 สายพันธุ์
คือ นกแก๊ก" ร.ต.สุชิน รักชาติ นายประภาคารเกาะตะเภาน้อย บอก
พร้อมเดินนำเราผ่านเรือนพักและป่าใหญ่ขึ้นไปยังยอดเขา ซึ่งเป็นที่ตั้งของประภาคาร
เราแหงนหน้ามองขึ้นไปบนยอดต้นชมพู่ นกแก๊ก 2 ตัว
กำลังจิกกินกล้วยน้ำว้าสุกอย่างเอร็ดอร่อย
"นอกจากอาหารในป่า นกแก๊กจะกินมะม่วง ขนุน น้อยหน่า ชมพู่ กล้วย ที่เราปลูกไว้ด้วย
บางทีเรามีก็เอาไปแขวนให้มันกิน" เขาแสดงสีหน้าเอ็นดูอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเราจ้องมองมัน ก็ได้ความรู้สึกที่ไม่ต่างไปจากนายประภาคารนัก
เขาว่า นกเงือกทั่วไปมีนิสัยรักเดียวใจเดียว จะอาศัยอยู่กับคู่ของมันจนตายจากกัน
ซึ่งถ้าคู่ของมันตายจากไป ไม่นานมันก็จะตรอมใจตามไปด้วย
เป็นเรื่องราวความรักที่ยิ่งใหญ่จริงๆ
"ที่นี่มีป้อมปืนโบราณด้วย สร้างสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
พอดีทหารญี่ปุ่นพาเชลยศึกมาทำไว้ แต่ยังไม่ทันได้ใช้ ตอนนี้ยังไม่เปิดให้เข้าชม
เพราะค่อนข้างรก"
ร.ต.สุชิน บอกว่า นักท่องเที่ยวที่มาเยือนเกาะนี้ส่วนใหญ่เป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติ
จึงควบคุมไม่ยาก แต่เมื่อเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศอย่างเป็นทางการแล้ว
คงจำกัดนักท่องเที่ยวให้ขึ้นเกาะไม่เกินวันละ 30 คน
"ถ้ามาเที่ยวแบบนักท่องเที่ยวรักธรรมชาติจริงๆ ก็ไม่น่าเสียหาย
แต่ประเภทมาหาความสวยงามศิวิไลซ์ เราไม่มีให้ชม มีแต่ป่าแต่นก
คนบนนี้เป็นนายทหารเรือ กินอยู่อย่างเรียบง่าย หาผักที่มีบนนี้มาทำอาหาร
อย่างผักลิ้นหมาก็เอามาแกงเลียงอร่อย นานๆ จึงจะขึ้นไปบนฝั่งสักที
ถ้าไม่มีอะไรก็ไม่อยากไป"
ฟังเรื่องราวการใช้ชีวิตของคนบนเกาะนี้แล้ว ดูช่างอิสรเสรีและใกล้ชิดกับคำว่า "ธรรมชาติ"
มากจริงๆ
ดวงไฟที่พาใครบางคนกลับบ้าน
หลายคนที่เคยโดยสารไปกับเรือประมง เรือโดยสาร เรือสำราญ
หรือเรืออะไรก็ตามแต่ในยามค่ำคืน
คงเคยสังเกตเห็นว่ามีดวงไฟส่องสว่างวาบไหวเป็นสัญญาณไกลๆ อยู่ตรงชายฝั่ง
หรือเกาะใดเกาะหนึ่งใกล้แผ่นดิน บางดวงสว่างเพียงวาบเดียวแล้วหายไปประมาณ 2 วินาที
บางดวงกะพริบ 2 วาบแบบต่อเนื่อง จากนั้นก็ดับไปแล้วกลับมากะพริบใหม่อีกครั้ง
นั่นคือ ประภาคาร
"ลักษณะวาบไฟแต่ละแห่งจะไม่เหมือนกันเลย ในโลกนี้มีมากมายตั้ง 256 ลักษณะวาบไฟ
ต้องตั้ง code ไม่ให้เหมือนกัน" ร.ต.สุชิน ให้ข้อมูล พร้อมเล่าว่า
ประภาคารเกาะตะเภาน้อย สร้างขึ้นปี พ.ศ.2442 อยู่ในความรับผิดชอบของ กองกระโจมไฟ
กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ต่อมาในปี พ.ศ.2462 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 6
ได้มีการโอนย้ายไปอยู่ในความดูแลของกระทรวงทหารเรือ
ในยุคแรกประภาคารแห่งนี้ใช้พลังงานจากน้ำมันก๊าด จากนั้นเปลี่ยนมาใช้ก๊าซในปี
พ.ศ.2470 แล้วเปลี่ยนอีกทีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ.2540
เป็นการใช้พลังงานแสงอาทิตย์
"ตอนนี้ใช้ระบบโซลาร์เซลล์ และก็มีระบบแมนนวลด้วย
อย่างกลางวันเราจะเก็บพลังงานจากแสงอาทิตย์ไว้ในแบตเตอรี่เพื่อใช้ในเวลากลางคืน
นายประภาคารหรือคนเฝ้าต้องช่วยกันดูแลให้ดี
เพราะถ้าเกิดไฟฟ้าย้อนกลับไปที่แผงรับพลังงานจะใช้การไม่ได้เลย"
มีความสงสัยมานานแล้วว่า ประภาคารกับกระโจมไฟ แตกต่างกันอย่างไร
นายประภาคารแห่งเกาะตะเภาน้อย จึงแจงให้ฟังว่า ประภาคาร มาจากคำ 2 คำ คือ ประภา
ที่แปลว่า แสงสว่าง กับ อาคาร ที่แปลว่า เรือน เมื่อประภากับอาคารรวมกัน
เป็นประภาคาร จึงมีความหมายรวมว่า เรือนไฟ เป็นเครื่องหมายช่วยในการเดินเรือ
ประภาคาร มีเจ้าหน้าที่ดูแลไม่ให้ไฟดับ แต่กระโจมไฟไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแล
หากไฟดับจึงจะมีเจ้าหน้าที่ไปแก้ไขทำการจุดไฟ
"ประภาคารไฟจะดับไม่ได้เลย ถ้ามีปัญหาเจ้าหน้าที่หรือนายประภาคารต้องซ่อมได้
ถ้าปล่อยปละ เกิดเรือจม เรือชนโขดหิน กรมฯ จะมีความผิด
ที่ผ่านมาไฟดวงนี้ก็ยังไม่เคยดับ เพราะเรามีนายประภาคาร 5 นาย คอยดูแล ซึ่ง 5
นายนี้จะสับเปลี่ยนไปประจำที่ประภาคารกาญจนาภิเษกบนแหลมพรหมเทพด้วย"
ฉันแหงนคอตั้งบ่าเพื่อมองให้ถึงปลายยอดของประภาคาร ที่คนเฝ้าบอกว่า
ปลายยอดมีตะเกียงระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ชนิดเลนส์หมุน และมีไฟวับสีขาว 6 วับ ทุกๆ
10 วินาที ลักษณะของประภาคารเป็นกระโจมอิฐหอคอย ทาสีขาวสว่าง สูง 11 เมตร
ตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 55 เมตร มองเห็นได้ไกล 20 ไมล์ทะเล
แดดจัดแบบนี้ หากมองนานอีกหน่อย
มีหวังซ้ำรอยกษัตริย์อินเดียที่นั่งมองทัชมาฮาลทุกวันแน่
ว่าแล้วก็เดินหาที่หลบแดดรักษาผิวกายกันพัลวัน
ข้างๆ ประภาคารเป็นเรือนไม้เก่าที่นายประภาคารเล่าให้ฟังว่า เป็นเรือนไม้สไตล์ชิโน-โปรตุกีส
ที่สร้างขึ้นพร้อมๆ กับประภาคาร เดิมเป็นที่ทำการ
เมื่อเวลาผ่านไปเกิดความทรุดโทรมจึงไม่ได้ใช้
แต่กำลังจะจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์แหล่งเรียนรู้สายงานอุทกศาสตร์และสายงานกองทัพเรือ
"ที่นี่มีสถานีวัดระดับน้ำด้วย มีหน้าที่คำนวณระดับน้ำทะเล ความผิดปกติของน้ำ
ลมพายุ เมื่อคำนวณได้จะส่งรายงานไปที่กรมอุตุนิยมวิทยา ตอนช่วงเวลา ตี 1 - 7
โมงเช้า และบ่ายโมง - 1 ทุ่ม หรืออย่างเวลาพระอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพก็มาจากที่นี่
คือทุกเช้าจะมีเวรคอยเปลี่ยนเวลาบนป้าย
หลังจากที่คำนวณแล้วว่าวันนี้ดวงอาทิตย์จะตกเวลากี่โมง คลาดเคลื่อนไม่เกิน 6-7 นาที"
นายประภาคาร ผู้ปิดทองหลังพระ บอก
ฉันถามเรื่อยๆ ไปจนถึงเรื่องสึนามิ นายทหารเรือว่า
ก่อนนั้นที่สถานีใช้เครื่องวัดระดับน้ำระบบอนาล็อก (Analog) แบบลูกลอย
โดยปกติวันหนึ่งจะมีน้ำขึ้นสูงสุด 2 ครั้ง และน้ำลงต่ำสุด 2 ครั้ง
ซึ่งมีการทำรายงานประจำปีไว้แล้ว แต่ความผิดปกติของน้ำในช่วงสึนามิเกิดขึ้นเร็วมาก
ให้หลังจากระดับน้ำผิดปกติเพียงไม่ถึง 20 นาทีก็เกิดเหตุการณ์สึนามิ
หลังจากนั้นกรมอุทกศาสตร์จึงได้ฟื้นฟูสถานีวัดระดับน้ำฝั่งอันดามันใหม่
เป็นสถานีวัดระดับน้ำแบบดิจิทัล (Digital) และเครื่องวัดระดับน้ำระบบดิจิทัล
ทำงานด้วยคลื่นเสียงพร้อมรับ-ส่งข้อมูลในระยะไกลด้วยระบบสื่อสารทางโทรศัพท์
จะช่วยเรื่องการเตือนภัยสึนามิได้ดี ซึ่งสถานีรูปแบบทันสมัยนี้เปิดใช้เมื่อวันที่
26 ธันวาคม พ.ศ.2548
ฉันเดินไปรอบๆ บริเวณประภาคาร จากจุดนี้สามารถมองเห็นฝั่งเกาะภูเก็ตได้ถนัดตา
มีเรือสินค้ามากมายอยู่ในร่องน้ำลึก ที่เดินทางได้อย่างปลอดภัย
ก็คงเป็นเพราะได้รับสัญญาณจากดวงไฟบนเกาะแห่งนี้เอง
"จะขึ้นไปดูข้างบนไหม" นายประภาคารชักชวน
ประตูประภาคารทรงโค้งมีขนาดเล็ก เวลาเดินเข้าต้องค่อยๆ ก้มตัว
ภายในมีบันไดลิงสำหรับไต่ขึ้นไปชมวิวจากช่องมองที่ปลายยอดประภาคาร
ด้วยความอยากเห็นทิวทัศน์ในมุมมองใหม่ ฉันจึงตัดสินใจปีนบันไดลิงทีละขั้นๆ
กว่าจะถึงจุดหมายก็เล่นเอาเหงื่อโทรมกาย เพราะภายในค่อนข้างทึบ
มีเพียงช่องมองวิวเท่านั้นที่ช่วยระบายอากาศ
มันเป็นมุมมองที่ค่อนข้างแปลก จริงอยู่ที่ว่า ภาพแบบพาโนรามาจะเห็นได้เต็มตากว่า
แต่ภาพลอดช่องแบบนี้ก็ได้อารมณ์ดีไม่น้อย
การเดินทาง
ภูเก็ต เป็นจังหวัดท่องเที่ยวที่เดินทางไปได้อย่างสะดวก
โดยเฉพาะทางเครื่องบินที่ตอนนี้มีสายการบินราคาประหยัดให้บริการมากมาย
อย่างสายการบินนกแอร์ มีเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ไปภูเก็ตทุกวัน
สอบถามตารางการเดินทางได้ที่ นกแอร์ call center 1318
นอกจากนี้ก็ยังสามารถเดินทางไปได้ทั้งทางรถไฟ (ต้องไปต่อรถที่สุราษฎร์ธานี)
รถประจำทางปรับอากาศ และรถยนต์ส่วนบุคคล เมื่อถึงภูเก็ตแล้วให้เหมารถตุ๊กตุ๊ก
หรือรถสองแถวไปที่ท่าเรืออ่าวมะขาม ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที
จากนั้นนั่งเรือยนต์รับจ้างต่อไปยังเกาะตะเภาน้อยอีกประมาณ 15 นาที
เก็บค่าเข้าชมเกาะ คนไทย 20 บาท ชาวต่างชาติ 100 บาท
ส่วนนักเรียนนักศึกษาขึ้นเกาะฟรี สอบถามข้อมูลที่ ร.ต.สุชิน รักชาติ
นายประภาคารเกาะตะเภาน้อย โทร. 08-4625-9067
ที่พัก
บนเกาะตะเภาน้อย ยังไม่มีที่พักให้บริการ เนื่องจากเป็นเกาะปิดมานาน
เพิ่งจะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปสัมผัสเสน่ห์แห่งป่าอันอุดมสมบูรณ์เมื่อไม่นานมานี้
นักท่องเที่ยวจึงไม่สามารถพักบนเกาะนี้ได้
แต่ถ้าจะพักแนะนำให้โดยสารเรือกลับไปพักบนเกาะภูเก็ต หลายๆ หาดมีที่พักหลายระดับ
หลากราคา ตั้งแต่โรงแรมขนาดเล็กราคา 500 บาท ในตัวเมือง ไปจนถึงระดับห้าดาว
อย่างที่พักในโซนลากูน่าของภูเก็ตก็มีโรงแรมเชนให้บริการมากมาย อาทิเช่น ดุสิต
ลากูน่า ภูเก็ต, เชอราตัน แกรนด์ ลากูน่า ภูเก็ต, ลากูน่า บีช รีสอร์ท เป็นต้น
สอบถามที่ ททท.สำนักงานจังหวัดภูเก็ต โทร. 0-7621-1036, 0-7621-2213, 0-7621-7138
หรือ call center 1672