เต่าตนุ หรือ เต่าแสงอาทิตย์
เต่าตนุ หรือ เต่าแสงอาทิตย์
จาก
หนังสือพิมพ์ สยามธุรกิจ ฉบับที่
1104 ประจำวันที่ 2-6-2010 ถึง 4-6-2010
ในกระบวนสัตว์ทะเลน่ารักที่อยู่ในใจนักดำน้ำ หนึ่งในนั้นไม่พ้นเต่าทะเล
ซึ่งมีเต่าตนุเป็นเต่าส่วนใหญ่ ที่มีอยู่ในทะเล
เต่าตนุ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า
CHELONIA MYDAS ลักษณะคล้ายเต่ากระ
แต่ปากไม่เป็นจะงอย กระดองสีน้ำตาลแดงอมเขียว ตามขอบกระดองและขามีสีเหลืองอ่อนๆ
กระดองมีลายเส้นสีน้ำตาลเป็นแฉกๆ คล้ายลำแสงอาทิตย์
ในเต่าที่มีอายุมากๆบางครั้งกระดองเต่าจะมีสิ่งมีชีวิตอื่น เช่น เพรียง สาหร่าย ฯลฯ
มาอาศัยอยู่ด้วย
เต่าตนุเมื่อโตเต็มวัยจะมีขนาดวัดได้ถึง 100 เซนติเมตร มีน้ำหนักได้จนถึง 130
กิโลกรัม
เต่าตนุจะขึ้นวางไข่ตามชายหาดที่ตัวเองเกิดประมาณเดือนตุลาคมไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์
ในแต่ละฤดูจะวางไข่ประมาณ 2 ครั้ง
เต่าตนุชอบอาศัยอยู่ในแนวปะการังอันเงียบสงบไร้ผู้รบกวน
พบได้ในทะลไทยทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามัน โดยเฉพาะที่บริเวณเกาะคราม
ไข่เต่าตนุนี่เองที่ผู้คนนิยมบริโภค และเรียกว่าไข่จะละเม็ด
รวมทั้งเนื้อของเต่าตนุก็ยังถูกนำมาบริโภค
จึงมีความพยายามที่จะศึกษาและทำฟาร์มเลี้ยงเต่าทะเลประเภทนี้เพื่อการค้า
ในทะเลอันดามันโดยเฉพาะที่หมู่เกาะสิมิลันเต่าตนุจะขึ้นวางไข่ที่เกาะ 1
ที่มีชายหาดขาวสะอาดยาวเหยียดจนทางอุทยานฯ ต้องสั่งปิดเกาะ
ไม่อนุญาตให้คนขึ้นบนเกาะเพื่อให้เต่าวางไข่ได้อย่างปกติ
ที่หมูเกาะสิมิลันยังสามารถพบเต่าตนุได้บ่อยๆ โดยเฉพาะที่เกาะ 8
บริเวณหน้าอ่าวเกือกม้า มีเต่าตนุหลายตัวคอยรับแขกที่มาจอดเรือ
โดยเจ้าเต่าตนุจะขึ้นมาเล่นที่ผิวน้ำข้างเรือเพื่อรอรับอาหารที่นักท่องเที่ยวส่งให้ทาน
นักท่องเที่ยวสามารถให้อาหารกับเต่ากับมือได้เลย
ในทะเลไทยอาจจะพบเห็นเต่าตนุได้บ้างในบางครั้ง แต่ในต่างประเทศ เช่น เกาะสิปาดัน
สามารถพบเห็นเต่าตนุได้ตลอดเวลา ตั้งแต่ผิวน้ำไปจนถึง ที่ความลึกมากๆ
เรียกได้ว่าคิดถึงเต่าเมื่อไหร่ก็จะได้เห็นเต่าทันที
ศัตรูของเต่าตนุที่ทำให้จำนวนเต่าลดลงอย่างรวดเร็วก็คือชายหาดแหล่งวางไข่ที่มีพื้นที่น้อยลงเรื่อยๆ
และอาหารตามธรรมชาติที่เต่าไร้เดียงสาไปทานถุงพลาสติกที่คิดว่าเป็นแมงกะพรุน เข้าไป
(ชื่อวิทยาศาสตร์) - Chelonia mydas | (ชื่อสามัญ)
- เต่าตนุ
(ชื่อสามัญ) - เต่าแสงอาทิตย์ |
(ชื่อสามัญภาษาอังกฤษ) - GREEN TURTLE
ลักษณะทั่วไป
เป็นเต่าทะเลที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ และน้ำหนักมาก หัวป้อมสั้น ปากสั้น
เกล็ดเรียงต่อกัน (ไม่ซ้อน) กระดองหลังโค้งนูนเล็กน้อย
บริเวณกลางหลังเป็นแนวนูนเกือบเป็นสัน ท้องแบนราบขาทั้ง 4 แบน เป็นใบพาย
ขาคู่หลังมีขนาดเล็กกว่าขาคู่หน้ามาก
ขาคู่หน้ามีเล็บแหลมเพียงข้างละชิ้นสีของกระดองดูเผิน ๆ มีสีน้ำตาลแดงเท่านั้น
แต่ถ้าหากพิจารณาให้ละเอียด
จะเห็นว่าเกล็ดแต่ละเกล็ดของกระดองหลังมีสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลอมเขียว
ขอบเกล็ดมีสีอ่อน ๆ เป็นรอยด่างและมีลายเป็นเส้นกระจายออกจากจุดสีแดงปนน้ำตาล
คล้ายกับแสงของพระอาทิตย์ที่ลอดออกจากเมฆ จึงมีผู้เรียกเต่าชนิดนี้ว่า "เต่าแสงอาทิตย์"
ส่วนที่ชาวยุโรปเรียกว่า "เต่าเขียว" นั้นมีอยู่ 2 ประการ ประการแรกคือ
กระดองหลังมีสีเหลืองปนเขียวประการหนึ่ง ส่วนประการที่สองคือ
น้ำมันที่ได้จากไขมันของเต่าตนุจะมีสีเขียว
ลักษณะเด่น
เกล็ดบนส่วนหัวตอนหน้า (Prefrontal Scale) มีจำนวน 1 คู่ เกล็ดบนกระดองแถวข้าง
(Costal Scale) จำนวน 4 เกล็ด ลักษณะขอบของเกล็ดจะเชื่อมต่อกันไม่ซ้อน
สีสันและลวดลายสวยงามมีกระดองสีน้ำ ตาลอมเหลือง
มีลายริ้วสีจางกว่ากระจายจากส่วนกลางเกล็ด มีชื่ออีกอย่าง หนึ่งว่า เต่าแสงอาทิตย์
แหล่งที่พบ -
ถิ่นอาศัย
พบมากในบริเวณอ่าวไทย ทางจังหวัดภาคใต้และทางฝั่งทะเลอันดามัน
แหล่งวางไข่เต่าตนุในอ่าวไทย พบที่เกาะคราม จ.ชลบุรี และ พบประปรายทางฝั่งอันดามัน
ทางชายทะเลตะวันตกของ จ.พังงา และ จ.ภูเก็ต รวมทั้งบริเวณหมู่เกาะสุรินทร์
หมู่เกาะสิมิลัน
ในระยะ 20 ปีที่ผ่านมาอัตราจำนวนของ เต่าตะนุ ได้ลดลงมาก
และในเมืองไทยนั้นลดจำนวนลง เหลือต่ำกว่า 100 ตัว และ เกาะสิปาดาน
ประเทศมาเลเซียเป็นสถานที่หนึ่งในโลกที่จำนวนของเต่าตะนุ ยังคงสูงอยู่
ในปัจจุบันเต่าตนุได้ลดจำนวนลงไปมาก เนื่องจากที่อยู่อาศัยถูกทำลาย
และอุบัติเหตุจากใบพัดเรือหรือติดแหเรือประมง ที่เกาะสิปาดาน
ในประเทศมาเลเซียมีการปิดเกาะ
มิใช่เพียงเพื่ออนุรักษ์แนวปะการังที่มีความสวยงามระดับโลก
แต่เพื่ออนุรักษ์เต่าตนุนับหลายร้อยตัว
รัฐบาลมาเลเซียเห็นว่าการอนุรักษ์แนวปะการังและสัตว์น้ำที่อาศัย
เป็นวิธีที่จะช่วยพัฒนาเกาะสิปาดานให้ดีขึ้น ดังนั้นเมื่อต้นปี พ.ศ. 2547
มาเลเซียจึงมีประกาศว่าภายในปีนั้นให้รีสอร์ททั้ง 5
แห่งที่อยู่บนเกาะปิดรีสอร์ทและย้ายออกจากเกาะ
ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่านักดำน้ำจะได้ชม ธรรมชาติที่สวยงามใต้น้ำไปอีกหลายศตวรรษ
การแพร่พันธ์
เต่าตนุเหมือนกับ เต่ากระ
ตรงที่มันจะหาอาหารในที่หนึ่งและจะว่ายไปเป็นระยะทางที่ไกลมาก
ไปอีกที่หนึ่งเพื่อวางไข่ซึ่งสถานที่นี้เป็นที่เดียวกันกับที่มันเกิด
การผสมพันธุ์จะเกิดขึ้นทุกๆ สองปี
ถ้าหากโชคดีนักดำน้ำอาจมีโอกาสได้เห็นการผสมพันธุ์ของเต่าตนุ
หลังจากการผสมพันธุ์ตัวเมียจะรอจนน้ำขึ้นและจะคลานกลับไปยังชายหาดที่มันเกิด
ขุดหลุมและวางไข่ ประมาณ 100 - 200 ฟอง และจะกลบไว้ด้วยทรายเสร็จแล้วก็จากไป
ประมาณสองเดือนลูกเต่าก็จะ ฟักตัวออกมาก่อนที่จะว่ายกลับลงสู่ทะเล
ซึ่งช่วงนี้จะเป็นช่วงที่เสี่ยงมากที่สุด เพราะลูกเต่าจะนวนมาก
จะกลายเป็นอาหารของพวกนกนางนวล ปู ฉลาม ปลาสาก และปลากะรัง
ศัตรูของเต่าตนุ
ศัตรูหลักๆ ของเต่าตนุคือ นกนางนวล ปู ฉลาม ปลาสาก และปลากะรังอัตรารอดชีวิตมีเพียง
1% ที่ร้ายกาจที่สุดคือตัวมนุษย์เองที่เอาไข่เต่า มาขายหรือบริโภค
จึงเข้าใจได้ง่ายว่าทำไมจำนวนของเต่าตะนุทั่วโลกจึงลดจำนวนลงมากจนน่าใจหาย
หากโชคดีตัวที่รอดชีวิตก็อาจจะมีโอกาส มีชีวิตจนถึงอายุกว่า 80 ปี
เต่าตะนุที่โตเต็มที่จะต่างจากเต่าทะเลชนิดอื่นๆ ตรงที่กินพืชเป็นอาหาร หลักๆ
คือหญ้าทะเลและตะไคร่น้ำ ลูกเต่าตะนุจะกินแมงกะพรุน
ฟองน้ำและสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง
อาหาร
เต่าตนุเป็นเต่าชนิดเดียวที่กินพืชเป็นอาหาร เมื่อพ้นวัยอ่อนแล้ว อาหารหลัก ได้แก่
พวกหญ้าทะเล และสาหร่ายชนิดต่างๆ เต่าตนุในวัยอ่อน จะกิน ทั้งพืชและเนื้อสัตว์
เป็นอาหาร
ขนาด
โดยทั่วไปเมื่อโตเต็มที่ กระดองหลังยาวประมาณ 100 - 150 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ
130 - 200 กิโลกรัม ขนาดโตถึงแพร่พันธุ์ ความยาวประมาณ 80 เซนติเมตร
ประโยชน์
เนื้อเป็นที่นิยมของชาวยุโรป โดยนำมาปรุงซุป จัดเป็นอาหารรสเลิศ
และราคาแพงไข่ของเต่าชนิดนี้เราเรียกกันว่า ไข่จะละเม็ด มีรสอร่อยและราคาแพง
กระดองของเต่านิยมทำเป็นเครื่องประดับและตกแต่งบ้าน เป็นสัตว์น้ำคุ้มครองตามกฎหมาย