“เมกะพอร์ท" สกัดอาวุธนิวเคลียร์เข้า-ออกตั้งแต่ท่าเรือ
“เมกะพอร์ท" สกัดอาวุธนิวเคลียร์เข้า-ออกตั้งแต่ท่าเรือ
จาก
ASTVผู้จัดการออนไลน์ วันที่
18 มิถุนายน 2553
เป็นเวลาร่วม 3
ปีแล้วที่ขบวนการลักลอบขนส่งวัสดุนิวเคลียร์ไปผลิตอาวุธต้องทำงานลำบากมากขึ้น
เมื่อท่าเรือขนาดใหญ่ทั่วโลกติดตั้งระบบตรวจรังสีในโครงการ “เมกะพอร์ท” และ “ท่าเรือแหลมฉบัง”
ของไทยก็เป็นหนึ่งในท่าเรือใหญ่ที่ติดตั้งระบบดังกล่าว
หลังเหตุการณ์ 911 สหรัฐฯ
ซึ่งตกเป็นเป้าของกลุ่มก่อการร้ายได้ประสานขอความร่วมมือจากท่าเรือขนาดใหญ่ทั่วโลก
20 แห่ง เพื่อติดตั้งเครื่องตรวจจับกัมมันตภาพรังสีอาร์พีเอ็ม (Radiation portal
monitors: RPM)
ซึ่งเป็นด่านแรกของการสกัดกั้นวัสดุนิวเคลียร์และวัสดุกัมมันตรังสีที่จะลักลอบเข้าสู่สหรัฐฯ
และท่าเรือแหลมฉบังของไทยซึ่งเป็นท่าเรือขนาดใหญ่อันดับที่ 19
ของโลกก็เป็นหนึ่งในท่าเรือที่ต้องติดตั้งเครื่องตรวจจับกัมมันตภาพรังสีดังกล่าว
ซึ่งได้เริ่มติดตั้งเครื่องตรวจฯ ตั้งแต่ปี 2548 และเริ่มใช้งานในปี 2550 โดยสหรัฐฯ
ได้ให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิค ติดตั้งอุปกรณ์ และฝึกอบรมบุคลากร
“เมกะพอร์ท” ตรวจเข้ม “อิมพอร์ต-เอกซ์พอร์ต”
นายอำนวย หิรัญสาลี นักวิชาการศุลกากรภาคปฏิบัติการ ศูนย์เอกซเรย์
สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง อธิบายถึงโครงการเมกะพอร์ทว่า
กระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ
ได้ตั้งโครงการติดตั้งเครื่องตรวจจับกัมมันตภาพรังสีที่ท่าเรือ
เพื่อเป็นการป้องกันอาวุธนิวเคลียร์ก่อนเข้าประเทศ
และได้ให้ประโยชน์แก่ประเทศเจ้าของท่าเรือในการป้องกันวัสดุนิวเคลียร์และวัสดุกัมมันตภาพรังสีเข้าสู่ประเทศนั้นๆ
ด้วย โดยจะตรวจสินค้าในตู้คอนเทนเนอร์ทั้งหมดที่ผ่านเข้า-ออกท่าเรือ
ทั้งนี้
ระบบตรวจจับกัมมันตภาพรังสีเป็นระบบปิดที่ออกแบบมาให้รถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ทุกคันต้องผ่านการตรวจ
โดยมีการตรวจทั้งหมด 3 ขั้นตอน ซึ่งเป็นไปตามหลักการ "ดีเทกต์" (Detect) คือ
หาให้เจอว่ามีรังสีหรือไม่ "โลเคต" (Locate) คือ
หาว่าอยู่ตำแหน่งไหนของตู้คอนเทนเนอร์ "ไอเดนทิฟาย" (Identify) คือ
หาให้ได้ว่าเป็นสารอะไร
เนื่องจากวัสดุกัมมันตรังสีบางอย่างไม่เป็นอันตรายและมีอยู่ในธรรมชาติ
แต่หากเป็นวัสดุอันตรายจะแจ้งไปยังสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) ให้เข้าไปเก็บกู้
ฉายขั้นตอนการตรวจหา “วัสดุรังสีต้องสงสัย”
การตรวจขั้นแรก (Primary Inspection) นั้น มีชุดตรวจจับกัมมันตภาพรังสีทั้งหมด 20
ชุด ซึ่งแต่ละชุดเป็นเสาที่ตั้งขนาบข้างทาง ตรงจุดต่างๆ
ที่รถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ขับผ่าน ทั้งขาเข้าและขาออกจากท่าเรือ
หากไม่พบรังสีคนขับรถบรรทุกสามารถนำตู้คอนเทนเนอร์ผ่านไปยังท่าเรือได้ โดยจะได้รับ
“ใบอนุญาตผ่าน” แสดงต่อเจ้าหน้าที่ก่อนลำเลียงตู้คอนเทนเนอร์ลงเรือ
แต่หากพบว่ามีรังสีจากตู้คอนเทนเนอร์ สัญญาณไฟจะกระพริบ
และรถบรรทุกต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจในขั้นที่สอง
อย่างไรก็ดี ในบางครั้งการตรวจพบรังสีในขั้นตอนแรกอาจเป็นผลจากคนขับรถบรรทุก
กลืนรังสีเพื่อการรักษาโรคจากโรงพยาบาล และยังมีสารรังสีตกค้างในร่างกาย
เมื่อตรวจสอบแน่ชัดแล้วรถบรรทุกจึงผ่านไปสู่ท่าเรือได้
ทั้งสินค้าที่สำแดงว่าไม่มีรังสีและสินค้าที่สำแดงว่าเป็นสินค้ามีรังสี
เมื่อผ่านการตรวจขั้นตอนแรกแล้วพบว่ามีรังสี ต้องผ่านเข้าสู่การตรวจขั้นตอนที่สอง
(Second Tertiary)
ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรจะตรวจว่าภายในตู้คอนเทนเนอร์นั้นมีรังสีอะไรบ้าง
ปริมาณรังสีเท่าไร เกิดจากธาตุอะไร
เพื่อเปรียบเทียบกับตารางรายการสินค้าที่มีรังสีกว่า 200 รายการ
“สารรังสีเหมือนลายพิมพ์นิ้วมือ ที่แต่ละชนิดให้ผลออกมาเป็นเส้นกราฟที่แตกต่างกัน”
นายอำนวยกล่าว และบอกว่าสินค้าที่มีรังสีนั้นมีเยอะ
แต่ส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นสินค้าเกษตร เ่ช่น
กล้วยหอมมีรังสีจากการดูดซึมไอโซโทปโพแทสเซียมที่แผ่รังสี หรือ
สินค้าประเภทเซรามิกส์ ล้วนมีรังสีเพราะผลิตจากดินที่มีรังสี เป็นต้น
หากรังสีที่ตรวจวัดได้ตรงกับรายการสำแดงสินค้า รถบรรทุกจะผ่านไปยังท่าเรือได้
แต่หากรังสีไม่ตรงกับรายการสำแดงสินค้า
หรือสำแดงว่าเป็นสินค้าไม่มีรังสีก็ผ่านสู่การตรวจขั้นตอนที่สาม (Tertiary
inspection) ซึ่งในขั้นตอนนี้หากพบสารรังสีต้องสงสัยที่มีความแรงรังสีไม่มาก
เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรจะเป็นผู้เข้าเก็บกู้เอง
แต่หากพบสารรังสีที่มีความแรงรังสีสูงหรือมีความแรงรังสีต่ำแต่เก็บกู้ได้ยากเนื่องจากฟุ้งกระจายหรือเปรอะเปื้อนได้ง่าย
จะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ปส. ที่จะเข้าตรวจและเก็บกู้
นายกิตติพงษ์ สายหยุด นักฟิสิกส์รังสี
จากหน่วยประสานงานเตรียมความพร้อมกรณีฉุกเฉินทางรังสี
สำนักกำกับดูแลความปลอดภัยทางรังสี ปส.อธิบายวิธีการเข้าตรวจสอบในขั้นตอนที่สามนั้น
เจ้าหน้าที่จะยึดหลักความปลอดภัยในการปฏิบัติงานทางรังสี คือ
ใช้เวลาในการรับรังสีให้น้อยที่สุด
โดยนำความแรงจากรังสีที่วัดได้ในเบื้องต้นไปคำนวณว่าเจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติงานได้นานที่สุดเท่าไร
ซึ่งปกติจะมีเวลาสั้นๆ ไม่กี่นาทีจนถึงไม่กี่วินาที
“การเข้าตรวจจะแบ่งเจ้าหน้าที่เป็น 3 ชุด โดยชุดแรกจะตรวจซ้ำว่าเป็นสารรังสีชนิดไหน
มีความแรงรังสีเท่าไหร่
จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดสองจะเข้าเก็บกู้เพื่อจัดการเป็นกากกัมมันตรังสี
ซึ่งจะประสานงานให้สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (สทน.) นำไปกำจัดต่อไป
และเจ้าหน้าที่ชุดสามจะเข้าตรวจซ้ำอีกว่ายังมีรังสีอีกหรือไม่
หากมีอีกจะตรวจและเก็บกู้จนไม่พบรังสี โดยแต่ละชุดจะเข้าทำงานพร้อมกัน 2
คนและจะไม่ให้เจ้าหน้าที่ทำงานซ้ำ ซึ่งบางครั้งอาจต้องใช้ถึง 20 คน”
นายกิตติพงษ์กล่าว
ในการเข้าตรวจวัดรังสีและเก็บกู้วัสดุนิวเคลียร์แต่ละครั้ง
เจ้าหน้าที่ต้องสวมชุดป้องกันการปนเปื้อนของสารรังสี แต่ไม่ป้องกันการได้รับรังสี
และจะไม่สวมชุดป้องกันในกรณีที่ทราบว่าวัสดุนิวเคลียร์เหล่านั้นถูกปิดผนึกมิดชิด
อย่างไรก็ดี กรณีที่ไม่ทราบเจ้าหน้าที่จะสันนิษฐานไว้ก่อนว่า
วัสดุนิวเคลียร์เหล่านั้นฟุ้งกระจายหรือเปรอะเปื้อนได้ง่าย และสวมชุดเข้าปฏิบัติงาน
ทั้งนี้ในการสาธิตเก็บกู้วัสดุนิวเคลียร์นั้น เจ้าหน้าที่ใช้แบริเลียมและไอโอดีน-131
ซึ่งมีความแรงรังสีต่ำ และมีเวลาเก็บกู้นานถึง 10 นาที
แต่ในทางปฏิบัติจริงอาจมีเวลาสั้นกว่านี้มาก
ซึ่งนายกิตติพงษ์ได้ยกตัวอย่างกรณีโคบอลต์-60 ที่สมุทรปราการเมื่อ 10 กว่าปีก่อน
ซึ่งเป็นอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ร้ายแรงที่สุดในเมืองไทย
โดยครั้งนั้นเจ้าหน้าที่มีเวลาในการปฏิบัติงานเพียง 5-6 วินาทีต่อครั้ง
และต้องใช้เจ้าหน้าที่กว่า 20 คนในการทำงาน
ผ่านไป 3
ปียังไม่มีเหตุให้เข้าเก็บกู้วัสดุนิวเคลียร์
นับแต่เริ่มโครงการเมกะพอร์ท นายกิตติพงษ์กล่าวว่าเจ้าหน้าที่ ปส.ยังไม่เคยได้รับการประสานงานให้เข้าเก็บกู้
เนื่องจากสินค้าที่มีรังสีส่วนใหญ่เป็นกล้วยและเซรามิกที่มีรังสีตามธรรมชาติอยู่แล้ว
ส่วนเรื่องการลักลอบนำขยะนิวเคลียร์มาทิ้งนั้น ทาง ปส.ไม่มีข้อมูลว่ามีการลักลอบดังกล่าว
เมื่อใดที่มีการลักลอบต้องผ่านด่านตรวจของกรมศุลกากร
และแม้มีความเป็นไปได้ที่จะมีการทิ้งขยะนิวเคลียร์ลงทะเล
แต่การใช้งานรังสีมีกฎหมายควบคุมทั้งระหว่างประเทศและภายในประเทศ ดังนั้น
โอกาสที่จะมีการเล็ดลอดจึงเป็นได้น้อยมาก
นอกจากการตรวจตามขั้นตอนปกติของระบบแล้ว
ในบางครั้งอาจต้องมีการสุ่มตรวจหาวัสดุกัมมันตรังสีตามข้อมูลของการข่าว
หากแต่นายอำนวยกล่าวว่าสำหรับเมืองไทยแล้วไม่เคยต้องเข้าตรวจตามข้อมูลการข่าว
เนื่องจากประเทศไทยไม่ใช่เส้นทางการลำเลียงอาวุธนิวเคลียร์ ของกลุ่มอัลกออิดะห์
ต่างจากปากีสถานที่จะมีการเข้าตรวจตามข้อมูลการข่าวอยู่บ่อยครั้ง
แม้ว่ามีความเป็นได้ที่จะมีการลักลอบขนส่งวัสดุนิวเคลียร์หรือการขนขยะนิวเคลียร์ไปทิ้งในเส้นทางอื่นๆ
แต่การมีระบบป้องกันที่ท่าเรือขนาดใหญ่ก็เป็นอีกหนึ่งมาตรการที่จะป้องกันการลักลอบทำผิดกฎหมายอย่างโจ่งครึ่ม
อย่างน้อยก็เป็นอีกหนึ่งมาตรการที่จะเพิ่มความลำบากให้แก่ผู้ก่อการร้ายได้
เอ็กซ์เรย์ตู้คอนเทนเนอร์ สกัดกั้นส่งออกสินค้าผิดกฎหมาย
การลักลอบขนสินค้าผิดกฎหมายออกนอกประเทศยังมีอยู่ในปัจจุบัน
แต่เทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถช่วยป้องกันได้
โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าออกผ่านทางท่าเรือขนาดใหญ่อย่างท่าเรือแหลมฉบัง
ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี เป็นท่าเรือขนาดใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก
ที่ในแต่ละปีมีตู้สินค้าผ่านเข้าออกมากกว่า 5 ล้านตู้
และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอีกในอนาคต
สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบังจึงดำเนินการติดตั้งเครื่องเอกซ์เรย์คอนเทนเนอร์
(X-ray Container)
เพื่อช่วยให้การตรวจสอบตู้สินค้าและป้องกันการลักลอบขนส่งสิ่งผิดกฎหมายมีความสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น
โดยไม่จำเป็นต้องเปิดตู้ตรวจทุกตู้
และไม่ทำให้สินค้าภายในตู้เกิดความเสียหายจากทั้งจากการเอกซ์เรย์หรือการเปิดตรวจ
เครื่องเอกซ์เรย์ตู้คอนเทนเนอร์ที่ติดตั้งในท่าเรือแหลมฉบังเป็นแบบติดตั้งถาวร
จำนวน 2 เครื่อง มูลค่าเครื่องละ 540 ล้านบาท
ซึ่งเป็นเครื่องกำเนิดรังสีเอ็กซ์จากไฟฟ้า ให้รังสีเอ็กซ์พลังงานสูง 9
เมกะอิเล็กตรอนโวลต์ สามารถทะลุแผ่นเหล็กที่มีความหนาได้สูงสุด 36 เซนติเมตร
มีประสิทธิภาพในการสแกนตู้คอนเทนเนอร์ 25 ตู้ต่อชั่วโมง
นับว่าเป็นเครื่องเอกซ์เรย์ตู้คอนเทนเนอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย
ซึ่งองค์การอนามัยโลกกำหนดให้ไม่เกิน 10 เมกะอิเล็กตรอนโวลต์
เพราะอาจทำให้สินค้าภายในตู้เกิดความเสียหายหรือเปลี่ยนแปลงทางกายภาพได้
ตู้คอนเทนเนอร์บรรทุกสินค้าส่งออกทุกตู้จะต้องผ่านการชั่งน้ำหนักก่อนเข้าสู่เครื่องเอกซ์เรย์
โดยจะต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 60 ตัน และหากเอกซ์เรย์แล้วพบว่ามีความผิดปกติภายในตู้
หรือภาพเอกซ์เรย์ที่ได้ไม่ตรงกับรายละเอียดของสินค้าที่ได้มีการสำแดงไว้
จึงจะเปิดตู้เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจอีกทีหนึ่ง
ทั้งนี้ สินค้าผิดกฎหมายที่มักพบซุกซ่อนอยู่ในตู้สินค้าส่งออกมีหลายประเภท เช่น
ไม้พยุง พระพุทธรูป อาวุธ วัตถุระเบิด รวมถึงสินค้าเกษตรหลายชนิด เป็นต้น
นอกจากนั้นยังมีระบบเซนเซอร์ตรวจวัดรังสีติดตั้งไว้ร่วมกับเครื่องเอกซ์เรย์ตู้คอนเทนเนอร์
จึงสามารถตรวจสอบหรือสารกัมมันตรังสีที่ซุกซ่อนอยู่ภายในตู้สินค้าได้ด้วย