'มรดกวัฒนธรรมใต้น้ำ' รู้อนุรักษ์..คุณค่ามหาศาล
'มรดกวัฒนธรรมใต้น้ำ' รู้อนุรักษ์..คุณค่ามหาศาล
จาก
หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันพุธ
ที่ 15 กันยายน 2553
ทีมวาไรตี้
เป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้วที่สมบัติล้ำค่าจมอยู่ใต้ทะเล
จากการอับปางของเรือสำเภาที่ถูกคลื่นซัดจมหาย...วันดี คืนดี
ชาวประมงที่ออกเรือตังเกวิ่งลากอวนกลับเข้าฝั่งมานอกจากจะได้ปลาแล้ว
ยังมีวัตถุโบราณ อย่าง ถ้วย ชาม ไห ติดอวนมาด้วย...
ภายใต้ท้องทะเลอันกว้างใหญ่
นอกจากจะเป็นแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิตและพืชพรรณนานาชนิดแล้ว
ใต้ผืนน้ำสีครามยังอุดมไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรม
ทั้งซากเรืออับปางและแหล่งโบราณคดีใต้น้ำอื่น ๆ
บ่งบอกถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของบรรพบุรุษที่มีคุณค่า
และเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ประเมินค่าไม่ได้
ปัจจุบันวัตถุล้ำค่าเหล่านี้กำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยงจากนักล่าสมบัติที่ต้องการวัตถุโบราณจากแหล่งโบราณคดีใต้น้ำต่าง
ๆ นำไปขายให้แก่พวกนิยมของเก่าและค้าในตลาดมืด รวมทั้ง
บางคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์นำวัตถุที่ได้มาเก็บไว้เป็นสมบัติของตนเอง
ซึ่งนับว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและเป็นภัยคุกคามมรดกทางวัฒน
ธรรมใต้น้ำที่ร้ายแรง
ทิม เคอร์ทีส หัวหน้าแผนกวัฒนธรรม องค์การยูเนสโก กรุงเทพฯ
กล่าวถึงแนวทางการปกป้องคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำว่า
ทางยูเนสโกได้บัญญัติสนธิสัญญาระหว่างประเทศ คือ อนุสัญญาว่า
ด้วยการปกป้องคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำขึ้นในปี พ.ศ. 2544
เพื่อส่งเสริมการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำ รวมทั้ง
ขอความร่วมมือจากนานาประเทศในการปกป้อง มรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำ
เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา เรียนรู้ถึงความสำคัญของมรดกทางทะเล
และเกิดความหวงแหนที่จะรักษาไว้เพื่อให้เกิดประโยชน์ เป็นแหล่งศึกษา
ค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ต่อไป โดยมีซากเรืออับปางจำนวนกว่า 3
ล้านลำทั่วโลกและแหล่งโบราณคดีใต้น้ำอื่น ๆ
ที่กำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยงจากนักล่าสมบัติ
ส่วนโครงการในระดับภูมิภาค ได้มีการ จัดตั้งศูนย์
ฝึกอบรมโบราณคดีใต้น้ำแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ณ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพาณิชย์นาวี จ.จันทบุรี ประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2552
ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก รัฐบาลนอร์เวย์
โดยมีหลักสูตรฝึกอบรมภาคทฤษฎีที่สำนักงานโบราณคดีใต้น้ำท่าแฉลบเป็นห้อง เรียนหลัก
และแหล่งโบราณคดีใต้น้ำเรือมันนอก เรือเมล์สมัยรัชกาลที่ 6 ที่ อ.แกลง จ.ระยอง
เป็นภาคปฏิบัติห้องเรียนใต้ทะเล
วัตถุโบราณใต้ท้องทะเลทั้งหลายจะมีคุณค่าและเกิดประโยชน์
หากมีการนำขึ้นมาศึกษาและค้นคว้า...จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงาน ภายใต้ชื่อว่า “โบราณคดีใต้น้ำ”
นอกจากจะทำหน้าที่สำรวจสมบัติที่จมอยู่ใต้ท้องทะเลแล้ว
ยังทำหน้าที่ปกป้องไม่ให้นักล่าสมบัตินำวัตถุเหล่านี้ไปขายด้วยการปักเครื่องหมายห้ามเข้าอีกด้วย
“โลกของการทำงานค้นหาวัตถุใต้ทะเลต่างจากการสำรวจหาหลักฐานบนบกอย่างสิ้นเชิง
เพราะบนบกในระหว่างขุดดินค้นหาหากได้ยินเสียง หรือมีสิ่งผิดปกติทั้งจากสัตว์หรือคน
สามารถที่จะวิ่งหนี หลบ หรือใช้อาวุธป้องกันตัวเองได้ ตรงกันข้ามกับการทำงานใต้น้ำ
เมื่อเกิดอะไรผิดปกติขึ้นทุกคนเหมือนเป็นเป้านิ่ง” เอิบเปรม วัชรางกูร นักโบราณคดี
ชำนาญ การพิเศษ หัวหน้ากลุ่มโบราณ คดีใต้น้ำ สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร
ผู้ผ่านประสบการณ์ใต้น้ำมากว่า 18 ปี เกริ่นนำให้ฟัง
สิ่งที่ทำให้ทราบว่าใต้ทะเลในช่วงใดมีวัตถุที่มีคุณค่าจมอยู่นั้น หัวหน้ากลุ่มโบราณ
คดีใต้น้ำ เล่าให้ฟังว่า การเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ชาวบ้าน
โดยการเดินทางไปในที่ที่ มีชาวประมง ท่าเรือ สะพานปลา
หรือแม้แต่กลุ่มคนที่งมของเก่าขาย กลุ่มคนเหล่านี้ถือเป็นแหล่งข่าวที่ดี
“ตามหลักทฤษฎีจะศึกษาจากประวัติศาสตร์ว่ามีการเดินเรือจากที่ไหนไปถึงที่ไหน
มีการค้ากับใคร ซึ่งในต่างประเทศโดยเฉพาะในแถบตะวันตกจะมีปูมการเดินเรือบันทึกไว้
แต่ในประเทศไทยจะใช้ทฤษฎีอย่างนั้นไม่ได้ จะไปสืบหาเอกสารในหอจดหมายเหตุไม่ได้
เพราะไม่มีปูมบันทึกไว้”
จากการสำรวจที่ผ่านมา วัตถุโบราณถูกพบมากแถบชายทะเลตะวันออกใน จ.ชลบุรี ระยอง
จันทบุรี และตราด ซึ่งน่าจะมาจากการที่มีหมู่บ้านชาวประมงข้อมูลที่ได้จะมาจาก
กลุ่มคนเหล่านี้ ทำให้แหล่งที่พบอยู่ในแถบนี้มาก แต่ยัง
สรุปไม่ได้ว่าพื้นที่แถบนี้มีมากที่สุด เพราะในแถบอื่นยังไม่ได้สืบค้น
หรือศึกษาวิจัยกันอย่างเต็มที่
วัตถุที่พบในแหล่งโบราณคดีใต้น้ำ จะมีทั้งสินค้าและเครื่องใช้ของชาวเรือ
ซึ่งจะจำแนกตามจำนวน คือ ถ้าของรูปร่างคล้าย ๆ กัน จำนวนมากน่าจะเป็นสินค้า
ส่วนของที่มีชิ้นเดียว หรือ 2 ชิ้น ก็น่าจะเป็นของใช้ของชาวเรือ
ซึ่งวัตถุที่สำรวจพบส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าในเรือสำเภาจำพวก เครื่องถ้วย
เครื่องเคลือบของไทย ที่มีต้นกำเนิดที่สำคัญอยู่ 2 ที่ คือ สุโขทัย กับสิงห์บุรี
ซึ่งจะอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 22 ส่วนข้าวของเครื่องใช้มีทั้ง ผ้านุ่ง ผ้าแพร
ที่ยังคงสภาพดีอยู่เพราะน้ำทะเลจะรักษาพวกอินทรียวัตถุได้ดีกว่าบนบก
เพราะบนบกจะมีความชื้น เมื่อแห้งก็จะเปื่อย ผุ แต่ในน้ำจะมีแต่ความชื้นอย่างเดียว
ไม่แห้ง จึงคงทนอยู่ได้นาน รวมทั้ง จี้ กำไลทองคำ เข็มกลัด และหวี
แน่นอนว่าวัตถุโบราณ เหล่านี้จะเป็นที่หมายปองของนักสะสมของเก่า เอิบเปรม
กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ในช่วง 5 ปีแรกที่มีงานโบราณคดีใต้น้ำเกิดขึ้นคือ พ.ศ
2517-2522 ได้รับความนิยมมาก จะมีกลุ่มคนลงไปงมหาของขึ้นมาขาย
ทำให้พวกค้าของเก่าแสวงหาของกัน เมื่อของขาดตลาดแต่ความต้องการยังมีอยู่
พ่อค้าบางคนลงทุนไปติดต่อกับชาวประมงเองเลยก็มี มาในช่วงนี้เงียบหายไป เพราะ
เปลี่ยนมาเป็นอีกยุคหนึ่ง คือจะเป็นยุคของออร์เดอร์ นั่นคือ
ต้องมีคนสั่งก่อนว่าต้องการอะไรถึงจะไปงมหา แต่วัตถุที่ต้องการก็ยังเป็นเครื่องถ้วย
เครื่องชามสังคโลก เหมือนเดิม
การเก็บกู้วัตถุโบราณใต้ทะเลไม่ใช่เรื่องง่าย นักโบราณ คดี ชำนาญการพิเศษ อธิบายว่า
เมื่อได้ข้อมูลจะมีบันทึก ซึ่งจะได้พิกัดของวัตถุทำให้รู้ว่าห่างจากฝั่งกี่กิโลเมตร
น้ำลึกเท่าไร ต่อมาเป็นการวางแผนจัดทีม เตรียมอุปกรณ์
เสร็จแล้วให้ดำเนินการไปตามแผน ที่วางไว้
“เมื่อแล่นเรือมาถึงพิกัดที่หมาย ทิ้งสมอ จากนั้น นักดำน้ำลงไปสำรวจ
ตรงนี้แล้วแต่ความลึก ยิ่งน้ำลึกมากเวลาที่จะทำงานก็สั้นลง
จำเป็นต้องจัดหลายทีมเพื่อการทำงานที่ต่อเนื่อง จะแบ่งเป็น 6 ทีม 12 คน
โดยจะทำงานกันทั้งวัน ถ้าหากน้ำลึก 5-10 เมตร จะใช้ทีมประมาณ 4 คน
โดยจะลงไปสำรวจครั้งละ 2 คน ไม่เกิน 2 ชั่วโมง”
สิ่งแรก คือ การสังเกตวัตถุที่พบแล้วจดบันทึกว่า เห็นอะไรบ้าง พบวัตถุในระยะเท่าไร
ต่อมา สเกตช์ภาพวัตถุโบราณบนกระดาษกันน้ำด้วยดินสอและยางลบ
จากนั้นวัดขนาดของวัตถุด้วยตลับเมตรพร้อมกับถ่ายภาพด้วยกล้องใต้น้ำ สุดท้าย
เก็บวัตถุ โดยจะต้องรู้ด้วยว่าเก็บมาจากตรงไหน ซึ่งจะสามารถ
บ่งบอกเรื่องราวได้คร่าว ๆ อาทิ หัวเรือ ท้ายเรืออยู่ทางไหน
ทิศทางของการจมเป็นอย่างไร เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการศึกษาต่อไป
“การนำวัตถุขึ้นมาจากทะเลเป็นเรื่องใหญ่สำหรับนักโบราณคดีใต้น้ำ”
หัวหน้ากลุ่มโบราณคดีใต้น้ำ กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เนื่องจากวัตถุอยู่ใต้ทะเลมานาน ถ้าน้ำเค็มจัด ๆ
เกลือที่อยู่ในน้ำทะเลจะแทรกซึมเข้าไปอยู่ในวัตถุอะไรก็ตามที่เป็นรูพรุน
เมื่อแห้งจะจับตัวเป็นผลึกจะทำลายรูพรุนให้แตกออก เวลาแตกไม่ได้แตกเป็นชิ้น ๆ
แต่จะกร่อนเป็นผงเล็ก ๆ ส่วนผิวที่เคยเงางาม ก็จะกลายเป็นด้าน
สำหรับการรักษาสภาพ ถ้าเป็น ถ้วยชาม กระเบื้อง เครื่องถ้วย เครื่องสังคโลก
มีเทคนิคง่าย ๆ คือ ล้างให้หมดน้ำเกลือเปลี่ยนถ่ายน้ำไปเรื่อย ๆ
ซึ่งต้องแช่ไว้นานเป็นปี ๆ จากนั้นปล่อยให้แห้ง ส่วน อินทรียวัตถุ อย่าง ไม้
เมื่อเจอแสงแบคทีเรียจะเจริญเติบโต จึงต้องเก็บไว้ในถุงดำ หรือ กระดาษ
ถ้าโดนแสงก็จะเปลี่ยนสีหรือกลายเป็นวุ้นเลยก็มี รวมทั้ง ผ้า หนังสัตว์
จึงต้องใช้เทค นิค คือ ล้างให้หมดความเค็มแล้วเสริมเนื้อ ผิวด้วยวัสดุสังเคราะห์
ทาลงไปเพื่อจะไปช่วยค้ำเซลล์ของวัตถุเอาไว้ เพราะถ้า ปล่อยให้แห้ง จะเกิดการยุบตัว
แต่ต้องเลือกใช้วัสดุสังเคราะห์ให้เหมาะกับวัตถุด้วย
สำหรับ พวกโลหะ จะแช่น้ำจืดไม่ได้ยิ่งถ้าเป็นเหล็กเพราะจะทำปฏิกิริยากับออกซิเจน
ทำให้ขึ้นสนิม จึงต้องแช่ไว้ใน สารเคมีชนิดหนึ่งที่กันออกซิ เจนออก
การแช่ขึ้นอยู่กับขนาดและสภาพ ถ้ายังไม่ขึ้นสนิมล้างน้ำเค็มออกแล้วแช่สารเคมี 2-3
วัน แต่ถ้าขึ้นสนิมต้องล้าง ขูดเอาสนิมออกก่อนแล้วจึง แช่สารเคมีอาจจะนานกว่า คือ
5-7 วัน
เมื่อตรวจสอบปรับสภาพ และทำทะเบียนวัตถุเรียบร้อยแล้ว
ตามหลักการโบราณวัตถุทุกชิ้นจะเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเท่านั้น ยกเว้น
วัตถุบางชิ้นที่อยู่ในขั้นตอนการอนุรักษ์ หรืออยู่ในขั้นตอนการศึกษาเปรียบเทียบ
ตรงนี้นักวิจัยจะต้องขออนุญาตเก็บไว้ศึกษาก่อนเป็นกรณี ๆ ไป
เพื่อเป็นการร่วมกัน อนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าใต้น้ำ ทุกคนสามารถ
มีส่วนร่วมได้ คือ หากใครไปเที่ยวดำน้ำแล้วพบวัตถุโบราณใต้ทะเล
ขอให้จดบันทึกว่าเห็นอะไร พบที่ไหน ระบุตำแหน่ง จดสภาพแวดล้อม ความลึก
ระยะห่างจากบนบกแล้วรายงานมายังกรมศิลปากรเพื่อดำเนินสืบค้นต่อไป.