รายแรกของไทย! อากาศยานไร้คนขับ “ฟูเว็ก” อยู่ในอากาศได้ 4 ชม. บินได้ 2 พันเมตร
รายแรกของไทย! อากาศยานไร้คนขับ “ฟูเว็ก” อยู่ในอากาศได้ 4 ชม.
บินสูงสุด 2 พันเมตร
จาก
หนังสือพิมพ์ มติชน วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ.2560
โดย ปาณตะวัน
pantawan @ hotmail.com
อากาศยานไร้คนขับ คืออะไร
“อากาศยานไร้คนขับ” หรือ “อากาศยานไร้นักบิน”
มีชื่อเรียกเป็นสากลว่า “ยูเอวี” (Unmanned Aerial
Vehicle: UAV) เป็นอากาศยานที่ไม่มีนักบินประจำการอยู่บนเครื่อง
แต่สามารถควบคุมได้ด้วยระบบควบคุมอัตโนมัติระยะไกล ซึ่งต้องอาศัยโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ที่มีระบบซับซ้อนติดตั้งไว้ในอากาศยาน อาจกล่าวได้ว่า อากาศยานไร้คนขับ
ก็คือเครื่องบินที่สามารถบินได้ด้วยระบบอัตโนมัติ
โดยไม่ต้องใช้นักบินประจำการอยู่บนอากาศยาน อาจมีการติดตั้งกล้องถ่ายภาพคุณภาพสูง
ทั้งกล้องถ่ายภาพกลางวันและกล้องถ่ายภาพในเวลากลางคืน
ปัจจุบัน มีการเรียกขานอากาศยานไร้คนขับว่า “โดรน” (Drone)
ความจริง “โดรน” เป็นอากาศยานไร้คนขับเช่นกัน แต่แตกต่างจาก “ยูเอวี”
อย่างสิ้นเชิง เพราะ “โดรน” บินขึ้นลงในแนวดิ่ง ขับเคลื่อนด้วยใบพัดซึ่งมีมากกว่า 1
ใบพัดเสมอ “โดรน” ยังถูกมองว่าเป็นอากาศยานไร้คนขับที่ผลิตในลักษณะ mass products
คือ ผลิตทีละจำนวนมากเพื่อการค้า ในขณะที่ “ยูเอวี” ผลิตแต่ละตัวต้องใช้เวลานาน
และใช้วัสดุคุณภาพสูงกว่า ระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้บังคับมีความซับซ้อนมากกว่า
บินไปได้ไกลลับสายตาก็สามารถควบคุมได้ แต่โดรนบังคับบินได้ในระยะที่สายตามองเห็น
ใฝ่ฝันอยากเป็นนักบินไม่สำเร็จ
พลิกลำ ผลิตอากาศยานไร้คนขับได้สำเร็จ
ด้วยความใฝ่ฝันอยากเป็นนักบินมาตั้งแต่เด็ก
เมื่อโตขึ้นเป็นนักบินไม่ได้ ผันชีวิตเป็นคนสร้างเครื่องบินเสียเลย
ถือว่าไปไกลเกินความใฝ่ฝัน คุณกรณรงค์ ถึงฝั่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท
ท๊อป เอ็นจิเนียริ่ง คอร์ปอเรชั่น
จำกัด รับช่วงต่อจากบิดา คุณชาญณรงค์ ถึงฝั่ง
ผู้ริเริ่มสร้างอากาศยานไร้คนขับเป็นเจ้าแรกของประเทศ เมื่อต้องมาสืบทอดธุรกิจ
จึงจำเป็นต้องศึกษาเรื่องอากาศยานและด้านการบินมากขึ้น
แม้ไม่ใช่นักบินโดยตรงแต่ก็เดินบนเส้นทางการบินระดับแนวหน้าของประเทศ
ผู้บริหารหนุ่มวัย 35 ปี กล่าวว่า
แต่เดิมบริษัทได้ทำการวิจัยและพัฒนาเครื่องอากาศยานไร้คนขับแบบขึ้นลงทางดิ่งมาก่อนแล้ว
2 รุ่นคือ รุ่นแรกให้ชื่อว่า “พีเจี้ยน : Pigeon” (นกพิราบ) เป็น UAV ไซซ์เล็กขนาด
1.8 เมตร ราคาเริ่มต้นที่ 6 ล้านบาท
พร้อมซอฟต์แวร์สำหรับงานที่มีข้อกำหนดเฉพาะหรืองานในพื้นที่และความสูงที่ถูกจำกัด
ต่อมาทางบริษัทได้พัฒนาอากาศยานไร้คนขับขึ้นมาอีกรุ่นให้ชื่อเป็นนกอีกประเภทหนึ่งว่า
“ฟอลคอน : Falcon” (นกเหยี่ยว) รุ่นนี้มีขนาดปีกที่ใหญ่ขึ้นแต่น้ำหนักเบา
มีข้อดีตรงประหยัดและมีศักยภาพมากขึ้น เหมาะกับงานด้านแผนที่ งานลาดตระเวน
จุดเด่นของฟอลคอนคือ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าที่มีความเงียบ
ล่าสุด ได้พัฒนาอากาศยานไร้นักบินขึ้นมาใหม่รุ่นที่ 3 ให้ชื่อว่า “ฟูเว็ก
: Fuvec” (ซึ่งมาจาก Fixed-wing Unmanned aerial vehicle
with Vertical takeoff and landing Enabled Capability) มีขนาดใหญ่ที่สุด
4.5 เมตร และมีความสามารถมากกว่าทุกรุ่น อยู่ในอากาศได้ 4 ชั่วโมงครึ่ง
บินได้สูงสุด 2,000 เมตร ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 120 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง
และความเร็วขับเคลื่อน 100 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง
มีทั้งเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันและใช้ไฟฟ้า
มีฟังก์ชั่นระบบสื่อสารที่มีประสิทธิภาพสูง รุ่นฟูเว็กนี้ราคาเริ่มต้นที่ 10
ล้านบาท ประกอบด้วย ฮาร์ดแวร์ที่ทนทาน เหมาะสำหรับการใช้งานเฉพาะกิจ
มีระบบกล้องดิจิตอลชัดเจน พร้อมการบำรุงรักษาที่เพิ่มเติมขึ้นมา หากใส่ออฟชั่นเต็มที่ราคาเขยิบขึ้นไปอีกที่
25 ล้านบาท ทั้งนี้เฉพาะตัวเครื่องอย่างเดียว ราคาก็พุ่งอยู่ที่ 6-7 ล้านบาทแล้ว
“ทั้ง 3 รุ่นเราใช้หลักการในการผลิตเดียวกัน
เป็นอากาศยานปีกแข็งเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ขนาด น้ำหนัก กล้องที่เอาขึ้นไปได้
ซึ่งเกี่ยวข้องกับภารกิจที่แตกต่างกัน เช่น
หากมีความต้องการทำแผนที่ที่ไม่ละเอียดมาก รุ่นพีเจี้ยนสามารถแบกกล้องขนาดเล็ก
ซึ่งก็เพียงพอสำหรับการใช้งานนั้นได้
แต่ถ้าต้องการทำแผนที่ทหารอาจต้องใช้กล้องตัวใหญ่ น้ำหนัก 5 กิโลกรัม
ก็จำเป็นต้องใช้ฟูเว็กหรือพัฒนาตัวใหม่ ซึ่งที่ผ่านมา
กรมแผนที่ทหารเคยส่งความต้องการจะใช้กล้องตัวใหญ่กว่า 20 กิโลกรัม มาให้เรา
หากได้ทำงานร่วมกันจริง คิดว่าอาจต้องผลิตรุ่นใหม่ขึ้นเพื่อรองรับความต้องการนั้น”
ยอมรับ Fuvec คุณภาพเหนือชั้น
โมเดลต้นแบบอากาศยานไร้นักบิน
คุณกรณรงค์ เปิดเผยถึงที่มาของฟูเว็ก
ซึ่งเป็นผลงานที่เกิดจากโครงการงานวิจัยร่วมกัน 3 ฝ่ายคือ หน่วยงานของรัฐ นักวิจัย
และเอกชน เรียกได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นตามใบสั่ง (Made to Order)
ที่เกิดจากทางกองทัพเรือต้องการผลักดันให้อากาศยานไร้นักบินที่อยู่ในงานวิจัยถูกนำมาใช้จริง
และตอนนี้ได้เข้าไลน์การผลิตจริงตามโครงการวิจัยไปแล้ว 2 ตัว
โดยตัวแรกได้รับการผลิตเสร็จทุกกระบวนการแล้ว มีลักษณะการทำงานคล้ายคลึงกับมัลติโรเตอร์
(โดรน) เพียงแต่สามารถบินอัตโนมัติได้ไกลลับตา มีจุดเด่นเป็นการบินระบบอัตโนมัติ
วางแผนให้เครื่องไปได้เองโดยไม่ต้องบังคับ เพียงใส่โปรแกรมตั้งไว้ให้บินตามระยะทาง
เส้นทางหรือระยะเวลาที่กำหนด เพื่อทำแผนที่ ลักษณะเหมือน Google Map
โดยสามารถถ่ายภาพจากหัวกล้อง จากนั้นภาพจะถูกส่งกลับมาที่กราวน์สเตชั่น
รูปแบบการทำงานก่อนจะเป็นฟูเว็กนั้น คุณกรณรงค์ เล่าว่า
ทางฝั่งกองทัพเรือเป็นผู้กำหนดความต้องการหรือตั้งโจทย์ให้ทางบริษัท ท๊อป เอ็นจิเนียริ่ง
คอร์ปอเรชั่น เป็นผู้พัฒนาแบบ เช่น ให้ขึ้นลงเรือได้ ซึ่งฟูเว็กออกแบบให้มีขนาดใหญ่จึงตอบสนองได้
ตามด้วยความต้องการกล้องกิมบอล (Gimbal) ที่ปรับขึ้นลงได้
ถ่ายภาพได้ทั้งกลางวันกลางคืน จึงเลือกใช้กล้อง Flir
ที่สามารถถ่ายภาพกลางคืนได้ชัดเจน เป็นต้น บริษัท ท๊อป เอ็นจิเนียริ่ง
คอร์ปอเรชั่น จำกัด มีความรู้ด้านตัวเครื่อง
ทำหน้าที่ดีไซน์ตัวเครื่องทั้งภายนอกและภายใน
ออกแบบการขึ้นลงแนวดิ่งที่มีความเชี่ยวชาญ
โดยมีกำหนดส่งตัวเครื่องอากาศยานไร้คนขับรุ่นฟูเว็ก ให้กับกองทัพเรือทั้งสิ้น 4
เครื่อง
“โครงการวิจัยนี้ทำเพื่อทดสอบว่าคอนเซ็ปต์ของ Vtol Takeoff Landing
ใช้ได้จริง และพิสูจน์ว่าสามารถพัฒนาขึ้นภายในประเทศได้จริง
สามารถนำไปต่อยอดเป็นอากาศยานปีกแข็งที่มีความสามารถในการทำงานมากกว่าตัวมัลติโรเตอร์
(โดรน) และยังมีจุดเด่นไม่ต้องใช้รันเวย์แข็ง ระยะบินไกล ควบคุมอัตโนมัติเกือบ 100%
และถึงแม้ข้อดีของระบบออโต้ไฟลอตจะแก้ไขได้เร็วกว่าคนบังคับ
แต่ก็ต้องวางแผนให้ปลอดภัยกว่าปกติ โอเปอเรเตอร์ต้องวางไฟล์แพลนอย่างละเอียดรอบคอบ
ดีไซน์ให้มีจุดแก้ไขตอนที่เครื่องบินอยู่กลางอากาศได้ ไม่ทำอะไรที่เกินลิมิตของเครื่อง
เมื่อจบโครงการแล้ว ทีมงานก็จะมาสรุปว่าเราเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมจากตรงนี้บ้าง
ซึ่งมีทั้งข้อดีของการดีไซน์ และมีจุดที่ควรปรับพัฒนาเพิ่มเติมต่อ
และด้วยข้อดีที่เป็นโครงการวิจัยร่วมที่ต้องสร้างโปรดักต์ทนทาน (Durable)
ผ่านการศึกษาวิจัยที่มั่นคง และมีผู้ใช้งานคือทหารและหน่วยงานภาครัฐ
ทำให้เราสามารถบอกได้เลยว่า อยากจะพัฒนาอะไร จุดไหนเพิ่มเติมก่อนเข้าไลน์การผลิต
ท้ายที่สุดเราก็ยังได้องค์ความรู้ในการพัฒนาอากาศยานปีกแข็งให้ได้ผลลัพธ์ดี
ใช้งานการทหารได้สมบูรณ์ ใช้ง่ายและทนทานขึ้น เกิดไอเดียว่าจะพัฒนาระบบป้องกันตัวเครื่องเองให้ได้เหมือนอากาศยานประเภทมัลติโรเตอร์
(โดรน)”
หน่วยงานของรัฐ-เอกชน
คือลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
ถึงแม้ว่า บริษัท ท๊อป เอ็นจิเนียริ่ง คอร์ปอเรชั่น
จะเป็นผู้ผลิตอากาศยานไร้คนขับเจ้าเดียวในประเทศ ที่มีความครบวงจรคือ
บินได้อัตโนมัติ มีจุดเด่นสามารถบินโชว์ได้ การซ่อมบำรุงก็ง่ายกว่า
นับเป็นโอกาสให้เปิดตลาดได้ง่าย
แต่ความจริงแล้วลูกค้ายังมีคำถามที่ว่าจะทำได้จริงหรือ เพราะถ้ายังไม่มีคนซื้อ
ผู้ผลิตก็ต้องทำเดโม (ของตัวอย่าง) ให้ดูก่อน จึงนับเป็นอุปสรรคของ First Comer
(ผู้ผลิตรายแรก) พอสมควร
แต่หากมีหน่วยงานหลักอย่างภาครัฐสนับสนุนผลักดันให้ผลงานจากผู้ประกอบการใช้ได้จริง
ย่อมทำให้เอกชนมองเห็นและเชื่อมั่นได้ในที่สุด
คุณกรณรงค์ เล่าว่า ที่ผ่านมาโรงเรียนนายร้อย จปร.
เองมีความพยายามจะทำแผนที่ผ่านการใช้เครื่องมัลติโรเตอร์ ซึ่งต้องบังคับด้วยมือ
ทำให้ภาพถ่ายเกิดข้อผิดพลาดและยังทำไม่สำเร็จ ครั้น บริษัท ท๊อป เอ็นจิเนียริ่ง
คอร์ปอเรชั่น เข้าไปเสนอและมีโอกาสได้ทำเดโมแผนที่ให้โดยบินชั่วโมงเดียว
ก็สามารถแก้ปัญหาให้ลูกค้าและทำได้อย่างสมบูรณ์กว่า
นอกจากนั้นยังมีหน่วยงานภาครัฐมากมายที่สนใจซื้ออากาศยานไร้นักบินขนาดย่อมลงมาอย่างรุ่นพีเจี้ยน
เพื่อใช้ทำแผนที่ไว้ใช้เองในองค์กร อาทิ กรมชลประทาน กรมอุทยานแห่งชาติ
กรมป่าไม้ กรมประมง ซึ่งทุกองค์กรอยากให้ทางบริษัททำเดโมหรือทำตัวอย่างบินโชว์ให้ดู
แต่ด้วยเหตุที่ต้องเตรียมตัวทำโครงการวิจัยร่วมกับกองทัพเรือ
จึงทำให้บริษัทยังไม่มีโอกาสได้ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าเหล่านั้นได้ทันใจ
“กลุ่มลูกค้าทั้งภาครัฐ ทหาร หรือแม้แต่หน่วยงานกรุงเทพมหานคร
ก็มีความต้องการอยากซื้อ หรือแม้กระทั่งหน่วยงานเอกชน
อย่างบริษัทน้ำมันในประเทศก็สนใจรุ่นพีเจี้ยน
เพื่อนำไปตรวจยามชายฝั่ง เพื่อแก้ไขข้อจำกัดเรื่องขาดคนงานหรือมีความจำเป็นเร่งด่วน
รวมถึงภาคการปกครองก็ยังมีความต้องการให้หน่วยงานระดับจังหวัด
ได้มีอากาศยานไร้คนขับไว้ใช้งาน รอแค่ให้เราเข้าไปนำเสนอเท่านั้น ในขณะเดียวกัน
เราก็ให้ความสำคัญกับการรักษาฐานลูกค้า ต้องยึดถือโปรดักต์เป็นหลัก ยูนิตแรกต้องสมบูรณ์
เพราะความเป็นมืออาชีพเป็นสิ่งเดียวที่ผูกพันตัวผู้ผลิตกับลูกค้าไว้ได้
อย่าให้ลูกค้ามีทัศนคติว่า “เป็นของไทย ลองใช้ก่อน”
แต่ต้องทำให้เห็นถึงคุณภาพเป็นอันดับแรก เพราะสิ่งนี้จะส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ
ซื้อซ้ำ และบอกต่อ”
ฝีมือและคุณภาพไม่หวั่น
หวั่นขาดบุคลากรสายตรง
อย่างไรก็ตาม การผลิตอากาศยานไร้คนขับรายแรกของประเทศ
ยังมีอุปสรรคเบื้องต้นเรื่องบุคลากร
เพราะสายงานนี้ยังขาดกำลังคนที่จบการศึกษาด้านนี้โดยตรง
ถึงแม้จะมีหลายสถาบันที่มีองค์ความรู้ใกล้เคียงกันอย่าง คณะวิศวกรรมการบินและอวกาศ
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หรือสถาบันการบินพลเรือน ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
แต่การศึกษาด้าน UAV โดยตรงยังมีผู้ศึกษาน้อยมาก
ในขณะที่ผู้ประกอบการยังมีความต้องการบุคลากรในระดับปฏิบัติงาน (Technical) ที่จบ
ปวช. ปวส. และมีความรู้เรื่องนี้หรือการทำโรโบติกส์เกี่ยวกับหุ่นยนต์ได้เช่นกัน
“ผมมั่นใจว่าในแง่องค์ความคิดนั้น
คนไทยไม่แพ้ต่างชาติ เพียงแต่คนที่จะเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้ยังน้อย
ค่าใช้จ่ายในการทำ R&D อาจจะมากกว่า
อีกทั้งด้านวัสดุศาสตร์ของเรื่องนี้ก็ยังมีน้อยในเมืองไทย กลายเป็นอุปสรรคพอสมควร
ผมวางแผนไว้ว่าครึ่งปีหลัง บริษัทจะเตรียมทำเวิร์กช็อปหากำลังคนมารับไลน์การผลิตที่เพิ่มขึ้น
กฎหมายของการใช้ UAV
เนื่องจากกฎระเบียบที่ว่าห้ามบินเกินระยะสายตาหรือเกินความสูง 90 เมตร
ตลอดจนเรื่องการแบ่งน้ำหนัก หากเกิน 25 กิโลกรัม ผิดกฎหมาย ในขณะที่น้ำหนักของฟูเว็กซึ่งออกแบบมาเพื่อบินไกล
มีน้ำหนักเกินกว่าที่กำหนด จึงจดทะเบียนไม่ได้
สามารถใช้ได้ในภาคความมั่นคงอย่างเดียว
ซึ่งข้อจำกัดตามกฎหมายอาจส่งผลให้ธุรกิจพัฒนาต่อไม่ได้
ทำให้เอกชนที่อยากซื้อเกิดความลังเลที่จะซื้อเพื่อนำไปใช้งาน
ถึงแม้ในอนาคตเราจะมีคู่แข่ง
ซึ่งเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว หากรัฐไม่แก้ไขกฎระเบียบ กฎหมาย
และมีมาตรการสนับสนุนการเงิน นโยบายทางภาษีที่ชัดเจนและเหมาะสม
คนกลุ่มนี้อาจไปขายไอเดียให้ต่างชาติได้ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต”
คุณกรณรงค์ ถึงฝั่ง กรรมการผู้จัดการบริษัท ท๊อป เอ็นจิเนียริ่ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด
กล่าวถึงโอกาสและอุปสรรคในการทำธุรกิจผลิตอากาศยานไร้คนขับอย่างไม่ปิดบัง
และทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศในอนาคต
ข้อมูลเพิ่มเติม:
บริษัท ท๊อป
เอ็นจิเนียริ่ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด