ตำนานเกาะมนุษย์ยักษ์ เกาะซานตา คาตาลินา ในบราซิล
ตำนานเกาะมนุษย์ยักษ์ เกาะซานตา คาตาลินา ในบราซิล
จาก
เว็บไซต์โลกวันนี้ วันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2560
โดย วันศิลป์
อิศเรศ
Ralph Arthur Glidden (1881-1968)
ทุกชาติต่างมีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับคนร่างสูงใหญ่ผิดมนุษย์มนาหรือที่เราเรียกกันว่า
“ยักษ์” แต่ไม่มีใครสามารถแสดงหลักฐานยืนยันได้ว่ายักษ์เคยมีอยู่จริง
จนกระทั่งมีผู้ค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ที่มีความสูงระหว่าง 200-300 เซนติเมตร
จำนวนมากบนเกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง
เกาะซานตา คาตาลินา อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ห่างจากชายฝั่งรัฐแคลิฟอร์เนียราว 22
ไมล์ เป็นเกาะเล็กๆขนาดกว้าง 8 ไมล์ ยาว 22 ไมล์ ส่วนหนึ่งของหมู่เกาะแชนเนล เมื่อ
7,000 ปีก่อนคริสตกาลเคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวอินเดียนแดงเผ่าเกเบรลิโน-ตองวา
ปี 1542 สเปนเข้ายึดครองเกาะซานตา คาตาลินา และต่อมาได้ขายให้กับเม็กซิโก
ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จอร์จ ชัตโต นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชาวอเมริกัน
ได้ซื้อเกาะซานตา คาตาลินา สร้างโรงแรมที่พัก
ฟื้นฟูสภาพเกาะให้กลับมาเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยได้อีกครั้ง
สุสานอินเดียนแดง
ปี 1896 ราล์ฟ กลิดเดน หนุ่มน้อยวัย 15 ปีชาวรัฐมิชิแกน
ติดตามพ่อแม่มาอาศัยอยู่บนเกาะซานตา คาตาลินา
วันหนึ่งขณะที่เดินหาหอยมุกริมหาดบนเกาะซาน นิโคลัส
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะแชนเนลเช่นเดียวกัน
เขาบังเอิญไปพบหัวกะโหลกมนุษย์โบราณ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาราล์ฟก็สนใจในโบราณคดี
ราล์ฟเริ่มต้นขุดหาสุสานโบราณบนเกาะซานตา คาตาลินา ช่วงระหว่างปี 1919-1928
ราล์ฟค้นพบหลุมฝังศพโบราณราว 800 แห่ง
แน่นอนว่าเขาพบข้าวของเครื่องใช้โบราณจำนวนหลายพันชิ้นในหลุมฝังศพ
ราล์ฟขายวัตถุโบราณที่พบให้กับนักสะสม
ปี 1919 วิลเลี่ยม ริกลีย์ จูเนียร์ เจ้าของธุรกิจหมากฝรั่งชื่อดัง ซื้อเกาะซานตา
คาตาลินา เพื่อทำกาสิโน
วิลเลี่ยมได้ข่าวว่าราล์ฟค้นพบวัตถุโบราณจำนวนมากบนเกาะแห่งนี้
เขาจึงออกคำสั่งให้นำวัตถุโบราณทั้งหมดมอบให้กับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชิคาโก
ก่อนหน้านั้นราล์ฟได้ตกลงทำสัญญาว่าจ้างกับมูลนิธิเฮย์
เขาจึงแอบเก็บวัตถุโบราณชิ้นงามๆเพื่อส่งมอบให้กับมูลนิธิ
และส่งวัตถุโบราณพื้นๆให้กับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชิคาโก
เมืองคนยักษ์
ปี 1924 มูลนิธิเฮย์ตัดงบประมาณที่เคยให้กับราล์ฟทั้งหมด
ทำให้เขาต้องดิ้นรนหารายได้ด้วยการเปิดพิพิธภัณฑ์ข้างถนน
เก็บบัตรผ่านประตูเข้าชมเครื่องใช้โบราณและโครงกระดูกอินเดียนแดงคนละ 35 เซ็นต์
ที่น่าสนใจมากที่สุดก็คือโครงกระดูกมนุษย์โบราณที่มีความสูงระหว่าง 7-9 ฟุต หรือราว
210-270 เซนติเมตร และข้าวของเครื่องใช้ที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารจำนวนมาก
ราล์ฟไม่ได้เป็นคนเดียวที่พบโครงกระดูกมนุษย์ยักษ์ ในปี 1913 ดร.อเล็กซ์
เฟอร์สตีนาน นักโบราณคดีชาวเยอรมัน เคยพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณขนาดความสูง 8 ฟุต
หรือราว 240 เซนติเมตร บนเกาะซานตา คาตาลินา เช่นเดียวกัน
ที่น่าประหลาดใจก็คือ อเล็กซ์จดบันทึกว่า
เขาพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณฝังอยู่บนชายหาดทรายดำที่อ่าวอวาลอน
แต่เมื่อขุดโครงกระดูกขึ้นมามันก็ยุ่ยกลายเป็นผง
เหลือแต่หัวกะโหลกกับกระดูกข้อต่อเท้าเท่านั้น
ปี 1959 ราล์ฟพบโครงกระดูกขนาดความสูง 7 ฟุต บนเกาะซานตา คาตาลินา
หัวกะโหลกมีฟันซ้อนกัน 2 แถว มีนิ้วมือและนิ้วเท้าข้างละ 6 นิ้ว
แต่นักโบราณคดีหลายคนเคลือบแคลงสงสัยว่าราล์ฟอาจกุเรื่องมนุษย์ยักษ์ขึ้นมาเพื่อหาทุนสำรวจหมู่เกาะแชนเนล
ภาพมันฟ้อง
คำกล่าวอ้างของราล์ฟสามารถพิสูจน์ได้ไม่ยากเพียงแค่นำวัตถุพยานมาแสดงต่อสาธารณชนเท่านั้นเอง
แต่พิพิธภัณฑ์ที่ถูกอ้างว่าได้รับมอบโครงกระดูกมนุษย์ยักษ์ต่างออกมาปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยได้รับสิ่งของเหล่านั้น
ปี 1962
ราล์ฟนำวัตถุโบราณทั้งหมดที่เขาแอบเก็บเอาไว้ขายทอดตลาดให้กับนักสะสมด้วยราคา 5,000
ดอลลาร์ ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในวัย 87 ปีเมื่อปี 1967
ไม่มีใครรู้ว่าราล์ฟขายวัตถุโบราณให้กับใคร
และมีโครงกระดูกมนุษย์ยักษ์รวมอยู่ด้วยหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ราล์ฟได้ถ่ายภาพระหว่างการสำรวจเป็นจำนวนมาก
แม้ว่าภาพถ่ายจำนวนมากจะสูญหายไปตามกาลเวลา
แต่ก็ยังมีเอกสารและภาพถ่ายส่วนหนึ่งถูกพบเมื่อปี 2012
เก็บรักษาไว้ในกล่องเก่าๆใบหนึ่งในพิพิธภัณฑ์เกาะซานตา คาตาลินา
หนึ่งในภาพถ่ายเป็นภาพโครงกระดูกที่มีราล์ฟยืนอยู่เบื้องหลัง เอล.เอ. มาร์ซูลลิ
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องลี้ลับ
วิเคราะห์ภาพถ่ายโดยอาศัยการเปรียบเทียบส่วนสูงของราล์ฟที่มีความสูง 5 ฟุต 8 นิ้ว
โครงกระดูกในภาพจะมีความสูงราว 8 ฟุต 9 นิ้ว
ซึ่งความสูงขนาดนี้สามารถเรียกว่ายักษ์ได้เต็มปากเต็มคำอย่างไม่มีข้อสงสัย
ภาพลวงตา
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาพถ่ายยังไม่มั่นใจสักเท่าไรนัก
โดยเฉพาะภาพถ่ายโครงกระดูกที่มีราล์ฟยืนอยู่ด้านหลัง
ซึ่งพวกเขาอธิบายว่าโครงกระดูกอยู่ใกล้เลนส์กล้องมากกว่าราล์ฟ
จึงทำให้มันดูใหญ่โตเกินกว่าความเป็นจริง
ผู้ที่มีความรู้ด้านการถ่ายภาพติเตียนการวิเคราะห์ภาพถ่ายของ เอล.เอ. มาร์ซูลลิ
ทำให้เขาต้องกลับมาทบทวนใหม่และจำลองภาพ 3 มิติ
เพื่อคำนวณหาขนาดของโครงกระดูกในภาพถ่ายอีกครั้ง
และพบว่าโครงกระดูกในภาพมีความสูงไม่น่าเกิน 7 ฟุต
แม้ว่า เอล.เอ. มาร์ซูลลิ จะวิเคราะห์ความสูงโครงกระดูกผิดพลาดไปถึง 1 ฟุต 9 นิ้ว
หรือกว่า 50 เซนติเมตร
แต่ก็ยังนับได้ว่าเป็นโครงกระดูกที่มีความสูงเกินกว่าค่าเฉลี่ยของคนปัจจุบันอยู่ดี
แต่ไม่มากจนน่าตกอกตกใจเท่าไรนัก
มนุษย์ยักษ์บนเกาะซานตา คาตาลินา
ยังคงเป็นที่ถกเถียงว่ามีอยู่จริงตามที่ปรากฏในบันทึกของราล์ฟหรือเป็นเรื่องที่ราล์ฟกุขึ้นมาเพื่อสร้างกระแสเท่านั้น
เราไม่อาจรู้ได้จนกว่าจะมีใครนำวัตถุหลักฐานที่สามารถจับต้องได้ออกมายืนยัน