โดย : ทะเลงาม
ต้องขอขอบคุณ ท่านบรรณาธิการ ที่ได้กรุณาจัด เรื่องนิทานลงต่อเนื่อง และขอบคุณท่านสมาชิก และคุณครูที่ท่านเห็นด้วยกับการพลิก สมุดจดหมายเหตุ สืบเสาะหาเรื่องที่บางท่านอาจจะลืมไป เอามาเล่าสู่กันฟัง คราวนี้ พลเรือตรี พาศศักดิ์ ลางคุลเสน มี ควันหลง นำเอา เรื่องนี้ มาเล่าเกี่ยวกับ “ อภินิหาร ของ แม่ย่านางเรือรบหลวง ภูเก็ต ” ( เรือตอร์ปิโดร์ใหญ่ ) ที่ท่านเป็นรองต้นกลอยู่ ว่า ในการออกเรือเพื่อฝึกภาค ทางยุทธวิธี ประจำปีสี่กองเรือในสมัย ปี 2500 กว่าๆ นั้น ท่าน ผบ.เรือ พลเรือโท นิยม ปาละกูล ซึ่งท่านมียศนาวาตรีในขณะนั้น ก็ทำการไหว้บวงสรวงแม่ย่านางเรือตามระเบียบ แล้วก็ออกเรือทำการฝึกตามปกติ จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักสองวัน ผบ.เรือ กับ ต้นกลเรือ ก็นึกถึง แม่โขง (ไม่น่า หายไปจากวงสุราไทยเลย) ที่ลาจากแม่ย่านางได้ แล้วนึกอยากจะร่ำสุราเป็นลูกช้างแม่ย่านาง จึงเรียกบ๋อยนำสุราแม่โขงขวดนั้นมา รับประทานเรียกน้ำย่อยกัน หลังจากนายทหารที่ร่วมวงดื่มสุราไป ทั้งผสมโซดาหรือบางท่านนิยม แบบเพียว ตบตูด ก็ทำหน้าตาเฝื่อนๆ มองดูตากันทำนองว่าอยากจะพูดอะไรออกมาสักประโยคหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ตรงกันทุกนายว่า เหตุไฉน หนอ สุราจึงได้จืดชืด ไม่มีรสชาด เอาเสียเลย ถึงกับ ผบ.เรือท่าน พาล พาโล บอกว่านี่สงสัย แม่ย่านางเรือดื่มรสเหล้าไปหมดแล้ว กระมัง หรือบ๋อยหยิบขวดผิดมา จึงเรียกพลทหารรับใช้ มาถามให้แน่ชัด ซึ่งในที่สุด บ๋อยก็บอกว่า “ผมเห็นมีเหล้าเหลือในแก้วที่รินไว้ ก็เลยเทคืนลงไปในขวดอีกทั้งๆ ในแก้วนั้นมีขี้เถ้าธูปตกลงไปทั้งหมด “ ซึ่งนายทหารทุกนาย ก็เลยถอนหายใจโล่งอกไปที่ว่า แม่ย่านางท่านคงไม่เฮี้ยน !! ขนาดทำให้เหล้าจืดได้ และนี่ก็คือเรื่องที่นำมาคุยกันเล่นได้กันลืมในวงสุรา
เรื่องที่นำมาเป็นนิทาน ในตอนนี้ คงจะขอสานต่อจากเรื่อง “ กรรมดีกรรมชั่ว” และก็ “ กรรม เห็นทันตา” แม้ว่าผู้เขียนจะผ่านโลกมาเป็น เวลาเพียง 23,520 วัน แต่ ชีวิตก็ผ่านร้อน ( 52 องศา C ที่ เมืองท่า Abadan, Iran ) หนาว ( – 29 องศา C ที่ Dalian, China ) และ เห็นว่า หนาว น่าจะดีกว่าร้อน แต่ไม่แน่นะครับว่า บางท่านอาจจะชอบร้อนมากกว่าหนาว แต่อากาศร้อน ผู้เขียนว่าทรมานมากกว่า ถ้าเครื่องแอร์ปรับอากาศเสีย เคยเห็น คนที่แพ้อากาศร้อนมากๆ ลิ้นห้อยออกมาตลอดเวลาเลย ส่วนความหนาว ห้องเครื่องจักร์และหม้อน้ำของเรือสามารถให้ความร้อนกับเครื่องอุณหภูมิ ปรับความร้อนในเรือ ช่วยได้
ขอกลับมาถึงเรื่อง “กรรม” ซึ่ง ต้องขอพึ่ง พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ที่ บัญญัติไว้ว่า “ กรรม คือ การกระทำ ที่ส่งผลร้ายมาถึงปัจจุบัน หรือซึ่งจะส่งผลร้ายต่อไปในอนาคต ” แล้วก็ยกตัวอย่างประโยค ไว้ว่า กรรมของฉันแท้ๆ ……… ขอนำท่านออกจาก พจนานุกรม และ ขอเสนอเรื่องจริง ที่เกิด กับ กัปตันเรือชาวบ้าน นายหนึ่ง (หมายถึง นายเรือที่ต่อเต้ามาจาก ความชำนาญและสอบเพื่อเลื่อน วิทยะฐานะประกาศนียบัตรตามลำดับจากกรมเจ้าท่า) สมมุติว่าชื่อ กัปตันเชย อายุมากกว่าผู้เขียน ก็เรียกว่า พี่เชย ในปี ค.ศ. 1972 มีชาวเรือไทยจำนวนมากไปทำงานในประเทศบังคลาเทศ ตอนที่เพิ่งตั้งประเทศแยกมาจากปากีสถานตะวันออก บ้านเมืองสับสนอลหม่าน มีคนยากจนเป็นเบือ ที่ล้มตายลอยน้ำให้เหยี่ยวจิกกิน มีให้เห็นแทบทุกวัน บังคลาเทศจึงได้รับความช่วยเหลือจาก สหประชาชาติ แทบทุกเรื่องและทำให้คนเรือไทยได้ไปทำงานกันภายใต้ธง UN ในครั้งนั้น ก็เกิดจากการจ้างงานจากบริษัทฯที่รับงานจาก UN มาเป็นช่วงๆ และงานที่ทำ ก็คือ การลำเลียงขนส่งภายในประเทศ พี่เชย ของผม ประจำที่ เมืองเล็กๆในตอนเหนือชื่อ อลิชา โดยประจำเรือเฟอร์รี่ข้ามฟาก ทำงานเฉพาะกลางวัน น่าอิจฉาพี่เชยมาก เพราะพอตะวันตกดิน (เวลาเลิกงาน) พี่เชยจะมีเครื่องซักผ้า (Washing Machine : ศัพท์แสลงของพวกชาวเรือกรีก หมายถึง ภรรยา) มาใช้ประจำบนเรือ โดยมีสามีที่เป็นชาวบังคลาเทศ มาส่งให้ เพราะต้องการเงิน พี่เชยมีความสุขมาก และก็อยากให้ผู้เขียนรับสงเคราะห์บ้าง พี่เชยก็อ้างว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง และทำให้ไม่คิดถึงบ้านและคลายเหงา ผู้เขียนคิดหนักแต่ไม่กล้าปฏิบัติ การทำงานผ่านไปจนครบสัญญา ผู้เขียนกลับมาสิงคโปร์ หมดสัญญาก็เปลี่ยนงานไปอยู่เรือสินค้า พี่เชยกลับมาและไปเวียตนาม รอดตายกลับมาต่างคนต่างแยกย้ายกันไป และแล้วต่อมาหลายปี จนกระทั่ง ปี ค.ศ. 1976 ที่เมือง ดูใบ (United Arab Emirates) ในอ่าวเปอร์เซีย ผู้เขียนเป็นต้นเรือ เรือสินค้าจอดที่ท่า บ่ายวันหนึ่ง ปรากฏว่ามีคนมาเคาะประตูเรียก เมื่อโผล่ออกมา ก็พบร่างของพี่เชยของกระผม พอเห็นหน้ากันแกก็ร้องให้ จ้า !!! จนกระทั่งผู้เขียนต้องลากเข้ามาในห้อง ปลอบโยนกัน นึกว่ามีเรื่องอะไร? พี่เชย สารภาพด้วยน้ำตานองหน้าว่า ภรรยาของแกไปมีชู้กับ พระเอกยี่เก เงินทองที่หาได้ส่งไปเท่าไร ก็เอาไปให้ยี่เกหมด พี่เชยจึงต้องออกทะเลอีก นี่แหละครับ กรรมแบบนี้ ตามทันและเร็วมาก ไม่ถึง 5 ปี เห็นผลทันตา จนป่านนี้ผมก็ไม่พบกันอีกเลย ได้ข่าวว่า กลับไปดีกันเพื่อความอบอุ่นของ ลูก
ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นกับ ตัวเอง ในปี ค.ศ. 1975 จำแม่นว่าต้อง บินกลับมาจากอ่าวเปอร์เซีย เพราะ ริดสีดวงทวารกำเริบหนัก ถึงกับ เวลาถ่ายแล้วเลือดออกไม่หยุด จะผ่าตัดแถวประเทศในอ่าวเปอร์เซีย ก็ต้องรอคิวเป็นเดือน ทางบริษัทฯ ผู้จ้างจึงให้กลับมาบำบัดที่กรุงเทพฯ มาถึงก็ตัวซีด เพราะหมดเลือดไปมาก เข้าโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า ได้ คุณครูเก่า ที่สอน สุขวิทยา สมัยที่อยู่โรงเรียนเตรียมนายเรือ คือ พลเรือตรี นายแพทย์ ปัญญา ฯ ผมจำนามสกุลท่านไม่ได้ ทราบว่าท่านบวชพระอยู่ เป็นมือมีด กับ พลเรือโท จุติ เฉลิมเตียรณ (ตอนนั้นท่านมียศเป็นเรือเอก) เป็นผู้ช่วย ท่านอาจารย์ปัญญาฯ มือท่านเยี่ยมจริงๆ การผ่าตัดแบบนี้ ไม่ได้วางยาสลบ เพียงแต่ฉีดยาชาเข้ากระดูกสันหลัง จึงได้ยินว่าหมอพูดอะไรกันได้หมด (จำได้ดีว่าท่านกลัวจะตัดเส้นประสาทมาก ฝีมือของท่านสามารถทำให้ประสาทในส่วนนั้นทำงานได้ปกติเหมือนเดิม ท่านว่าเป็นถึงขั้นสุดท้ายและตัดออกทั้งหมด เจ็ดหัว เมื่อผ่าเสร็จ หมดฤทธิ์ยา ก็เริ่มปวด และการเยียวยาหลังจากนั้น ต้องให้ แผลเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีการเย็บแผล จึง ทารุณ พอสมควร ทุกคืนกว่าจะนอนได้ อาจจะต้องใช้ Morphine ช่วย ผู้เขียนนอนคิดถึง กรรมเก่า และก็ระลึกได้ว่า เมื่อตัวเองอายุได้เพียงแปดเก้าขวบ หลบภัยสงครามมหาเอเชียบูรพาอยู่ที่จังหวัดลำปาง เห็นเครื่องบินข้าศึกบินมาทิ้งระเบิดบ้าง หรือกราดปืนเข้าใส่บ้าง ตัวเองต้องล้มลงกับสนามหญ้า และได้เล่นเลียนแบบ เครื่องบิน ด้วยการจับแมลงปอตัวใหญ่ๆ มาเด็ดที่ก้นออก แล้วเอาหญ้าเบาๆ เสียบเข้าไปแล้ว ก็ ปล่อยให้บินเป็นฝูงอย่างสนุกสนานกับเพื่อน โดยนึกไม่ถึงว่า ตัวเองจะมารับกรรมในการกระทำของตัวเอง มันเจ็บจริงๆครับ แต่ ผมคิดว่าคงเป็นวิธีรักษาที่หายขาดจริงๆ ที่พิสูจน์ได้ และขอแนะนำ แต่นายแพทย์ ต้องมีมือและสายตาดีด้วยครับ
เรื่องของกรรม ไม่ใช่ว่า จะต้องใช้กรรมกันในวาระเดียวกัน จากประสบการณ์ การชดใช้กรรมอาจเกิดขึ้น ต่างกรรม ต่างวาระ ต่างประเทศ ต่างเชื้อชาติ ก็ได้ ถ้าพอสมมุติได้ว่าสาเหตุแห่งการชดใช้กรรม น่าจะมาจากสาเหตุ หรือเคราะห์กรรม ที่ใกล้เคียงเดียวกัน ในปี 1974 มีโอกาสนำเรือลากจูงขนาดใหญ่ ชื่อ “ ALICE D ” ออกจาก สิงคโปร์ ไปยัง เมลเบิร์น อยู่ในแคว้น วิคตอเรีย ทางตอนไต้ของ ออสเตรเลีย ในเที่ยวนั้น มีเพื่อน นตร.17 จรูญ รัตน์พันธ์ เป็นต้นเรือ และมี นาวาตรี ประสงค์ มณีสาร (ล่วงลับไปแล้ว) เป็นต้นกลเรือ และมีนักมวยไทย ดาว ร.ส.พ. เป็นลูกเรือ พร้อมทั้งลูกเรือไทย หลายคน มีต้นหนเป็นอินโดนีเซีย คนเดียว ในเที่ยวนั้น แม้ว่าเรือเก่า แต่ได้ต้นกลมือดี ก็สามารถทำงานได้สำเร็จด้วยการลากเรือขุดแบบสว่านเจาะ อยู่ในโป๊ะลอยลำเก่า ของ Howard Smith มาส่งให้กับ Transworld Marine ใช้ขุดทราย ทำ reclaimed land ต่อเนื่อง จาก Elizabeth walk ที่สิงคโปร์ได้สำเร็จ ในตอนเที่ยวขาไป เรือต้องไปจอดซ่อม ที่เมืองท่า ทาวส์วิลล์ ในแคว้น ควีนสแลนด์ หลายวันเพื่อรอ เครื่องอะไหล่ บางชิ้น ทุกวันตอนเย็นๆ ผู้เขียน และลูกเรือก็ไปหาความสำราญ ที่โรงสนุ๊กเกอร์ และ บาร์เบียร์ เพื่อความเพลิดเพลิน เป็นประจำ
มาวันหนึ่ง ขณะที่ผู้เขียนนั่งดื่มเบียร์ที่เคานท์เตอร์ ก็มีชายออสเตรเลียรูปร่างสูงชะลูด มาถามว่า เป็นคนชาติอะไร ? ผู้เขียนพาซื่อ ก็บอกไปตรงๆ ว่า เป็นคนไทย !! ชายออสเตรเลีย นั้นก็เน้นว่า เป็นคนไทย แน่นะ !!! ประเทศไทยที่ปลูกข้าว ไม่ใช่ ไต้หวัน ที่อยู่ติดกับจีนนะ ? ผู้เขียน คิดว่าไม่น่ามีอะไร ก็ ยืนยันว่า เออน่ะ ไทยแน่ๆ แล้วก็นั่งจิบเบียร์เพลิน แต่ก็มี จรูญ และ ดาว กับ ลูกเรืออีกสองสามคนตั้งวง อยู่ห่างๆ สักครู่เดียว ชายออสเตรเลียผู้นั้นกลับมา ไม่พูดไม่จา ต่อยหน้าผู้เขียนเปรี้ยงใหญ่ เหยือกเบียร์กระเด็น แล้วถูกเหวี่ยงลงกับพื้น กะ จะรุมกระทืบให้หนำใจจนตาย !!! แต่ จรูญ และลูกเรือที่นั่งอยู่ ก็ลุกมาช่วย เลยเป็นการแสดง มวยไทย สี่คู่ แบบไม่มีปี่ขลุ่ย แล้วเจ้า ดาว กับเพื่อนรวมทั้ง จรูญ ก็สามารถจัดการ เอาเจ้าตาน้ำข้าวทั้ง สี่คน ลงไปนั่งพับเพียบโดยสดุดี เจ้าของร้าน ก็เรียกตำรวจมาตามระเบียบ และก็เล่าให้การ เหตุการณ์ที่ทุกคนในร้านเห็นให้ฟัง ที่นี่ดี ไม่มีชาตินิยม (ไม่มีรุม) เจ้าของร้านก็บอกว่า พวกเราเป็นคนดี ดี กินเบียร์เสร็จก็กลับ ไม่เคยมีเรื่อง และผู้เขียน ถูกรุมก่อน ลูกน้องจึงมาช่วยกัน และ Fair ดี คือต่อยกัน สี่ ต่อ สี่ ทั้งที่เรามีคนมากกว่าแต่ก็ดูเฉยๆ ตำรวจถามผู้เขียนว่า จะเอาเรื่อง ทางคดี หรือ เรียกร้อง ค่าเสียหาย อะไรไหม? ผู้เขียนคิดดู และแปลกใจว่า ทำไม ผู้เขียนจึงโดนต่อย? ก็เลยตอบตำรวจไปว่า ไม่เอาเรื่องหรอก ขอให้รีบไปทำแผลเอาเองก็แล้วกัน (อย่ามาคิดเงินกับฝ่ายเรา) แต่ขอทราบสาเหตุจริงๆเถอะว่า ทำไมถึงมาต่อยหน้าผู้เขียน? ซึ่งตำรวจก็ตกลงในการให้ยอมความ ชายออสเตรเลียผู้นั้นบอกว่า เขาเพิ่งกลับจาก โคราช ประเทศไทย หลังจากไปเป็นทหารอากาศ ช่วยอเมริการบในสงครามเวียตนาม มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่เขาไปหาความสุขนอกค่ายและนั่งสามล้อกลับ เขาถูกจี้ด้วยปืนและมีด โจรได้ทำร้ายเขาแล้วลอกคราบ ของในตัวเขาไปแบบล่อนจ้อน แม้แต่กางเกงในตัวโปรดก็เอาไป (สมัยนั้นยังไม่มีโรคเอดส์) เขาเลยสาบานว่า ถ้าเขาพบคนไทยในแผ่นดินเขาเมื่อใด เขาจะฆ่าให้ตาย โชคดี ผู้เขียนรอดไป สาทุ !! และในวันต่อมา ชายผู้นั้นก็ปิดพลาสเตอร์แล้วมานั่งซดเบียร์และคุยกับสนุกแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตัวกระผมเองก็นั่งคิดนอนคิด ว่าจะมีเรื่องเคราะห์กรรมทำนองเดียวกัน มาเปรียบเทียบได้ ในที่สุด ก็ระลึกกลับไป นึกขึ้นได้ที่ตัวเอง ก็เป็นหนึ่งใน ส่วนผู้สร้างกรรมเอาไว้ เมื่อคราวไปราชการฝึกภาคสนามใน กองพันสื่อสาร กองบัญชาการทหารสูงสุด ในราว พ.ศ. 2509 กรรมที่ก่อขึ้นครั้งนั้น ร่วมกันหลายนาย สร้างวีรกรรมเด่น ณ เมืองกาฬสินธุ ในครั้งนั้น กรรมบางส่วน ก็ตกอยู่กับ เพื่อนขออนุญาตเอ่ยนาม นาวาเอก ยิ่งยศ ภักดีพันธ์ ที่ท่านยังต้องนอนรับกรรม อยู่ในขณะนี้ และเพื่อนทหารบกบางคนก็ลาโลกไปแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น เกิดจากการเขม่นกัน ระหว่าง ชน (ในราชการ) สองกลุ่ม แต่ตอนเข้าตี ปรากฏว่า ผู้ที่ไม่รู้ อีโหน่ อีเหน่ เจ็บ ฟรีไปหลายคน ซึ่งนั่นแหละ คือสิ่งที่ผู้เขียน ไปเจอเพื่อใช้กรรม ให้กับเจ้าโจรที่จี้ลอกคราบชาวออสเตรเลียผู้นั้น และรับกรรมที่ตนร่วมก่อไว้ ฉะนั้น จากบทพิสูจน์ จะเห็นว่า กฎแห่งกรรม สามารถ กระดอน และสะท้อน ไปถึงกัน เปรียบเสมือน คลื่นในทะเล ที่สะท้อน ย้อนยอก ไปถึงกันแบบไม่มีที่สุด และ ที่แน่ๆ ละครับ คือ จงอย่า ก่อกรรม หรือ เมื่อจำต้องก่อแล้ว ต้องรีบ กลบกรรม และเมื่อใด ไม่มีกรรม คิดว่า ตอนนั้นละครับ คงหลับสบายดี และไม่ต้องดิ้นรน ที่จะต้อง คอยรับกรรมดี ที่สร้างบุญไว้ หรือ คอยรับกรรมที่จะต้อง ชดใช้
คงพอหอมปากหอมคอสำหรับเรื่องแบบนิทาน และน่าจะตบท้ายตอนนี้ในเรื่อง แบบ บ่น เรื่องนี้ มีภาพประกอบ เมื่อปลายปีก่อน (ธันวาคม 2542) ทาง ศปก. ศูนย์ปฏิบัติการราชนาวีคงจำได้ว่า กองทัพเรือได้พยายามส่งเรือรบและกำลังพลไปช่วยเรือลำหนึ่ง ชื่อ ภาษาโรมันว่า Surya Pacific ที่มีหมายเลขประจำตัวเรือ 7002552 ขนาด 3280 เดดเวทตัน 1988 ตันกรอส 1305 ตันเนท ยาว 84.5 เมตร กว้าง 12.8 เมตร สูง 7.7 เมตร ต่อที่อู่เรือ ขื่อ Schulte & Bruns ใน ประเทศเยอรมันตะวันตก เมื่อปี 1971 ในชื่อเรือแรกเกิดว่า Mowenstet ใช้เครื่องจักรใหญ่ ยี่ห้อ Deutz ขนาด 2000 แรงม้าเบรค จดทะเบียนเรือ ที่เมืองท่า จาร์กาตาร์ อินโดนีเซีย แต่เจ้าของและผู้ปฏิบัติการเรือไม่เป็นที่เปิดเผย ที่ประสบภัยเนื่องจาก อากาศเลว
แต่เข้าใจว่า คงไม่สำเร็จ และมีการพยายามช่วยเหลือจากบริษัทเรือลากจูงในประเทศบริษัทหนึ่งแต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งผู้รับประกันภัยเรือตกลงจ่ายเงินให้เจ้าของเรือไปแล้ว (เต็มราคาที่เจ้าของเรือประกันไว้) พร้อมกับเงินการขายซากเรือ (เพื่อตัดเป็นเศษเหล็ก) ทั้งนี้เพราะเมื่อผู้รับประกันภัยเรือเห็นว่าค่ากู้เรือโดยผู้กู้เรืออาชีพ (Professional Salver) จะไม่คุ้มกับราคาซากเรือที่เหลืออยู่ การตีราคาเรือที่หมดอายุการใช้งาน โดยทั่วไปก็คิดราคาเศษเหล็ก ซึ่งประมาณ 130 เหรียญสหรัฐฯต่อตันน้ำหนักของเรือ ซึ่งเมื่อประมาณว่าเรือขนาดนี้จะมีน้ำหนักเรือประมาณ 1000 ตัน ราคาเรือหลังจากกู้มาได้ก็ประมาณ 130,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 5 ล้านบาท และบัดนี้ซากเรือนี้ ขายให้ บริษัท ศรีวิชัย จำกัด ตามข่าวกล่าวว่าในราคา 6 ล้านบาท ผู้รับประกันก็ดีใจแล้ว และยังสามารถโยน ความรับผิดชอบ ที่จะตามมาต่างๆ ให้บริษัทศรีวิชัยฯรับไป ในที่สุดวันนี้ ซากเรือ หรือ ผีคืนร่าง ทาสีใหม่เอี่ยม มีลูกเรือพม่าเฝ้าอยู่ 10 คน เรือมาติดฝั่งทำให้หาดพังทลายและต้นมะพร้าวที่เราเดินเรือเห็นอยู่เท่าไม้จิ้มฟัน ล้มไปเป็นร้อยต้น และถ้าเรือไม่ออกไป หรือ ไม่มีการตัดทำลายในลักษณะซากเรือ รวมทั้งการกู้เรือแบบไม่ใช้วิชาชีพหรือที่เรียกว่า (Local Salver) โดยการพยายามขุดทรายเพื่อให้เป็นร่องน้ำ และฝันว่าจะดึงเรือออกไป ทำให้เรือบาร์จบรรทุกทรายจมอีกหนึ่งลำ ชาวบ้านตะลุมพุก บ่นผ่าน iTvs มา ผู้เขียนเลยตัดสินใจถ่อร่างไปดู และศึกษาความเป็นจริงด้วยสายตาตนเอง ทำให้เห็นใจชาวบ้านมาก และเศร้าใจในการไม่สันทัดในการดำเนินงานของทางการที่เกี่ยวข้องต่างๆ และคาดว่า หาดจะพังมากขึ้นในหน้าลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จะเริ่มในเดือนตุลาคมนี้ และอาจจะทำให้ ต้นมะพร้าวต้องล้มลงมากไปอีกหรืออาจจะพังไปถึงแนวที่ชาวบ้านอาศัยกันอยู่ แล้วใครจะรับผิดชอบเพราะตามที่ ฟังจากคนของบริษัทศรีวิชัยฯและชาวบ้าน บอกว่าบริษัทศรีวิชัยฯ เล็งผลเลิศ โดยจะนำเรือไป ขายต่อ หรือใช้งานต่อ แต่คาดว่า คงไม่มีการประกันภัย ในส่วนความรับผิดที่จะเกิดแก่บุคคลที่สามและ การทำลายสิ่งแวดล้อม ไว้ ฉะนั้น เรื่องเหล่านี้ที่เกิดขึ้นและจะเกิดต่อไปใครจะรับผิดชอบ? ประกอบกับจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นจังหวัดหนึ่งที่ มีกลุ่มอิทธิพล !! และเพียบพร้อมด้วยมือปืน !! จึงทำให้ดูว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำอะไรให้เข้ารูป เข้ารอยได้ง่ายๆ และทางออกของผู้เขียนที่อยากจะแนะนำ ก็คือ บริษัทศรีวิชัยฯ ควรจะเสี่ยง หาคำแนะนำในการกู้เรือจากผู้กู้เรืออาชีพ หากไม่สำเร็จ ก็ขออนุมัติกรมเจ้าท่า เพื่อการตัดทำลายเสีย (โดยการจัดเก็บคราบน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ให้สะเทือนกับสิ่งแวดล้อม) และก็ขออนุโมทนา อย่าให้ชาวบ้านแหลมตะลุมพุกที่น่ารัก ต้องประสบภัย จาก Surya Pacific เลย
เรื่องที่น่าบ่นในเรื่องต่อไป ก็คือ รถไฟรางเดี่ยวสายใต้ ซึ่งผู้เขียนชอบใช้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ในปี 2508 เมื่อทำงานในหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่จังหวัดสตูล สมัยนั้นก็เริ่มเสียว ว่าจะมีการระเบิดทางรถไฟ และต่อมาหลัง พ.ศ. 2514 โดยเดินทางมาจากสิงค์โปร์ นั่งรถไฟมาเลเซียมาแล้วมาต่อรถไฟไทยที่ บัตเตอร์เวิร์ท ก็มีข่าวหนาหูว่าจะมีการวางระเบิดรางรถไฟเหมือนกัน มีอยู่เที่ยวหนึ่ง ต้อง ติดอยู่ที่สถานีชุมทางทุ่งสง อยู่หนึ่งคืนเพราะรถขบวนหน้าที่มาจากนครศรีธรรมราชรับเคราะห์ไป ไปเมืองนครฯคราวนี้คุยถึงเรื่องเก่า เขาบอกว่าเที่ยวนั้น ตายไปหกคน จากวันนั้นถึงวันนี้ ไม่เห็นความเจริญหรือสำเร็จของรถไฟไทยเลย แสนเสียดาย หาก พณฯ ท่านมนตรี พงษ์พาณิช (ที่ถึงแก่อสัญกรรมไปแล้ว) ท่านเลือก บริษัทก่อสร้างอื่นที่ไม่ใช่ Hopewell จึงไม่เห็นของใหม่ ที่เห็นแปลกตา ก็คือ ระบบการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ ทางรถไฟจาก Port Klang (Sungei Way,Petaling Jaya) ประเทศมาเลเซีย มายังย่าน บางซื่อ โดย T.S.Transrail Co,Ltd แต่เมื่อพิจารณาจากสถิติ พบว่ามีอุบัติเหตุ รถแบบขนตู้คอนเทนเนอร์ตกรางแล้วสองครั้ง และกู้ลำบากด้วยและเสียเวลา การใช้ทางนานมาก (แม้จะใช้วิธีลงนั่งรถ เพื่อไปต่อรถไฟในสถานีหน้า ก็ทำให้เสียอารมภ์) เพราะตู้ขนาด 40 ฟุตบางตู้มีน้ำหนักมาก และเพราะตู้หนักนี้เองที่บางครั้งสาเหตุเกิดจากการรับกำลังของรางไม่พอ (เล็กกว่ามาตรฐาน และรับกำลังไม่พอ) จากการสอบถามสาเหตุ ปรากฏว่าในอุบัติเหตุครั้งหลังสุดที่ใกล้ ชุมทางเขาชุมทอง เจ้าหน้าที่บอกว่ารางหัก อันตรายที่ยังไม่เกิดและขอสวดมนต์ว่าอย่าให้เกิด ก็คือหากขบวนรถโดยสาร ที่แล่นตามขบวนรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ มา โดยที่ความหนักของสินค้าทำให้รางเกือบหัก แต่ผ่านไปได้ โดย เมื่อรถโดยสารที่ตามต้องรับกรรม และใครจะรับผิดนอกจากเงินที่จะได้รับจากการรถไฟเป็นการตอบแทน ดูๆแล้วไม่เคยเห็นว่าในประเทศใดเลยที่ มีการขนส่งรถไฟที่ใช้รางเดี่ยว ด้วยความเสี่ยง แบบนี้และถ้าจะ หายใจไปได้อีก อีกซัก สี่ ห้า พันวัน ก็คงจะมีอะไรดีๆมาเล่าสู่กันฟัง และก็เสียว กลัวรางแตก หรือ หมอนรองรับราง หัก
กว่าจะจบนิทานตอนนี้ได้ก็พอดีได้รับเชิญให้ไปฟัง ดร.สุรชาติ บำรุงสุข มาแสดงปาฐกถา เรื่อง”กองทัพเรือในทัศนะของข้าพเจ้า” ณ นันทอุทยานสโมสร ฐานทัพเรือกรุงเทพ ซึ่งสาระที่ฟังกัน พอสรุปได้ว่า ไม่ค่อยจะถูกกับความเป็นจริงของกองทัพเรือไทยและทัศนะของทหารเรือไทยส่วนใหญ่ นอกจากจะถูกแยงคำถามกลับไปโดย พลเรือเอก ประวิทย์ ศิวรักษ์ ที่ถูกใจผู้ฟังส่วนใหญ่ ผู้เขียนเองก็มีเกล็ด ของเรื่องนี้ มาต่อเป็นเรื่องส่งท้ายของนิทานตอนนี้ เรื่องแรกก็คือการเสริมเรื่อง ข้าศึกที่น่าจะเป็น (Potential Enemy) ในตอนที่ทำงานในประเทศสิงคโปร์ เมื่อมีเพื่อนชาวสิงคโปร์ที่ไปฝึกทหารกำลังสำรอง ที่คนสิงคโปร์ต้องไปฝึกทุกคนเป็นเวลาสามสัปดาห์ เพื่อคนนั้นกลับมาทำงาน พอเห็นหน้าผู้เขียน ก็หัวเราะ เมื่อถามว่าหัวเราะทำไม? เขาก็ตอบว่า เขาเพิ่งฝึกรบกับข้าศึก ที่ให้สมมุติว่า เป็นคนไทย กับ คนอินโดนีเซีย ผู้เขียนสงสัยก็ถามต่อว่าแล้วไทยผ่าน มาเลเซียมาได้อย่างไร? เขาก็ตอบแบบติดตลกว่า มาเลเซีย คงปล่อยให้ผ่านสบายๆ เรื่องนี้นานประมาณ 20กว่าปีมาแล้วตอนที่จะเริ่มตั้งสมาคมประชาชาติ ASEAN แต่วันนี้ ผู้เขียน อยากขอเสนอรายการเปรียบเทียบ ค่าใช้จ่ายทางการทหาร ของประเทศ ที่น่าสนใจ ในละแวก นี้ที่ข้อมูลคัดลอกมาจาก CIA FACT BOOK 1999 ดังนี้ คือ:-
ไทย (1998) US$ 1.95 Billions GDP USD 385 Billions
มาเลเซีย (1998) US$ 2.10 Billions GDP USD 237 Billions (มีเรือดำน้ำ)
สิงคโปร์ (1998/1999)US$ 4.244 Billions GDP USD 107 Billions (มีเรือดำน้ำ,F-18)
ฟิลิปปินส์ (1998) US$ 995 millions GDP USD 262 Billions
พม่า (1998) US$ 3.904 Billions GDP USD 37 Billions
อินโดนีเซีย US$ 959.70 millions GDP USD 666 Billions
เวียดนาม US$ 650 millions GDP USD 137 Billions
กัมพูชา US$ 85.70 millions GDP USD 14 Billions ลาว US$ 774 millions GDP USD 7 Billions
จีน (1998) US$ 12.688 Billions GDP USD 4,819 Billions
(ตัวเลขของจีนนี้ สหรัฐฯไม่เชื่อ และประมาณว่า มากกว่า หลายสิบเท่าตัว)
เมื่อท่านผู้อ่านลองพิจารณาดูแล้ว เพื่อนทหาร ทั้งหลายคง จะนอนไม่ค่อยหลับ เพราะทัศนะของ ประชาชนคนไทยที่ไม่ได้เป็นทหาร มักคิดเหมือน ด๊อกเตอร์ สุรชาติ บำรุงสุข ว่า หมดสงครามร้อน ไม่มีสงครามเย็น และ ไม่ทราบว่าจะไปรบกับใคร ? แต่ตามตัวเลขและการตัดสินใจจ่ายเงินค่าใช้จ่ายทางทหารของแต่ละประเทศใกล้ๆ บ้านแล้ว ทหารทั้งหลายนอนหลับสบายไหมครับ? ผู้เขียนได้รับความกรุณาจาก พลเรือเอก สมโภชน์ ขมะสุนทร และ พลเรือโท โรช วิภัติภูมิประเทศ ให้นั่งร่วมโต๊ะด้วย ท่านคุณครู สมโภชน์ฯ ปรารภว่า ทำไมสมัยนี้จึงไม่มีรายการเสนาปริทัศน์ ซึ่งจะมีเลขานุการฯ ของทุกกองทัพได้ออกมาแถลงข้อเท็จจริงต่างๆให้ประชาขนได้รู้ข้อเท็จจริง และท่านคุณครูโรชฯ เสริมว่าทางกองทัพอื่นอาจจะหาสปอนเซอร์มาจัดได้ แต่ไม่ทราบว่าถ้าหากทาง ทร. จะจัดก็คงต้องหาผู้สนับสนุน ผู้เขียนเพียงหวังว่าคงจะมีบทความวิจารณ์ของสมาชิกท่านอื่นที่ทรงความรู้และเชี่ยวชาญทางทหารที่แท้จริง คงจะแสดงออกมาเป็นวิทยาทานแก่สมาชิกนาวิกศาสตร์ต่อไป
( จบ นิทานตอนที่ 3 )