marinerthai

Lightering Master – 2 (กัปตันไทย ก็ ทำได้)

เขียนโดย กัปตัน ประหยัด คูวงษ์

การขนถ่ายน้ำมันระหว่างเรือกลางทะเล (Ship to Ship Lightering) ในอ่าวไทย

การเลือกบริเวณการทำ Lightering นั้น ต้องดูความลึกของทะเลที่เรือแม่กินน้ำลึกประมาณ 22 เมตร จะวิ่งได้โดยปลอดภัย , อยู่ในเขตน่านน้ำสากล , เรือหาปลามีน้อย

กำหนดเรือวิ่งเข้าเทียบกันได้เฉพาะเวลากลางวันเท่านั้น เนื่องจากอันตรายอาจมีเรือหาปลาหรืออวนลอยไม่เปิดไฟ และการกะระยะเอาเรือเข้าหากันทำได้ยากมาก ส่วนการออกจากเทียบทำได้ทุกเวลา

บริษัทได้เช่าเรือตังเกขนาดใหญ่ที่แม่กลอง ทำเป็น Work Boat (ขอเรียกว่า “เรือช่วยงาน”) สำหรับบรรทุกอุปกรณ์ถ่ายน้ำมัน เช่น ท่อยางขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 12 นิ้ว ยาว 12 เมตร จำนวน 6 ท่อน , ลูกยางกันกระแทก ขนาดใหญ่ 3.3 X 6 เมตร จำนวน 4 ลูก , เชือกสำรองสำหรับต่อหัวลวด , อุปกรณ์ป้องกันและขจัดคราบน้ำมัน เช่น บูม , สารเคมี ฯลฯ

เรือช่วยงานขนอุปกรณ์และลากลูกยางกันกระแทก ออกจากสถานที่เก็บในแม่กลอง

ผู้เขียนจะทำหน้าที่ประสานงานระหว่างเรือแม่ , เรือลูก , เรือช่วยงาน และ บริษัท เพื่อวางแผนการเทียบว่าจะส่งลวดจากเรือไหนเส้นอะไรก่อนหลัง มีน้ำมันสินค้าอะไรบ้างจำนวนเท่าใดในแต่ละเที่ยว เรือเล็กจะกลับเข้าท่าเมือใด จุดนัดหมายที่ให้เรือลูกรับอุปกรณ์จากเรือช่วยงาน และวิ่งไปเทียบเรือแม่ ทุกขั้นตอนต้องทำนอกเขตน่านน้ำไทย ส่วนมากผู้เขียนและ Cargo Surveyor คนไทยอีก 2 คน ลงเรือลูกที่ ศรีราชา แต่บางครั้งต้องไปลงเรือที่สิงคโปร์ แล้วแต่ว่าเรือลูกเสร็จงานสุดท้ายอยู่ที่ไหน

เรือช่วยงานเตรียมเข้าส่งลูกยางกันกระแทก ให้เรือลูก
ขนาดของลูกยางกันกระแทก 3.3 x 6 เมตร

การนำเรือลูกซึ่งเป็นเรือว่างเปล่า วิ่งเข้าเทียบเรือแม่บรรทุกน้ำมันมาเต็มลำนั้น จะวิ่งเข้าเทียบทางกราบขวาของเรือแม่เท่านั้น โดยให้เรือแม่เดินหน้าในความเร็วคงที่ประมาณ 5 น๊อต หัวเรือทวนลม แล้วนำเรือลูกเข้าทางด้านท้ายเรือขวา ปรับแต่งให้ขนานกัน ห่างประมาณ 50 เมตร จากนั้นปรับแต่งความเร็วเรือลูกให้เท่ากับเรือแม่ ค่อยๆขยับเรือลูกเข้าหาเรือแม่ จนแนบชิดกัน แล้วส่งลวดหัว ลวดท้าย ไกหัว ไกท้าย ให้ลวดทั้งหมดตึงแน่น ระยะทางสำหรับการนำเรือเข้าเทียบกันประมาณ 10 ไมล์ ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 2-3 ชั่วโมง หลังจากเทียบกันเสร็จแล้วอาจให้เรือแม่ทิ้งสมอ แล้วสูบถ่าย หรือวิ่งเดินหน้าเบามาก ระหว่างทางสูบถ่ายน้ำมันไปเรื่อยๆก็ได้ ต้องแล้วแต่สภาพอากาศและตำบลที

เรือลูกขณะวิ่งเข้าเทียบทางท้ายเรือขวาของเรือแม่ซึ่งวิ่งด้วยความเร็วคงที่ (ประมาณ 5 น๊อต)
เรือลูกวิ่งขนานกับเรือแม่ ปรับความเร็วให้เท่ากัน ประมาณ 5 น๊อต
ทีมนำเรือ บนสะพานเดินเรือของเรือลูก

ตอนนำเรือออกจากกัน ให้ดูหัวเรือทั้งสอง ถ้าทวนน้ำและไม่หมุน ก็สามารถนำเรือออกจากกันได้ในขณะเรือแม่ทิ้งสมอ แต่ถ้าไม่มั่นใจว่ากระแสน้ำมาทางหัวเรือ ให้เรือใหญ่ถอนสมอแล้ววิ่งทวนลม พอความเร็วประมาณ 2 น๊อต ก็ให้เรือใหญ่หยุดเครื่อง ปลดลวดที่ผูกกันออก แล้วนำเรือลูกวิ่งเดินหน้าออกจากเทียบเรือใหญ่ จะเห็นได้ว่าการนำเรือขนาดใหญ่เทียบกัน หรือออกจากเทียบกลางทะเลลึกนั้น ไม่ต้องอาศัยเรือทักช่วยเลย ส่วนเรือช่วยงานในขณะนำเรือเข้าเทียบหรือออกจากเทียบ จะวิ่งนำหน้าขอให้เรือหาปลาหลบจากเส้นทางเรือใหญ่

เรือลูกขณะเข้าเทียบเรือแม่
หลังจากเทียบกันเสร็จเรียบร้อย ทำการต่อท่อยางขนาด 10 นิ้ว ยาว 24 เมตร จำนวน 2 เส้น
หลังจากสูบถ่ายน้ำมันจากเรือแม่เสร็จ เรือลูกวิ่งออกจากเรือแม่ นำน้ำมันไปส่งที่ศรีราชา

นอกจากการสูบถ่ายจากเรือแม่ให้เรือลูก เพื่อเข้าท่าที่น้ำไม่ลึกพอสำหรับเรือแม่ บางครั้งยังใช้ในกรณีย์ฉุกเฉินเช่นเรือบรรทุกน้ำมันเกยตื้น ต้องใช้เรือเล็กกว่าไปถ่ายออก มีอยู่คราวหนึ่งเรือแม่ลำหนึ่งบรรทุกน้ำมันเต็มลำจากตะวันออกกลางจะไปส่งประเทศญี่ปุ่น ระหว่างทางพบว่ามีน้ำมันรั่วจากถังหนึ่ง ได้จอดซ่อมทำชั่วคราวที่มาเลย์เซีย แล้ววิ่งต่อ พอทางญี่ปุ่นทราบ ไม่ยอมให้เรือลำนี้เข้าญี่ปุ่น เพราะระหว่างทางอาจมีน้ำมันรั่วจากรอยเดิม มีการติดต่อให้บริษัทที่ผู้เขียนทำงานอยู่นำเรือลูกไปถ่ายน้ำมันออกจากถังที่ซ่อมทำชั่วคราวให้หมด จึงจะยอมให้เรือลำนี้เข้าญี่ปุ่น บริษัทได้สั่งให้ผู้เขียนนำเรือลูกไปถ่ายน้ำมันจากเรือดังกล่าวในน่านน้ำสากลของอ่าวไทย เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าป้องกันมลภาวะจากน้ำมันที่อาจรั่วไหลลงสู่ทะเล

ปัจจุบันการทำ Ship to Ship Lightering กลางอ่าวไทย ได้ยกเลิกและขายอุปกรณ์ต่างๆไปหมด เมื่อ เดือน กรกฎาคม 2545 เนื่องจากเหตุผลบางประการ อาจเป็นเพราะโรงกลั่นที่ผู้เขียนทำงานอยู่ได้ต่อท่อจากทุ่นรับเรือขนาด VLCC จากโรงกลั่นใกล้เคียง ถึงแม้จะบรรทุกเข้ามาได้แค่ 2 ใน 3 ของทั้งลำ เพราะมีสันทรายขวาง แต่อีก 1 ใน 3 ได้สูบถ่ายให้เรือลูกที่บริเวณเกาะ Karimun นำไปส่งให้โรงกลั่นสิงคโปร์ แล้วเรือแม่วิ่งต่อมาส่งให้ที่ศรีราชา

ในอนาคตอันใกล้ก่อนผู้เขียนจะเกษียณอายุ (พ.ศ.2551) งานนี้คงจะไม่หวนมา ผู้เขียนจึงอยากเล่าให้เพื่อนร่วมอาชีพชาวเรือด้วยกันว่า เคยมีงานชนิดนี้ในน่านน้ำสากลของอ่าวไทย หลายช่วงเวลาแล้วแต่สถานการณ์ของค่าขนส่งซึ่งบางช่วงค่าขนส่งน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางมากับเรือ MST (เรือลูก) ถูก ก็ใช้เรือชนิดนี้ขนจากแหล่งน้ำมันดิบตะวันออกกลาง แต่บางช่วงเวลามาทางเรือ VLCC (เรือแม่) ถูกกว่ามาก ก็มีการสูบถ่ายลำกลางอ่าวไทย บางช่วงเวลาได้จัดเรือลูกไว้เพื่องานนี้โดยเฉพาะทำให้การทำงานง่าย แต่ในระยะหลังทั้งเรือแม่และเรือลูกเป็นเรือจร ทำให้การทำงานยากขึ้น และ ในช่วงปี พ.ศ. 2541-2545 กัปตันไทยคนหนึ่ง ได้เป็น Lightering Master โดยงานทั้งหมดเป็นไปอย่างเรียบร้อยไม่เคยมีอุบัติเหตุใดๆ หรือน้ำมันรั่วไหลลงทะเลเลย เป็นเพราะความร่วมมือจากผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะเพื่อนต่างชาติชาวเรือที่ทำงานบนเรือแม่ , เรือลูก และเพื่อนชาวไทยบนเรือช่วยงาน

Share the Post: