marinerthai

การสร้างบุคคลากรด้านการเดินเรือในมหาวิทยาลัย

บทความโดย ร.ท.สราวุธ ลักษณะโต

ผู้เขียนมักมีโอกาสเข้าร่วมสัมมนาและร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับกิจการด้านพาณิชยนาวีของไทยอยู่บ่อยครั้ง และประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงแทบจะทุกครั้งก็คือการขาดแคลนบุคลากรด้านพาณิชยนาวี โดยเฉพาะส่วนที่ต้องปฏิบัติงานบนเรือ(ในที่นี้ผู้เขียนจะขอกล่าวเฉพาะในส่วนของนายประจำเรือ ฝ่ายเดินเรือ ส่วนระดับลูกเรือและบุคลากรด้านพาณิชยนาวีบนบกจะขอกล่าวถึงในโอกาสต่อไป) ที่มีอัตราการขาดแคลนเพิ่มขึ้นเรื่อยทุกปี ในขณะที่การขนส่งทางทะเลเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ อะไรจะเกิดขึ้น? หากสภาวะการดังกล่าวยังเกิดขึ้นโดยไม่ได้รับการแก้ไข

โรงเรียนนายเรือ กองทัพเรือ
ศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี กรมเจ้าท่า

สถาบันที่เป็นแหล่งผลิตบุคลากรด้านการเดินเรือในประเทศไทยเดิมมีอยู่เพียง 2 สถาบันคือโรงเรียนนายเรือ กองทัพเรือ และศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี กรมเจ้าท่า แต่หากจะพิจารณาเฉพาะเจาะจงการสร้างบุคคลากรเพื่อการเดินเรือพาณิชย์นั้นก็จะมีเพียงสถาบันเดียว ซึ่งจำนวนที่ผลิตออกมาก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องของตลาดแรงงาน ดังนั้นในปัจจุบันมหาวิทยาลัยจึงเริ่มเข้ามามีบทบาทและช่วยผลิตบุคลากรด้านการเดินเรือพาณิชย์ เพื่อชดเชยและบรรเทาความขาดแคลนที่เกิดขึ้น มหาวิทยาลัยบูรพาเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในประเทศไทยที่เปิดการเรียนการสอนด้านการเดินเรือพาณิชย์ขึ้น ในสาขาวิชาวิทยาการเดินเรือเมื่อ พ.ศ.2545 โดยเรียนร่วมกับนิสิตสาขาวิชาอื่นๆในวิทยาลัยการขนส่งและโลจิสติกส์ โดยนิสิตรุ่นแรกมีจำนวน 21 คนและกำลังจะจบการศึกษาในพ.ศ.2550นี้ และเมื่อพ.ศ.2549สถาบันพาณิชยนาวีนานาชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ก็ได้เปิดการเรียนการสอนด้านการเดินเรือพาณิชย์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งสถาบัน

ผู้เขียนได้มีโอกาสมาช่วยราชการปฏิบัติงานที่มหาวิทยาลัยบูรพาโดยได้รอบมอบหมายให้สอนหนังสือในสาขาวิชาที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนด รวมทั้งได้รับโอกาสที่ดีและท้าทายในการช่วยเหลือท่านคณาจารย์ของวิทยาลัยฯให้ช่วยกำกับดูแลนิสิตสาขาวิทยาการเดินเรือ ผู้เขียนจึงอยากจะเล่าถึงการดำเนินการในการสร้างบุคลากรด้านการเดินเรือพาณิชย์ในมหาวิทยาลัยที่ได้ประสบพบเจอ ซึ่งอาจจะเหมือนหรือแตกต่างกับสถาบันอื่นๆบ้าง (จริงๆแล้วในต่างประเทศเขาก็ได้ผลิตนักเดินเรือโดยมหาวิทยาลัยมานานแล้ว ไม่ต้องมองที่ไหนไกลเลยครับ เวียดนามเพื่อนบ้านเรานี่เองก็มีมหาวิทยาลัยด้านพาณิชยนาวีโดยเฉพาะ เช่นที่ VIMARU : Vietnam Maritime University) ถือเป็นการเล่าสู่กันฟังก็แล้วกันนะครับ

Vietnam Maritime University

การผลิตบุคลากรด้านการเดินเรือนั้นทุกสถาบันทั่วโลกต้องการผลิตนักเดินเรือที่มีความรู้ ความสามารถ มีความอดทนและมีระเบียบวินัย เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานบนเรือสินค้าได้อย่างคงทนทะเล ดังนั้นการสร้างนักเดินเรือให้ตรงกับความต้องการ จึงเป็นโจทก์ที่ต้องการแก้ปัญหาเพื่อให้ได้คำตอบ ผู้เขียนจึงขอเล่าถึงวิธีการในการสร้างนักเดินเรือแบบฉบับมหาวิทยาลัยโดยแบ่งออกเป็น 2 ประด็นใหญ่ๆด้วยกัน

1.การเรียนการสอน

นิสิตเดินเรือทุกคนในวิทยาลัยการขนส่งและโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา ต้องปฏิบัติตนตามระเบียบของมหาวิทยาลัยเฉกเช่นนิสิตในสาขาวิชาอื่นโดยไม่มีข้อยกเว้น การจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีรวมทั้งการมีสิทธิเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรนั้น ก็ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของมหาวิทยาลัย ในการเรียนการสอนวิชาบังคับหรือวิชาเลือกทั่วไปนั้น มหาวิทยาลัยมีคณาจารย์และทรัพยากรอย่างพอเพียงในการเรียนการสอน แต่ปัญหาคือวิชาชีพทางเรือ ที่ต้องใช้ครูจากภายนอกมหาวิทยาลัยเกือบจะทั้งหมด(Outsourse)ทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชน เช่น กองทัพเรือ ศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี การท่าเรือแห่งประเทศไทย บริษัทโทรีเซน จำกัด(มหาชน) บริษัท RCL จำกัด(มหาชน) บริษัท นทลิน จำกัดและอื่นๆอีกหลายหน่วยงาน เนื่องจากการหาอาจารย์ประจำเพื่อสอนในด้านการเดินเรือนั้น ค่อนข้างหาได้ยาก ซึ่งต้องยอมรับว่ารายได้จากการรับราชการเป็นอาจารย์นั้นแตกต่างจากการไปทำงานบริษัทเดินเรือค่อนข้างมากทีเดียว โดยประเด็นสำคัญที่มหาวิทยาลัยคำนึงถึงเป็นอันดับแรกคือต้องการให้นิสิตได้ความรู้และประสบการณ์จริงในหลายๆแง่มุมจากครูผู้สอน ในขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยก็พยายามสร้างและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องทั้งองค์บุคคลและองค์วัตถุ เช่นมีการสร้างห้องฝึกจำลองการเดินเรือ และเรียนรู้เพื่อเป็นศูนย์กลางในการศึกษาและฝึกอบรมหลักสูตรต่างๆเพื่อสนองความต้องการของตลาดแรงงาน

2. การสร้างความเป็นชาวเรือ

การเป็นชาวเรือที่ดีนอกจากมีความรู้แล้ว ต้องมีคุณธรรม วินัย ความอดทน ความรับผิดชอบ และรู้จักปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมของชาวเรือที่ดี สิ่งเหล่านี้ต้องสร้างและปลูกฝังอย่างต่อเนื่อง โจทก์ที่ต้องแก้ให้ได้ก็คือเราจะสร้างสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นกับนิสิตของเราได้อย่างไรภายใต้สภาวะแวดล้อมของมหาวิทยาลัย ซึ่งแตกต่างจากสถาบันอื่นที่เรียนร่วมกันเฉพาะสาขาเดียวกัน เป็นสถานที่ปิด และกินนอนอยู่ประจำร่วมกัน ถ้าเราสร้างโดยไม่คำนึงถึงความแตกต่าง ย่อมเกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย เพราะเราไม่อยากสร้างสิ่งที่แปลกประหลาดให้เกิดขึ้นกับนิสิตในมหาวิทยาลัย แต่เราต้องการสร้างความแตกต่างที่กลมเกลียว นั่นหมายความว่านิสิตเดินเรือต้องสามารถใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนๆนิสิตสาขาวิชาอื่นในมหาวิทยาลัย และเมื่อจบการศึกษาออกไปต้องเป็นที่ยอมรับในความสามารถของคนในวงการเรือ ดังนั้นระบบการปลูกฝังความเป็นชาวเรือของมหาวิทยาลัยจึงมีความเป็นลักษณะเฉพาะ มีการสร้างวัฒนธรรมขององค์กร(Corporate Culture)ที่ดีมาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา

นิสิตต้องรู้จักระบบรุ่นพี่รุ่นน้องหรือระบบอาวุโส มีการปกครองดูแลตามลำดับชั้นภายใต้การดูแลของอาจารย์ นิสิตรุ่นพี่สามารถอบรมสั่งสอนนิสิตรุ่นน้องได้รวมทั้งสามารถลงโทษได้ภายในท่าลงโทษที่ได้ผ่านการพิจารณาและกำหนดขอบเขตไว้อย่างชัดเจน โดยเรามีกฎกติกาที่ชัดเจนว่าสิ่งเหล่านี้จะต้องอยู่ภายในเขตพื้นที่ของวิทยาลัยเท่านั้น เมื่อใดที่ขาก้าวออกไปนอกวิทยาลัยนิสิตเหล่านี้ก็ใช้ชีวิตเหมือนนิสิตคนอื่นทั่วไป อยู่ในวิทยาลัยเจอนิสิตรุ่นพี่ก็ยืนตรงและสวัสดี แต่นอกวิทยาลัยก็ยกมือไหว้ตามปกติ มีการเข้าร่วมกิจกรรมกับนิสิตคณะหรือวิทยาลัยอื่น เพราะในชีวิตจริงเมื่อจบการศึกษาไปนิสิตเหล่านี้ก็ต้องเจอคนหลากหลายอาชีพ ดังนั้นเราจึงพยายามสอนให้นิสิตรู้จักปรับตัวให้เหมาะสม นิสิตมีการฝึกเข้ายามเป็นผลัดในช่วงเวลาเย็นและกลางคืน โดยต้องไม่กระทบต่อเวลาในการอ่านหนังสือเพราะบางวิชาที่เป็นวิชาพื้นฐานนิสิตเดินเรือต้องเรียนร่วมและตัดคะแนนรวมกับนิสิตต่างสาขาวิชา ต่างคณะหรือวิทยาลัย ซึ่งมีผลต่อคะแนนเฉลี่ยรวม ถ้าคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่าเกณฑ์ก็จะต้องพ้นสภาพการเป็นนิสิต(Retirement) นิสิตต้องออกกำลังกายทุกวันในช่วงเย็นทั้งการวิ่ง ว่ายน้ำ และกายบริหาร(Physical Training) และกิจกรรมอื่นๆอีกมากมาย

พูดง่ายๆก็คือเราแทบจะนำระบบที่ใช้ในโรงเรียนนายเรือและศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวีมาปรับใช้ในวิทยาลัยการขนส่งและโลจิสติกส์ให้เหมาะสม ถามว่าทำไมนิสิตต้องเรียนรู้ ฝึกฝนและเข้าใจระบบเหล่านี้ เนื่องจากนิสิตเหล่านี้ต้องถูกส่งไปฝึกภาคปฏิบัติในทะเลตอนปิดภาคการศึกษากับทางศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวีในชั้นปีที่ 1 และ 2 ก่อนไปฝึกกับเรือสินค้าในชั้นปีถัดไป เราจึงต้องสร้างความเป็นหนึ่งเดียวและสามารถฝึกร่วมไปในแนวทางเดียวกันได้อย่างสมัครสมานสามัคคี ในตอนเย็นๆนิสิตเหล่านี้จะวิ่งออกกำลังกาย และร้องเพลงขณะวิ่งไปรอบๆมหาวิทยาลัย ซึ่งในปีแรกอาจจะดูแปลกๆในสายตานิสิตอื่นๆ แต่พอนานไปก็กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาและถ้าวันไหนนิสิตติดเรียนในบางวิชาและออกมาวิ่งช้าก็จะโดนถามจากผู้ที่มาออกกำลังกายทั่วไปในมหาวิทยาลัยว่าทำไมวันนี้ออกมาวิ่งกันช้า(โดนควดซะยังงั้น) และมักจะได้รับคำชื่นชมจากอาจารย์และนิสิตอื่นๆว่าดูเข้มแข็งและเป็นระเบียบเรียบร้อยดี การซ่อมหรือลงโทษระหว่างนิสิตรุ่นพี่รุ่นภายในวิทยาลัย กาลเวลาทำให้เป็นเรื่องปกติสำหรับนิสิตในวิทยาลัยเดียวกันที่เรียนสาขาวิชาอื่น ซึ่งผลพลอยได้ก็คือ นิสิตเหล่านี้ต่างเข้าใจวิถีของกันและกัน เมื่อนิสิตเหล่านี้จบการศึกษาออกไปไม่ว่าจะสาขาวิชาวิทยาการเดินเรือเดินเรือ สาขาวิชาธุรกิจพาณิชยนาวี สาขาวิชาการจัดการอุตสาหกรรมพาณิชยนาวีและสาขาการจัดการโลจิสติกส์ พวกเขาเหล่านี้ก็คือเพื่อนกัน พวกเขาเข้าใจแนวทางการศึกษาของกันและกัน การเข้าใจวิถีของกันและกันผู้เขียนเชื่อเป็นการส่วนตัวว่านำมาซึ่งประสิทธิภาพในการทำงานโดยรวมของระบบธุรกิจนั้น เพราะความยึดมั่นถือมั่นในตนได้ถูกลดทอนลงไป และแน่นอนผลประโยชน์ย่อมเกิดกับอุตสาหกรรมพาณิชยนาวีไทยทั้งระบบ เพียงแต่อาจถูกกำหนดด้วยเงื่อนไขของเวลาบ้าง ปัญหาถูกแก้ไขด้วยคนฉันใด ปัญหาย่อมถูกแก้ไขด้วยการให้การศึกษาแก่คนฉันนั้น.

Share the Post: