marinerthai

กีฬาชนคน

บทประพันธ์โดย ประเทือง ศรีสุข

เป็นความฝังจำต่อๆ กันมานานแล้วว่า ถ้าเป็นนักเรียนนายเรือต้องเล่นกีฬาอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่งั้นจะได้รับสมญานามว่า ชาวบ้าน ความฝังจำนี้ส่งต่อมาถึงผมด้วย กีฬาที่เฟื่องที่สุดก็คือรักบี้ ทั้งนี้เป็นเพราะนักรักบี้นายเรือรุ่นพ่อรุ่นลุงไปจนถึงรุ่นปู่ เคยสร้างชื่อลือเลื่องมาแล้วทั้งในและนอกประเทศ เมื่อไรที่มีราชนาวีลงสนามละก็ คนดูไม่เคยผิดหวัง ยกเว้นคนที่ไปพนันทีมตรงข้ามเอาไว้ เพื่อจะหนีสมญานามว่า ชาวบ้าน วันแรกที่ก้าวเข้าไปเป็นนักเรียนนายเรือ ผมจึงยกมือขอสมัครเล่นรักบี้ทันที ทั้งๆ ที่เล่นไม่เป็นกับเขาเลยจนนิดเดียว อย่าว่าแต่เล่นเลย ให้นั่งดูก็ยังดูไม่เป็น ครั้งแรกที่กำแหงเข้าไปดูรักบี้ ดูไปรำคาญไป เพราะคนเล่นถือลูกวิ่งอยู่ดีๆ ดันผ่าเตะออกไปข้างสนามเสียดื้อๆ เสร็จแล้วก็ต้องมายืนเข้าแถวทุ่มลูก พอใครคว้าลูกได้ก็วิ่งปุเลงๆ ชนกันกระเด็นเก็นเก้ อ้าว…เผลออีกหน่อยเดียวตั้งแถวสกรัมดันกันก้นโด่งไปโด่งมา

วิลเลียมเวบบ์ เอลลิส (WILLIAM WEBB ELLIS)

ด้วยความสนใจว่า ไอ้เกมส์นี้มันไปยังไงมายังไงกัน ใครนะอุตริคิดวิธีเล่นแผลงๆ ให้เสี่ยงกับการขาแข้งหัก ผมจึงไปค้นๆ ดูจากหนังสือประวัติการกีฬา โถ…นึกว่าใครเสียอีก ที่แท้ก็คือ ไอ้หนูชาวอังกฤษคนหนึ่งชื่อ วิลเลียมเวบบ์ เอลลิส (WILLIAM WEBB ELLIS) ซึ่งเคยเล่นฟุตบอลแล้วแพ้อยู่เรื่อย หมอเลยรำคาญขึ้นมาก้มลงคว้าลูกฟุตบอลได้ก็วิ่งหน้าตั้งเข้าไปในแดนคู่ต่อสู้อีกฝ่ายหนึ่งเห็น วิลเลียมเล่นพิเรนทร์ยังงั้นจึงไล่ตะครุบตัวกันชุลมุน ปีที่เกิดเรื่องนี้คือปี ค.ศ. 1823 ตอนนั้นวิลเลียมเพิ่งอายุได้ 16 ปีเท่านั้นเอง การแข่งขันวันนั้นยุติลงโดยที่คนดูได้รับรู้เกมส์ที่น่าจะดัดแปลงให้เล่นสนุกขึ้นได้ จึงกำหนดกติกา ขนาดของสนาม เสาประตูและเปลี่ยนจากใช้ลูกฟุตบอลกลมๆ มาเป็นลูกกลมรีเพื่อให้จับถนัดมือขึ้นและเก็บลูกที่ตกพื้นยากขึ้นด้วย เพราะเวลาตกลงพื้น มันกระดอนไม่มีทิศทาง ทำให้ไล่คว้าผิดคว้าถูก คนดูพลอยสนุกขึ้นด้วย จำนวนผู้เล่นก็กำหนดให้มีมากที่สุดได้ถึง 15 คน แต่จะเล่นกันแค่ 10 คน หรือ 7 คน ก็ยังไหวโดยลดเวลาลง ไม่งั้นวิ่งกันหืดขึ้นคอ ผลจากการที่ วิลเลียม คิดเกมส์นี้ขึ้นมาได้ โรงเรียนที่เขาเคยเรียนจึงจารึกชื่อ และพฤติกรรมของเขาลงบนแผ่นหินตั้งไว้หน้าโรงเรียน

แผ่นจารึกชื่อและพฤติกรรมของวิลเลียมเวบบ์ เอลลิส ลงบนแผ่นหินตั้งไว้หน้าโรงเรียน Rugby School

การจะเล่นรักบี้ให้เป็นนั้น ไม่ง่ายนักนะครับ ตอนที่ผมเริ่มหัดใหม่ ๆ ผมได้ครู หยวก ญาดี นักรักบี้ฝีมือฉกาจของทีมชาติและราชนาวีเป็นครูสอน ครูหยวกเป็นนาวาตรียังหนุ่มปร๋อ วิ่งเร็วเป็นกรด เสียงดังเหมือนฟ้าร้อง เดี๋ยวนี้ครูเป็นนาวาเอกพิเศษแล้ว สุขภาพยังดีเยี่ยมจะลงเล่นฟุตบอลทีมสูงอายุเขายังไม่ยอมให้เล่น เพราะต้อนคนอื่นหัวทิ่มหัวตำไปหมด ครูผมไม่เหมือนโค้ชคนอื่นๆ ที่แต่งชุดวอร์มยืนเป่านกหวีดอยู่ข้างสนาม แต่ครูแต่งชุดรักบี้ลงไปวิ่งไล่สอนตัวต่อตัว นกหวีดไม่ต้องใช้เพราะเสียงครูศักดิ์สิทธิ์กว่านกหวีด ครูบอกว่า เล่นรักบี้มันเหนื่อยขาดใจ มีโอกาสแขนขาหัก หัวแตกหรือสลบง่ายๆ การเตรียมร่างกายให้พร้อมที่จะเข้าปะทะจึงเป็นหัวใจสำคัญ เราจึงต้องวิ่งเช้าวิ่งเย็น ฝึกรับ ส่งลูก เตะ เก็บ แย่งและโยนจนลูกเชื่องมือ ชนิดที่ว่าลูกมาหาเราในลักษณะไหนเป็นต้องจับติดมือเสมอ หัดกันอย่างนี้เป็นเดือนๆ ครูก็ยังไม่ยอมให้เล่นเกมส์ เหตุผลคือ ถ้าเบสิคยังไม่ดีขึ้นเล่นเกมส์กันเลยต่อไปจะแก้ยาก ขั้นต่อไปจะหัดเข้าจับ หรือที่เรียกตามภาษารักบี้ว่า แท็คเกิล เริ่มหัดกันแบบสโลโมชั่น เอากระสอบทรายที่แขวนไว้เป็นเป้านิ่ง การแท็คเป้านิ่งก็เพื่อให้คนแท็ครู้จักหลบหัวของตัวเอง ไม่เซ่อซ่าเอาใบหูไปครูดกระสอบจนหูฉีก พอแท็คกระสอบได้ถูกต้องและหนักหน่วงดีแล้วจึงหัดแท็คคน เริ่มจากวิ่งช้าๆ เข้าข้างหลัง ทางข้างจนถึงขึ้นแอ็ดว๊านซ์คือวิ่งสวนกันแล้วแท็ค ขั้นนี้ถ้าทำพลาดก็เหมือนวิ่งเข้าไปให้เขาตีเข่าเข้าลิ้นปี่ อย่างน้อยๆ ก็แค่ชักตาตั้ง

ยังครับ… เล่นเป็นเท่าที่ผมเขียนมานี้ยังไม่พอ ต้องหัดดันสกรัมให้เป็นอีกด้วย ดันสกรัมเป็นหน้าที่ของกองหน้า ซึ่งต้องเลือกจากคนรูปร่างสูงใหญ่ใจถึง ที่ต้องเอาใจถึงด้วยเพราะเวลาแข่งขันต่างฝ่ายต่างก็จัดฟอร์มสกรัมแล้วพุ่งเข้าใส่กันดังกึกใหญ่เหมือนชนวัว ดังนั้นเพื่อให้พร้อมที่จะทำตัวเป็นวัวชน เราจึงฝึกดันสกรัมกันด้วยเครื่องมือฝึกดันสกรัม ทาง รร.ใช้ไม้ต่อขึ้นเป็นโครงสร้างเหมือนกองหน้าของอีกฝ่ายหนึ่ง มีหัวเหมือนหัวคนโผล่ออกมาสามหัว สมมติว่าเป็นแถวหน้า หัวที่ว่านี้มีเบาะหนังหุ้มป้องกันหัวคนชนกับหัวไม้ เราเรียกเครื่องมือนี้ว่าควาย เจ้าควายสำหรับฝึกดันสกรัมนี้ตั้งบนฐานไม้ให้เลื่อนไปบนพื้นสนามได้ เฉพาะควายอย่างเดียวก็หนักเท่ากับคน 8 คนแล้ว แต่เวลาฝึกดันยังต้องเอาคนขึ้นไปขี่อก 5-6 คน คนที่ได้ขึ้นไปนั่งขี่ควายคือ นักรักบี้ทีม เอ. รุ่นพี่ๆ ผมถูกจับให้เล่นแถวสองในชุดกองหน้าจึงต้องดันกับควายทั้งเช้าและเย็น ทุกครั้งที่ถอนหัวออกจากสกรัม ใจก็นึกอาฆาตว่า รอให้พ่ออยู่ชั้น 5 เถอะมึง พ่อจะขึ้นไปนั่งขี่ให้รุ่นน้องดันบ้าง

การดันสกรัมเป็นหน้าที่ของกองหน้า

กองหลังต้องมีคุณสมบัติพิเศษอีกคือ ต้องวิ่งเร็ว หยุดเร็ว ออกเร็ว และแท็คเกิลเก่ง เพราะถ้ากองหลังจับพลาดเมื่อไร คู่ต่อสู้ก็วิ่งหลุดไปวางทรัยเมื่อนั้นแหละ พวกกองหลังมักมีลีลาการเล่นเฉพาะตัวที่เรียกกันให้เก๋ๆ ว่าอินดิวิดวล ต่างๆ กัน บางคนวิ่งเร็วจี๋แล้วหยุดกึ๊กได้อย่างรถสปอร์ต บางคนวิ่งซิกแซ็ก ร่อนซ้ายร่อนขวา จนพวกเดียวกันยังตามไม่ถูก ตอนพักครึ่งเวลาต้องด่ากันหูอื้อไปเลย อย่างเช่นไอ้บ๊ะ เล่นแถวสอง คู่กับผมทางด้านซ้ายไอ้หมอนี่เวลาจับลูกได้เป็นต้องโก้งโค้งก้นโด่ง หมุนซ้ายหมุนขวาจนคู่ต่อสู้เดาไม่ออกว่าจะส่งลูกให้คนอื่นหรือจะวิ่งไปเอง มารูทีหลังว่า ที่ทำยังงั้นไม่ใช่กลเม็ดอะไรหรอก หมุนเพื่อจะหาคนรับลูกให้พ้นๆ ตัวไปที เพราะการถือลูกไว้นานๆ มีแต่โดนตะครุบเจ็บตัวท่าเดียว ครั้นหาคนรับไม่ได้จึงจำใจควบปุเลงๆ ไปยังงั้นเอง การเล่นส่งเดชแบบนี้เคยวางทรัยได้ตั้งหลายครั้งเหมือนกัน

พูดถึงการวางทรัย ก็ต้องหัดอีกเหมือนกัน คนที่ลงสนามเล่นรักบี้ใหม่ ๆ บางทีพาลูกวิ่งเข้าไปในเส้นทรัยแล้วยังหลับหูหลับตาวิ่งจนทะลุเส้นหลังไปก็มี น่าเห็นใจเหมือนกันครับ กว่าจะฟลุคพาลูกวิ่งหลุดเข้าไปได้แต่ละทีมันยากเย็น มิหนำซ้ำยังมีคนคอยวิ่งกวดจี๋มาข้างหลังและพร้อมที่จะโดดตะครุบให้ล้มคว่ำล้มหงายไปด้วยกัน เวลาหัดวางทรัยจึงต้องทำให้เหมือนของจริง เอาคนที่วิ่งเร็วและแท็คแรงมากวดจับให้เจ็บจะได้จำ พอพาลูกเข้าใกล้เส้นทรัยแค่ 2-3 หลา ก็เหาะข้ามเส้นเข้าไปเลย เมื่อกดลูกในทรัยได้แล้ว หน้าอกจะตีดินดังป้าบใหญ่ หรือแขนถลอกปอกเปิกไม่ต้องพูดถึงกัน

หัดกันมาถึงขึ้นนี้แล้ว จึงมีโอกาสได้ซ้อมเกมส์กันจริงๆ โดยเอาคนเก่ากับคนหัดใหม่คละกัน ตอนซ้อมเกมส์กันเอง นี่นอกจากเหนื่อยแล้วยังหนวกหูชะมัดญาติ มีทั้งเสียงตะโกนสั่งเกมส์ สั่งให้ดักจับ ส่งลูก แย่งลูกและเสียงด่ากันในฐานะเพื่อนฝูงที่ชอบทำลูกน๊อคออน คือ หลุดมืออยู่เรื่อย ซึ่งทำให้กองหน้าต้องดันสกรัมกันเฮือกๆ เสียงทั้งหมดนี้มากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นเสียงครูหยวก โค้ชที่มีลูกศิษย์เป็นนักรักบี้ทั้งกองทัพเรือ

จุดมุ่งหมายหลักของนักกีฬาใน รร. ทหาร ตำรวจ คือเตรียมตัวไว้แข่งขันกีฬาสี่เหล่าซึ่งจัดปีละครั้ง โดยผลัดกันเป็นเจ้าภาพ การซ้อมจะเริ่มโหมหนักขึ้นเรื่อยๆ ตามขีดความสามารถของร่างกาย ถึงช่วงนี้นักรักบี้จะเรียนหนังสือหนังหาไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับ การบ้านก็ลอกเพื่อนอยู่เป็นประจำ เพราะซ้อมหนักๆ เข้ามืดลงก็อยากนอนท่าเดียว เวลาเข้าห้องเรียนก็อยากนอนอีกนั่นแหละ เวลานี้แหละที่ชาวบ้านมีความหมายมาก ชาวบ้านช่วยติวให้ก่อนเทสต์ประจำสัปดาห์ ชาวบ้านช่วยเรียบเรียงเล็คเชอร์ให้อ่านรู้เรื่องแล้วเอามาให้นักรักบี้ลอก แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่นักรักบี้เรียนหนังสือเก่งกว่าชาวบ้าน เก่งจนเป็นหัวหน้าทีมรักบี้ด้วยแล้วแถมยังเป็นหัวหน้านักเรียนอีกด้วย

ถึงวันลงสนามแข่งขันจริงๆ นักรักบี้จะได้รับสิทธิซึ่งได้มาจากการเซ้าซี้ของหัวหน้าทีมในการเก็บตัวพักผ่อน 1 วัน โดยไม่ต้องเข้าห้องเรียนหนังสือ นับเป็นวันที่แสนสุโขเพื่อรอเวลาถูกบดขยี้ในสนาม ครั้งแรกที่ผมจะได้ลงสนามนั้น ผมยังเป็นตัวสำรองด้วยซ้ำแต่ตัวจริงซึ่งเป็นรุ่นพี่ปี 4 เกิดคิ้วแตกก่อนวันแข่งเพียง 2 วัน ครูเลยจับผมลงแทนที่ หัวหน้าทีมรุ่นพี่ปี 4 เขากลัวผมจะตื่นสนามเลยเรียกไปนวดให้เขาแล้วสอนวิธีเอาชนะความกังวลให้เป็นการส่วนตัว ถึงตอนบ่ายนักรักบี้ทั้งตัวจริงและตัวสำรองจะได้รับแจกเสื้อทีมให้มาใส่เพื่อสำรวจความเรียบร้อยรวมทั้งถุงเท้าคู่ใหม่ด้วย ครูเคยเตือนบ่อยๆ ว่า ถุงเท้าที่ใช้ใส่ลงสนามต้องตรวจดูว่า มันมีปมขมวดรอยต่อเส้นด้ายแข็งๆ อันจะทำให้วิ่งแล้วเ

ระหว่างที่นั่งรถบัสของ รร. ไปสนามศุภชลาศัยนักรักบี้จะได้นั่งที่ติดริมหน้าต่าง เพื่อชะเง้อคออวดคนตามป้ายรถเมล์ว่า ผมเป็นนักรักบี้โรงเรียนนายเรือนะครับ นี้กำลังจะไปลงสนามให้นายร้อย จปร.เขาขย้ำคอต่อ ทีมรร.ผมมักจะเสียเปรียบทีมอื่นทุกนัดในการเดินทางจาก รร. ไปสนาม เพราะรถติดตั้งแต่พระโขนงจนถึงหน้าประตูเข้าสนาม ต้องนั่งอัดกันมาในรถสูดควันจากท่อแก๊สเสียรถยนต์กว่าจะถึงสนามก็เพลียเหมือนกับลงแข่งไปครึ่งเวลาแล้ว

ลงแข่งนัดแรกในชีวิตของผม ทีม รร.นายเรือเจอกับนายร้อย จปร. ก่อนการแข่งขันก็วิ่งวอร์มอัพกันแถวใต้อัฒจรรย์ ส่วนบนอัฒจรรย์นั่นคนดูแน่นเปรี๊ยะเพราะเป็นนัดเปิดสนาม มีทั้งนักเรียนเหล่าด้วยกันควงแฟนหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา

ก่อนประธานมาถึงเล็กน้อย นักกีฬาทั้งสองทีมจะมาตั้งแถวคอยรับรองที่ริมสนาม ประธานคือผู้บัญชาการทหารสูงสุด ท่านเดินทักทายเขย่ามือกับนักกีฬาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เสร็จแล้วรับผ้าเช็ดมือไปเช็ดขี้โคลนด้วยใบหน้าแหยๆ ครั้งหนึ่งท่านถามผมว่า เป็นอะไรกับคุณประดับ หลังจากที่ผมรายงานชื่อและนามสกุลของตัวเองจบ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณประดับไหน จึงตอบท่านอย่างฉะฉานตามแบบทหารว่า ไม่รู้จักกันเลยครับผม ท่านคงนึกว่าผมเป็นลูกชายมั้งเพราะชื่อ ประๆ เหมือนกัน นี่ถ้าผมรู้ว่าคุณประดับที่ท่านถามถึงคือนายตำรวจใหญ่ ผมคงอ้อมแอ้มตอบว่าเป็นหลาน ครับกระผม แต่เพื่อนที่ยืนใกล้ๆ คงอวกแตก เพราะรู้ว่าที่จริงผมเป็นลูกชาวนาธรรมดาๆ

ผมขอข้ามพิธีเปิดสนามซึ่งมีเรื่องอะไรต่อมิอะไรยึกยืออีกหลายอย่างไปเพื่อย่นเรื่องราวให้สั้นลงมาถึงการแข่งขันกันเลยดีกว่า เพราะการเจ็บตัวหรือไม่ มันอยู่ตรงนี้ต่างหาก ทีมนายร้อย จปร. ใส่เสื้อทีมสีแดงเหลือง ทีมนายเรือเสื้อขาวล้วนๆ (เพิ่งมาเปลี่ยนสีขาวสลับน้ำเงินเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง) เริ่มเล่นตอนแรกๆ ก็ยังสามารถจำแนกสีเสื้อกันได้ว่าใครเป็นใคร แต่พอเล่นไปได้สักครู่เดียวฝนกระหน่ำจั้กๆ ลงมา สนามกลายเป็นทุ่งนา มีควายคือนักรักบี้ 30 คน กับคนเลี้ยงควายคือมิสเตอร์ ซอมเมอล์ฟิล ฝรั่งสูงอายุที่ได้รับเกียรติให้ตัดสินรักบี้ในเมืองไทยมานับครั้งไม่ถ้วน

สนามที่เละเป็นโคลนทำให้การแข่งขันช้าลง แต่คนดูสนุกมากขึ้น คนเล่นปล้ำแย่งลูกกันนัวเนียล้มลุกคลุกคลานขี้เลนท่วมหัว สีเสื้อที่เคยแบ่งข้างออกว่าใครเป็นใครก็กลืนสีขี้เลนจนเหมือนกันหมด ผมกลับชอบแบบนั้นเพราะเวลาพุ่งเข้าแท็คกันไม่ต้องกลัวพลาดลงไปแขนขาถลอก จะไม่ดีก็ตรงที่ขี้เลนเข้าตาแล้วหาน้ำล้างไม่ได้ ต้องวิ่งไล่เช็ดกับเสื้อกรรมการหรือผู้กำกับเส้น พอได้พักครึ่งเวลาเขาจัดน้ำมะนาวมาตั้งคอยท่าอยู่ข้างสนาม พวกเราทั้งทีมมารวมกันฟังข้อบกพร่องและแผนการเล่นในครึ่งหลัง คนแรกที่ครูพูดถึงคือผม

“แจ๋ว…แจ๋วมาก เธอไม่ต้องห่วงว่าจะได้เล่นลูกหรือไม่หรอก หน้าที่ของเธอคือคอยแหกไลน์ ตอนแถวทุ่ม แล้วไปตะครุบไอ้เจ้าสกรัมฮาล์ฟอย่าให้ส่งลูกได้ จับจังๆ ซักสองสามป้าบขี้คร้านจะลนจนไม่กล้าเก็บลูก เดี๋ยวเอาใหม่นะ”

แต่กับไอ้บ๊ะ คู่เล่นแถวสองของผม

“ไอ้ห่า…เอ็งทำไมวิ่งมั่วนักว๊ะ จะชนกันตายโหง แหกตาดูเพื่อนมั่งซิ”

“มั่วตอนไหนว๊ะ ?” ผมนึกไม่ออก

“ก็ตอนที่กูเก็บลูกได้ตรงเส้น 5 หลา หน้าทรัยนายร้อย กูกำลังจะวิ่งเข้าไปวางอยู่แล้ว เห็นเอ็งวิ่งหน้าเริดเข้ามาหากู”

“เฮ้ย นั่นกูจะแท็คตาหากล่ะ กูนึกว่าไอ้ดิษฐ์นายร้อย ก็เสื้อมันเหมือนกันแล้วรูปร่างเอ็งกะไอ้ดิษฐ์ก็เป็นตอหม้อเหมือนกัน”

อั๊วก็เกือบจะแท็คลื้อเหมือนกัน มีอย่างที่ไหนเก็บลูกตกได้แล้วดันผ่าวิ่งย้อนลงมาในแดนเรา ใครเขาก็นึกว่าเป็นนายร้อยทั้งนั้นแหละ” พี่จรัย ฮุคเกอร์หอบไปดุไป

“พี่วิมก็อย่าสเวอร์พนักซีครับ ผมวิ่งตามไปข้างๆ ไม่มีใครเข้าจับซักหน่อยไม่รู้ส่ายทำไม ผมตามไม่ถูก” ไอ้บ๊ะดุใครไม่ได้ก็หันไปดุพี่วิมรองหัวหน้าทีม

หมดเวลาพัก ลงสนามเปลี่ยนข้างปล้ำกันต่อ เกมส์ยิ่งตื่นเต้นเท่าไรเสียงคนเชียร์ก็ยิ่งกรี๊ดกร๊าดมากขึ้นเท่านั้น ลองฟังดูซิครับ เขาร้องกันอย่างนี้จริงๆ

“เร้ว…เร้ว วิม อุ๊ยๆ จะออกแล้ว” นี่เสียงแฟนพี่วิมร้องตะโกนให้รีบวิ่งไปเก็บลูกรักบี้ซึ่งกระดอนขลุกๆ ใกล้จะออกเส้นข้างสนามแล้ว

“เฮ้ย…ดันซีโว้ย มัวแต่เอาหัวจ่อๆ อยู่นั่นแหละ เดี๋ยวเค้าก็ดันเราตูดจ้ำหรอก” พี่ตั้งแถวหน้าข้างที่ผมจะต้องดันก้น ตะโกนสั่งเมื่อผมวิ่งมาเข้าสกรัมช้า ก็ผมถูกทับอยู่ข้างล่างกว่าจะคลานออกมาได้น้ำเข้าหูจนอื้อทั้งสองข้าง

“ฉีกออกมา เฮ้ยฉีกออกมา” เสียงพี่จุ๊ย ปีกซ้ายร้องสั่งไอ้แก้วฟลายฮาล์ฟให้วิ่งฉีกออกไปเล่นทางปีกซ้ายเพราะมองเห็นทางโล่งโจ้ง

“พี่นุ้ยอย่าเหยียบหว่างขาผมซิ ประเดี๋ยวผมสูญพันธ์” ไอ้โชคดี เพื่อน จปร.ขอร้องเสียงอ่อยๆ ตอนที่ยืนเข้าแถวทุ่มรอบกโยนลูก

กับเสียงอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วนประโยค

กองเชียร์นายเรือเคยเอาอย่าง รร.นายเรือแอนนาโปลิส คือเอานกหวีดเรือไปเป่าในสนาม แล้วมีต้นเสียงร้องตะโกนว่า “โบ๊ต…อะฮอย

นายร้อยได้ยินเข้าจะรีบชิงตอบทันทีว่า “เอี้ยมจุ๊น”

นัดต่อๆ มา ผมค่อยเล่นเข้ารูปเข้ารอยขึ้น ทำผิดกติกาน้อยลงแต่เล่นตุกติกในเกมส์มากขึ้น เรื่องนี้นักรบเขาไม่ว่ากัน แต่ด่ากันอย่างพี่อย่างน้องตรงๆ เลย อย่างนัดที่แข่งกับนักเรียนนายเรืออากาศ พี่นภดลซึ่งตัวใหญ่จนได้รับฉายาว่า พี่ยักษ์เคยตะโกนค่าผมลั่นสนาม

“เฮ้ย ลื้ออย่าเล่นเอานิ้วแยงตาซิว๊ะ มันแสบไม่รู้เหรอไง?”

“โทษทีครับพี่ ผมจะแหกไลน์ไปชาร์จไอ้แอ๊ดน่ะครับ”

“กรรมการครับ ฮุคเกอร์นายเรือเจตนาเตะหน้าแข้งผม” เสียงฮุคเกอร์ฟ้องกรรมการดังอู้อี้ตอนดันสกรัม ทีมนักเรียนนายเรืออากาศเคยเล่นพิเรนทร์ จับเอาเหยี่ยวสัญลักษณ์ครองฟ้ามาอวดคนดูในสนาม ความจริงก็คงอยากเอานกอินทรีย์ แต่มันหายากจึงได้แค่เหยี่ยว พอวิ่งกันทั่วหน้าแล้วก็ปล่อยให้เหยี่ยวบินโผขึ้นสู่อากาศ แต่หารู้ไม่ว่าการเอาเหยี่ยวมาปล่อยในเมืองอย่างนี้ เกิดบินสะเปะสะปะไปแถวๆ ท่าเตียน มีหวังถูกอีการุมตีคอหักแน่ๆ ส่วนทีมนายร้อยตำรวจยิ่งมีทีเด็ดหนักเข้าไปอีก ก่อนจะเริ่มแข่งขัน นักรักบี้กับโค้ชจะไปยืนจับกลุ่มชะโงกหัวเข้าหากัน ไม่รู้ซุบซิบอะไรกัน ครู่หนึ่งก็ตะโกน เฮ้อ ขึ้นมาดังๆ แล้วก็วิ่งกระจายออกไปประจำตำแหน่ง ตอนหลังลองหลอกถามเพื่อนรุ่นเดียวกันที่เล่นให้ทีมตำรวจเพื่อนบอกว่าไม่มีอะไรหรอก พี่จักร หัวหน้าทีมเข้าบอกว่า วันนี้ถ้าชนะ ไปนวดกันที่ชวาลาว่ะ

อยู่ รร.นายเรือปีสอง ผมมุมานะซ้อมหนักขึ้นอีก คนอื่นๆ ต่างก็มุ่งมั่นหวังให้ชนะเลิศเพื่อรับรางวัลเครื่องหมายความสามารถ และก็สมหวัง ปีนั้นผมได้รับหัวเข็มขัดสามารถทำด้วยเงินแท้ มีตราสามสมอลงยาสีน้ำเงิน เข็มขัดเงินหัวนั้นผมเผลอตัวให้ลูกสาวใครไปแล้วก็จำไม่ได้ และลูกสาวใครคนนั้นเดี๋ยวนี้เป็นคุณนายของใครอีกคนหนึ่งก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน ปีต่อมามือขึ้น หนักเข้าไปอีกคราวนี้ได้เสื้อสามารถของโรงเรียน เป็นเสื้อเบลเซอร์สักหลาดซึ่งไม่สามารถใส่ไปไหนได้เลย บ้านเราร้อนจะตายชักใส่ยังไงไหว

ถึงตอนสิ้นปีการศึกษา นักเรียนนายเรือทั้งหมดต้องออกเรือไปฝึกภาคต่างประเทศ เรือจอดตามเมืองท่าต่างๆ เขามักจะจัดรายการแข่งขันกีฬาไว้ด้วย เคยไปเล่นที่บรูไน เมืองเศรษฐีน้ำมัน เพื่อนทำสมาร์ทมากเพราะใช้น้ำมันราดเส้นสนามให้ต้นหญ้าตายเป็นแนวโดยไม่ต้องใช้ปูนขาวโรยให้กัดเนื้อกัดตัวเป็นผื่นพุพองเหมือนบ้านเรา เรือไปจอดที่ปีนังก็แข่งกับทีมปีนัง ออลบูล มีนักเรียนไทยในปีนังไปเชียร์กันกรี๊ดๆ เกือบได้แฟนเป็นลูกสาวนายพล แต่จีบไปจีบมาได้แค่แหวนนามสกุลทำด้วยทองคำลงยาไว้เป็นที่ระลึกวงเดียวต่อมาทองแพงขึ้นและผมจนลง จึงแกล้งเอาไปขายเล่นๆ เจ๊กร้านทองเกิดซื้อจริงๆ เลยขายจริงๆ เอาตังค์มาซื้อเหล้าเลี้ยงเพื่อนและบำรุงสุขภาพหมดไปแล้ว

ตอนที่ทีมรักบี้ มหาวิทยาลัยเคโอะ มาแข่งเมืองไทยและปราบทีมอะไร ๆ จนแพ้ราบคาบ ทีมญี่ปุ่นจึงดังมาก ต่อมาหมู่เรือฝึกนักเรียนนายเรือญี่ปุ่นมาแวะเมืองไทย เราจึงจัดรักบี้ไว้คอยค่า เอาสนามฮ๊อกกี้เป็นลานชน คนที่ไปดูก็นึกว่าคงฟัดกันเละแน่ๆ กลับปรากฏว่าทีมเราต้อนญี่ปุ่นเสียเกือบ 60 จุด พี่จุ๊ยหัวหน้าทีมกลัวฝ่ายบูชิโดจะเสียหน้า จึงสั่งให้แกล้งจับพลาดเพื่อให้ทีมญี่ปุ่นได้วางทรัยบ้าง นักเรียนนายเรือลูกพระอาทิตย์ทำยังไงทราบมั้ยครับ? เพื่อนวิ่งหลุดไปแล้วกลับขว้างลูกทิ้ง แถมหันกลับมาค่าผมว่า เล่นยังงี้เขาไม่เอา ต้องจับจริงๆ และหนีได้จริงๆ ถึงจะเอา ตกลงเราต้องใช้วิธีเล่นให้เสียลูกโทษหน้าประตูญี่ปุ่นจึงตีไข่แตก หลังจากแข่งนัดนั้นแล้วเพื่อนผมที่เล่นตำแหน่งฟูลแบคเกือบถูกแฟนตบกรามหัก ก็ดันทะลึ่งนัดแฟนไปดูสองคนพร้อมๆ กัน นึกว่าจะมาแค่คนเดียวเกิดมาจะเอ๋กันข้างสนาม เจ้าตัวดีถึงกับปีนรั้วหนีมาเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวบนรถที่จอดอยู่นอกสนาม แฟนหลวงก็ใจถึงตามขึ้นไปเฉ่งปี๋กันขณะที่กำลังถอดเสื้อคลุมหัว ได้ยินเสียงตบดังผัวะ สมน้ำหน้ามัน

ผมประคองตัวเรียนหนังสือชนิดหวุดหวิดตก จนถึงปีสุดท้ายนักรักบี้ทีมชาติลาวเดินทางมาขอแข่งเชื่อมแข้งด้วย เราลืมไปว่าลาวก็พูดภาษาไทยได้เหมือนพวกเราไม่ว่าจะสั่งให้เล่นลูกอะไรทีมลาวดักทางถูกหมด แต่ก็ยังล่องจุ๊นไปหลายสิบจุด หัวหน้าทีมคนนั้นผมมารู้ทีหลังว่าเป็นรองอธิบดีกรมทางหลวงแห่งราชอาณาจักรลาว คุยกันชักถูกคอท่านรองอธิบดีเลยชวนให้ทีมเราไปเล่นที่เวียงจันท์บ้าง ขอเพียงให้เราหาพาหนะเดินทางไปเอง ส่วนเรื่องอื่นๆ ทางเวียงจันท์เขารับเป็นเจ้าภาพตลอดงาน ผมปรึกษากับไอ้แก้วหัวหน้าทีม กะว่าจะไปลุยกันอยู่แล้ว แต่ขอรถหลวงไม่ได้ จึงเขียนจดหมายบอกยกเลิก

จนถึงวันที่เวียงจันท์แตก ลาวแดงยึดเวียงจันท์ได้ผู้คนแตกสานซ่านเซ็นตามที่คนลาวเขาพูดกันว่า บ่มีข้าวจะกิน บ่มีดินจะเหยียบ วันแล้ววันเล่าที่หอบหิ้วกันอพยพมาพึ่งร่มไม้ชายคาแผ่นดินไทย ในจำนวนนี้มี ร้อยเอกสีมากับท้าสุรเดชเข้ามาด้วย สองคนนี้เข้ามารายงานตัวกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทย จากนั้นก็ติดกลุ่มเจ้าหน้าที่ กอ.รมน. ไปบรรยายถึงเหตุการณ์ในประเทศลาวช่วงที่แผ่นดินร้อนระอุด้วยภัยคอมมิวนิสต์ เมื่อจบการบรรยายแล้วผมเข้าไปคุยกันเป็นการส่วนตัว ตอนหนึ่งผมถามถึงรองอธิบดีหัวหน้าทีมรักบี้ที่เคยปล้ำกันมา คำตอบคือ

“มื้อก่อนที่เวียงจันท์จะแตก เพิ่นเป็นอธิบดีแล้ว ลาวแดงมันจับไปขังไว้ที่เวียงไซ มันว่า เป็นนักฮักบี้แข็งแฮงคือวัวคือฟาย มันเลยบังคับให้เฮ็ดไร่เฮ็ดนา ข้อยว่าป่านนี้สวรรคตแล่ว”

ผมก็ได้แต่ปลงอนิจจังในโชคร้ายของสหายเออ หนอ… นักรักบี้ก็คือวัวคือควายที่สมัครใจจะชนกันแม่นแล้ว

Share the Post: